ตารางเรียนลูกน้อยกลอยใจแม่ โดย ศิริชัย พรหมทอง
รุ่งนภา จินดาโสม

โครงการสร้างเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมนท้องถิ่น (4 ภาค)

เรื่องเล่าจากพื้นที่...    

 

 

จากเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความเข้าใจและแนวทางในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในการสอนลูก 

 

ณ โรงเรียนรัษฎา  อ.รัษฎา จ.ตรัง  วันที่ 11 กรกฎาคม 2554

 

โดย อารีย์  เหมะธุลิน

ผู้ประสานงานภาคกลาง

“ลูกจ๋าเจ้าจงรู้ไว้           จงเดินไปให้ไกลดั่งเจ้าฝัน

แต่ให้ระลึกถึงสิ่งที่สำคัญ           ควบคู่กับทำฝันนั้นให้เป็นจริง

นั่นคือการ “ทำความดี”           เจ้าจงหมั่นทำสิ่งที่มีค่า

แล้วชีวิตเจ้าจะมี “สิ่งดีๆ” ตามมา           เท่านี้หนาฝันเจ้าก็จะเป็นจริง” 

 

เขียนโดย Dadar http://schiiwit-dee-dee.blogspot.com

 

          ที่ผู้เขียนหยิบยกกวีบทนี้ขึ้นมาโปรย ก็ด้วยเห็นว่า เนื้อหาในบทกวีนี้ เป็นคำอธิบายของการพูดคุยกับ “พ่อแม่” ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสช่วยเป็น “คุณอำนวย” ในวงย่อยของโรงเรียนรัษฎาได้เป็นอย่างดี และ แม้กาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเนิ่นนานเพียงใด แต่ “ลูก” ก็ยังคงเป็น “เด็กน้อย” ที่แม่นั้นห่วงใยอยู่มิเว้นวาย  

 

          ระหว่างวันที่ 11 – 14 กรกฎาคม 2554 เป็นอีกวาระหนึ่งที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปติดตาม อาจารย์ทรงพล เจตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) ไปช่วยเป็นคุณอำนวย (facilitator) อำนวยการประชุมกลุ่มย่อยให้กับเวทีผู้ปกครองนักเรียน และ เวทีสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ร่วมกับ อบต.ในเขตพื้นที่อำเภอรัษฎา และ อำเภอห้วยยอด จ.ตรัง เฉกเช่นที่พวกเราชาว สรส. ปฏิบัติกันมา ทุกครั้งที่ลงพื้นที่ จะมีเรื่องเล่าจากพื้นที่ มาฝากเพื่อน ๆ ผู้อ่าน ที่มิได้มีโอกาสลงไปร่วมเรียนรู้กระบวนการทำงานในพื้นที่ ได้สัมผัสบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเรื่องราว ที่เกิดขึ้น จากเวทีนั้น ๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผู้เขียน มีเทคนิกวิธีการสอนลูก ซึ่งว่าด้วยการปรับใช้ “ตารางเรียน” ของลูก มาเป็น “ตารางการทำงานบ้านช่วยแม่”

 

          วันนี้ (11 กรกฏาคม 2554) ช่วงเช้าเป็นการเตรียมครูแกนนำเป็น “คุณอำนวย” การชวนผู้ปกครอง คิด/คุยในวงย่อย ในเวทีประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปกครองนักเรียน ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย โดยโจทย์ในการชวนคิด/คุย มี 5 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ 

 

                   1) ความกังวล/ห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

                   2) ฝันอยากให้ลูกเป็นอะไรในอนาคต (อาชีพ,นิสัย)

                   3) วิธีการสอนลูก

                   4) พฤติกรรมการแสดงออกของลูก

                   5) ความถนัด/สามารถพิเศษที่พ่อแม่จะถ่ายทอดให้ลูกได้ (จุดเด่น/ความถนัด) 

 

          ซึ่งรายละเอียดดังกล่าว จะขยายความอยู่ในเรื่องเล่าจากการลงพื้นที่ กรณีตัวอย่าง

 

มุมมองและเสียงสะท้อนจากพ่อแม่ 

 

          เรื่องที่ผู้เขียนจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่าที่ได้ยินโดยบังเอิญจากการเป็นคุณอำนวย ชวนพ่อแม่พูดคุยในวงย่อย หากแต่เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมานั้น หาได้เป็นความบังเอิญไม่ แต่เป็นการ“กลั่นออกมาจากหัวใจ” ของ “หญิงแกร่ง” แห่งเมืองรัษฎา ผู้มีนามว่า “คุณแม่อัมภาส เพ็งจันทร์” คุณแม่ของน้องอนุรักษ์ อินทระ ลองมาฟังดูค่ะว่า คุณแม่ท่านนี้ มีเทคนิกวิธีการสอนลูกอย่างไรบ้าง 

 

          “... ไม่ห่วงเรื่องยาเสพติดนะ เพราะ ลูกเป็นเด็กดี เป็นนักร้องนำวงดนตรีโรงเรียน ไม่ค่อยมีเวลานะ ไหนจะต้องเรียน, ซ้อมดนตรี, ทำการบ้าน...แต่ก็ช่วยแม่ทำงานและดูแลยายนะ ครอบครัวเราอยู่กันเพียง 3 คน ยาย, แม่ และ ลูก” 

 

          เป็นคำบอกเล่าจากคุณแม่ท่านนี้ จากนั้น เมื่อถูกผู้เขียนถามต่อว่า “เมื่อลูกตารางชีวิตที่แน่นอย่างนั้น คุณแม่ดึงเอาเวลาในการมาช่วยงานบ้าน จากน้องเขาได้อย่างไร เธอยิ้มด้วยท่าทางเอียงอาย ประดุจสาวน้อยแรกรุ่นดรุณี ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า 

 

          “คืองี้ ที่โรงเรียนครูมีตารางสอนลูกเราช่ายมาย ส่วนลูกเราเอง เขาก็มีตารางเรียน แล้วที่บ้านล่ะ น่าคิด เราก็เลย ทำตารางทำงานบ้าน อันนี้คิดในหัวสมองตัวเอง ไม่ได้เขียนเป็นตารางชัดเจนให้เขาหรอก เพราะจะดูแข็งตัวเกิดไป แต่ตารางที่เราทำนั้น ก็มีความยืดหยุ่นสอดรับกับ ตารางเรียนของลูกนะ” 

   

 

เมื่อถูกถามถึงที่มาของการทำตารางช่วยงานบ้าน คุณแม่อัมภาส ก็บอกผู้เขียนว่า 

          “ไม่อยากให้เป็นภาระของลูกมากจนเกินไป ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสอดแทรกวิธีการบริหารจัดการเวลาให้กับลูกไปด้วยในตัว...เมื่อตารางช่วยงานบ้านสอดรับกับตารางเรียน การตอบรับจากลูกจะดี เขาไม่รู้สึกว่าถูกกดดัน แต่กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า เราเข้าใจเขามากขึ้น” 

 

          “ลูกพี่เขาน่ารัก เป็นเด็กดี เวลาเลิกเรียนกลับบ้านมืดค่ำ เขาจะมีน้ำใจ ขี่รถไปส่งลูกสาวหนูที่บ้านทุกครั้ง ช่วยดูแลน้อง บ้านเราอยู่ใกล้กัน ดูแลกันเหมือนพี่น้อง หนูเลยคลายความเป็นห่วงลูกไปได้เยอะ” 

 

          เป็นคำยืนยัน ถึงนิสัยใจคอและความมีน้ำใจของน้องอนุรักษ์ อินทระ ซึ่งขณะที่เราพูดคุยกันอยู่นั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เป็นช่วงที่เด็กนักเรียนได้พัก ก่อนเลิกเรียน ลูกชายคุณแม่อัมภาส ก็ปั่นจักรยานแวะเวียนมาดูคุณแม่ ที่อาคารเอนกประสงค์ของโรงเรียนรัษฎา

 

                   “นี่ไงคะ ลูกชายของพี่” เป็นคำแนะนำให้ผู้เขียนได้รู้จักเด็กชายผู้ที่กำลังถูกพูดถึง

                   “สวัสดีครับ” เด็กชายยกมือไหว้ ด้วยท่าทางอ่อนน้อม พร้อมกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ร่าเริง 

                   “สวัสดีค่ะ” ผู้เขียนรับไหว้ พร้อมกล่าวทักทายตอบ 

 

กิริยาดังกล่าวของเด็กชาย เป็นคำอธิบายได้ดีกว่า“คำพูด” เป็นพันคำ ซะอีก 

          นอกจาก การใช้ตารางช่วยงานบ้าน เป็นเครื่องมือในการสอนลูก จะทำให้ลูกผ่อนปรนภาระงานของแม่ได้แล้ว ผู้เป็นลูกยังได้รับการปลูกฝัง หรือ หล่อหลอมให้เป็นคนมีระเบียบวินัย รู้จักการบริหารจัดการเวลา (ทั้งที่บ้าน/โรงเรียน) ท่านผู้อ่านคิดเห็นอย่างไร แลกเปลี่ยนได้นะคะ