โครงการเสริมสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบพิบัติภัยสึนามิ
โครงการเสริมสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบพิบัติภัยสึนามิ
กิจกรรมขับเคลื่อนโครงการ
การประชุมทำความเข้าใจโครงการ
ความเป็นมา วัตถุประสงค์

การให้ความสำคัญกับการหันกลับมามองฐานของชุมชนที่มีอยู่ สามารถบอกความต้องการที่แท้จริงของชุมชนตนเองได้โดยไม่ได้เป็นฝ่ายรอรับความ ช่วยเหลือเท่านั้น สำคัญที่สุดคือการพึ่งพาตัวเองของชุมชนอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต... 

­

..ประชุมทำความเข้าใจโครงการ..

วันที่ 12-13 มิถุนายน 2555 

ณ ร้านมิตรสัมพันธ์ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

ผู้ร่วมประชุม



ทีมมูลนิธฺสยามกัมมาจล ทีมมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น และทีมพี่เลี้ยงในพื้นที่ รวม 17 คน

วัตถุประสงค์

- เพื่อทบทวนเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน

- เพื่อหาแนวทางการทำงานร่วมกัน

­

กำหนดการและรายงานผล
ทำเนียบผู้เข้าร่วมกิจกรรม
สรุปผลกิจกรรม/บันทึกการทำงาน

       โครงการ “สร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบพิบัติภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ” เป็นการขับเคลื่อนงานของเครือข่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่นภาคใต้ (สตูล ตรัง ระนอง) โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่นภายใต้การสนับสนุนทุนการดำเนินงานจากมูล นิธิสยามกัมมาจล และธนาคารไทยพาณิชย์ โดยการประชุมทำความเข้าใจโครงการในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่คณะทำงานทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ มูลนิธิสยามกัมมาจล- มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น และศูนย์ประสานวิจัยเพื่อท้องถิ่นทั้ง 3 จังหวัดมาพบปะเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของโครงการ ตลอดจนแลกเปลี่ยนทิศทางในการดำเนินงานร่วมกันต่อไป..


สรุปเนื้อหาในการประชุมได้ดังนี้..




          คุณปิยาภรณ์  มัณฑะจิตร กรรมการ เลขานุการ และผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล กล่าว ว่าเงินทุนสนับสนุนการทำงานโครงการดังกล่าวเป็นเงินที่ประชาชนนำมาบริจาคให้ ผู้ประสบภัยพิบัติซึ่งที่ผ่านมาทางธนาคารได้นำเงินบริจาคก้อนนี้ไปช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยในระยะแรกจบไปแล้ว ยังมีเงินบริจาคเหลือ และไม่สามารถนำไปใช้ในด้านอื่นได้ เนื่องจากเป็นเงินที่ผู้บริจาคมีความประสงค์มอบให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ คลื่นยักษ์สึนามิเท่านั้น  ดังนั้น เงินจำนวนนี้จึงต้องถึงพื้นที่ แต่เนื่องจากในขณะนี้เหตุการณ์ด้านภัยพิบัติดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปหลายปีแล้ว ทางมูลนิธิสยามกัมมาจลมองว่าจะใช้เงินบริจาคที่เหลือให้เป็นประโยชน์แก่ ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถลุกขึ้นมา จัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน จึงได้มอบเงินทุนก้อนดังกล่าวให้มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่นซึ่งมี ประสบการณ์ในการทำงานด้านกระบวนการมีส่วนร่วมภายใต้วัตถุประสงค์ คือ มีกระบวนการที่สามารถทำให้ชุมชนคิดเป็น พึ่งตัวเองและประสานกับหน่วยงานข้างนอกได้โดยไม่ได้รอคอยแต่ความช่วยเหลือ เพียงอย่างเดียว กล่าวโดยสรุปคือเป็นการให้ความสำคัญกับการหันกลับมามองฐานของชุมชนที่มีอยู่ ซึ่งพวกเขาสามารถบอกความต้องการที่แท้จริงของชุมชนตนเองได้โดยไม่ได้เป็น ฝ่ายรอรับความช่วยเหลือเท่านั้น สำคัญที่สุดคือการพึ่งพาตัวเองของชุมชนอย่างยั่งยืนได้ในอนาคตนั่นเอง..




        คุณชีวัน ขันธรรม  ผู้จัดการมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น ชี้ แจงความเป็นมาในการจัดประชุมครั้งนี้ว่า ปัจจุบันงานที่พัฒนาร่วมกันมามีความชัดเจนมากขึ้นซึ่งได้นำเสนอโครงการให้ บอร์ดของมูลนิธิสยามกัมมาจลรับทราบเมื่อเดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมา จนกระทั่งขณะนี้โครงการผ่านการอนุมัติเซ็นสัญญาแล้ว โดยทางมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่นสามารถเริ่มทำงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 ซึ่งจะแบ่งการทำงานเป็น 2 ระยะภายในเวลา 3 ปี  คือ ระยะที่ 1 ใช้เวลาในการทำงานประมาณ 18 เดือน หรือหนึ่งปีครึ่งเพื่อค้นหาโจทย์/ประเด็นการทำงาน และแกนนำในพื้นที่ที่จะเข้ามาร่วมขับเคลื่อนงานโครงการให้เกิดรูปธรรมในเชิง พื้นที่ต้นแบบด้านการบริหารจัดการชุมชน จากนั้นในระยะเวลาที่เหลืออีก 18 เดือนในอนาคตจะเป็นการขยายผลความรู้ในการทำงานจากพื้นที่เดิมไปยังพื้นที่ ชุมชนอื่นให้มากขึ้น ซึ่งเวทีครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมแรกของโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนเป้าหมายการทำงานให้เข้าใจชัดเจนตรงกันอีกครั้ง ก่อนเริ่มดำเนินงาน ทั้งนี้ ที่ปรึกษาหลายท่านโดยเฉพาะ ศ. ดร. ปิยะวัติ บุญ-หลง ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น ได้ให้ความสำคัญกับงานนี้เป็นลำดับแรก จึงอยากให้ลงมาขับเคลื่อนในพื้นที่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วง 4-6 เดือนแรก  วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ทางมูลนิธิสยามกัมมาจล คือ คุณปิยาภรณ์  มัณฑะจิตร และ คุณรัตนา กิติกร ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนด้วย

­

            จากนั้น คุณชีวัน  ขันธรรม  ได้นำเสนอรายละเอียดภาพรวมของโครงการ ทั้งในส่วนของเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ผลที่คาดว่าจะได้รับ และข้อตกลงในการคัดเลือกพื้นที่การทำงานภายใต้โครงการดังกล่าวเพื่อให้การ ขับเคลื่อนงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้ในระยะเวลาที่กำหนด อาทิเช่น เป็นพื้นที่ที่มีทุนเดิม, เห็นแกนนำพื้นที่ หรือคนที่จะลงไปทำงานด้วย, ไม่มีความขัดแย้งรุนแรงที่จะเป็นอุปสรรคต่องาน โดยได้วางกลไกการทำงานเป็น 3 ระดับประกอบด้วย ทีมกลาง ทีมพื้นที่ (พี่เลี้ยงจังหวัด) และทีมชุมชน ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทหน้าที่ในการทำงานต่างกันแต่มีลักษณะในการหนุนเสริม การทำงานร่วมกัน กล่าวคือ ทีมกลางมีบทบาทหลักในการสนับสนุนการทำงานของทีมพื้นที่ซึ่งมีหน้าที่สนับ สนุนการดำเนินงานของชุมชนอีกระดับหนึ่ง  นอกจากนี้ยังได้มีการวิเคราะห์ศักยภาพและ จุดอ่อนของพื้นที่เป้าหมายทั้ง 11 ชุมชน ใน 3 จังหวัด (สตูล ตรัง ระนอง) ซึ่งปัจจุบันได้มีการขับเคลื่อนงานในประเด็นหลัก 3 ประเด็น ได้แก่  การท่องเที่ยว  การพัฒนาอาชีพและการเกษตร และ การจัดการทรัพยากร เป็นต้น

­


 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นการนำเสนอโดยใช้ข้อมูลเดิมที่มีการศึกษาในช่วงพัฒนา โครงการซึ่งหลายพื้นที่อาจมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว หลังการนำเสนอภาพรวมการทำงานจึงได้เกิดการแลกเปลี่ยนกับผู้ประสานงานใน พื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั้งในเรื่องเป้าหมายการทำงาน และทบทวนพื้นที่งานร่วมกัน พบว่ามีบางจังหวัดใช้พื้นที่ขับเคลื่อนงานในชุมชนเดิม ในขณะที่บางจังหวัดก็มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับเป้า หมายโครงการและสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้หลังการนำเสนอได้มีการหารือกันถึงการคัดเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมกับ เป้าหมายร่วมในการขับเคลื่อนงานของโครงการ โดยพิจารณาจากคำสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในโครงการที่ได้แลกเปลี่ยนกันถึงความ หมายของคำบางคำเพื่อให้เข้าใจตรงกันไปในช่วงแรกก่อนตัดสินใจเลือกพื้นที่ ดำเนินงานเช่น  คนถูกพัฒนา  เกิดกลไกการจัดการในชุมชน และ ปัญหาได้รับการคลี่คลาย เป็น ต้น โดยในที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการใช้เวลาในการแลกเปลี่ยนความหมายภาย ใต้คำสำคัญดังกล่าวพอสมควร ซึ่งสามารถสรุปความหมายในประเด็นต่างๆ ที่แลกเปลี่ยนกันได้ดังนี้.

­

­

­

        คนถูกพัฒนา  หมายถึง การที่คนสามารถเห็นคุณค่าการใช้ “ความรู้” ในการทำงาน (นำข้อมูลมาวิเคราะห์เป็น “ความรู้”), สามารถใช้ “ข้อมูล” และ “ฐานข้อมูล” ในกระบวนการตัดสินใจ และการใช้ประโยชน์, รู้จักเท่าทันต่อสถานการณ์ภายนอก และสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ภายในและภายนอกมาปรับใช้ให้ตอบโจทย์ของชุมชนได้, มีความสามารถในการเห็นภาพรวมของชุมชน, วิเคราะห์ “ทุนเดิม” และ “ปัญหา/ความต้องการ” ที่แท้จริงของชุมชน, สามารถออกแบบวิธีการทำงานใหม่ๆ และวิเคราะห์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานได้, มีทักษะเพิ่มขึ้นในด้านพูด ฟัง เขียน จับประเด็น เชื่อมโยง, เป็น “นักจัดกระบวนการเรียนรู้”, สามารถพัฒนาให้เกิด “แกนนำรุ่นใหม่” (เป็นโค้ชได้), สามารถสื่อสารการทำงานกับภายนอกได้อย่างชัดเจนเป็นระบบ และเป็นคนขวนขวาย ใฝ่เรียนรู้ เป็นต้น

­

­

เกิดกลไกการจัดการในชุมชน (ต้องดูกลไกเดิมที่มีอยู่แล้วในชุมชนด้วย) หมายถึง การรวมกลุ่มของคนในชุมชน(ไม่ใช่คนทั้งชุมชน) ที่มีเป้าหมาย ความสนใจ และโจทย์ร่วมกัน รวมทั้งมีกระบวนการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน, มีระบบการจัดการ และหน้าที่ในการทำงาน (ที่ไม่เป็นทางการ) รวมทั้งมีระบบการจัดการความรู้ (รู้จักเก็บและใช้ความรู้ได้), เป็นกลไกที่สามารถดึงพลังของท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการได้ และเหมาะสมกับบริบทของตัวเอง, มีความสามารถในการรับมือกับกระแสภายนอกที่เข้ามาในชุมชน, มีความสามารถเชื่อมต่อกับคนกลุ่มอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกชุมชนได้ และ เป็นแกนในการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานได้ เป็นต้น

 

ปัญหาได้รับการคลี่คลาย  หมาย ถึง กระบวนการที่ใช้แก้ปัญหานั้นสามารถเป็น  “นวัตกรรม” การแก้ปัญหาในพื้นที่ได้, เห็นสิ่งที่เป็น OUTCOME ได้ชัดเจน และมีโอกาสในการยกระดับสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ เป็นต้น
 

­

จาก การนิยามความหมายคำสำคัญภายใต้โครงการดังกล่าวร่วมกันทำให้ทุกคนมีความเข้า ใจภาพรวมในการทำงานร่วมกันได้ชัดเจนตรงกันมากขึ้น และเพื่อให้การทำงานครั้งนี้บรรลุเป้าหมายมากที่สุดจึงนำไปสู่การนำเสนอการ ทำงานในรูปแบบใหม่โดยเป็นการประยุกต์มาจากกระบวนการในงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น แบบเดิมแล้วเสริมด้วยการเน้นงานพัฒนาให้มากขึ้น ซึ่งเรียกชื่อในเบื้องต้นว่า “กระบวนการ CBR ประยุกต์” กล่าวคือ ลดระยะเวลาในช่วงการพัฒนาโครงการลง โดยให้เหลือเวลาประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นให้เน้นงานเชิงพัฒนาควบคู่กับการถอดบทเรียนความรู้ในการทำงาน เป็นการเสริมงานพัฒนาให้มากขึ้นกว่าเดิมที่จะเน้นงานวิจัยเป็นหลัก แต่ในการทำงานก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการขับเคลื่อนงานพัฒนาบนฐานการใช้ ข้อมูล หรือความรู้ ซึ่งได้มีการหารือกันว่าภายใต้การร่นระยะเวลาดังกล่าวควรคัดเลือกเครื่องมือ การวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อคุณภาพใน การทำงานด้วย ทั้งนี้ได้มีการวางจังหวะการทำงานร่วมกันในส่วนของทีมกลางและพื้นที่ โดยเฉพาะมีการให้ความสำคัญกับเรื่องการถอดบทเรียนการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเนื้อหา และ ส่วนกระบวนการทำงาน ซึ่งได้แบ่งระดับการทำงาน คือ ทีมชุมชน ถอดความรู้ระดับกิจกรรม, ทีมพื้นที่ถอดความรู้ระดับจังหวัด และทีมกลางถอดความรู้ในระดับภาพรวมอย่างไรก็ตาม มีการทำงานเชื่อมโยงหนุนเสริมกันในทุกระดับอยู่เป็นระยะทั้งในการลงมาเรียน รู้เชิงกิจกรรมในชุมชน และ การอบรมพัฒนาศักยภาพเพื่อหนุนเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ล่าสุดได้มีการกำหนดปฏิทินการทำงานในบางกิจกรรมร่วมกัน โดยจะมีการลงพื้นที่วันที่ 11-13 ก.ค. 2555 ที่จังหวัดระนองเพื่อเรียนรู้การออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันในพื้นที่จริง
 

­

ช่วงท้ายของการประชุม คุณสุภาวดี ตันธนวัฒน์  ได้ชี้แจงเรื่องการบริหารจัดการโครงการ โดยได้นำเสนอตัวอย่างแบบฟอร์มต่างๆ ที่จะใช้ในเรื่องการบริหารจัดการทางบัญชีและการเงินของโครงการอธิบายต่อทีม ทำงานพื้นที่พร้อมทั้งให้ดูตัวอย่างแบบฟอร์มการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย หรือ การเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ในโครงการ รวมไปถึงการอธิบายคำสำคัญต่างๆ ที่ต้องกรอกในแบบฟอร์มอย่างละเอียด ซึ่งได้ปรับจากคู่มือบริหารจัดการระเบียบของทางมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้อง ถิ่นมาใช้กับโครงการวิจัยในครั้งนี้ โดยในการการเปิดบัญชีขอให้เปิดบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ โดยมีคนเปิดบัญชี 3 คน สามารถลงนามเบิกจ่ายได้ 2 ใน 3 และต้องมีผู้ประสานงาน 1 คนเป็นหลัก โดยในช่วงระยะเวลา 18 เดือนที่ทำโครงการร่วมกัน ทางมูลนิธิฯ จะลงมาช่วยดูเอกสารการเงินให้เป็นระยะ และหากมีข้อสงสัยก็สามารถหารือกันระหว่างทางได้ โดย ทุก 6 เดือนจะมีการส่งเอกสารการเงินพร้อมรายงานความก้าวหน้าโดยอธิบายว่ามูลนิธิ สยามกัมมาจลจะน้นการสรุปให้เห็นรายละเอียดเชิงกิจกรรม แต่ก็มีตัวสรุปรวม และคุณชีวัน ได้ชี้แจงว่าเงินที่เหลือจากการทำงานโครงการนี้ ทางแหล่งทุนต้องการให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ต่อโดยอาจเป็นในรูปแบบกองทุน สวัสดิการ ฯลฯ ทั้งนี้จะได้หารือกันหลังเสร็จสิ้นโครงการต่อไป...
 

....................................................................................................

­

"ขออภัย"
ยังไม่มีเนื้อหาข้อมูลในส่วนนี้
ภาพกิจกรรม
วิดีโอแนบ
ไฟล์แนบ