เรื่องเล่าจากพื้นที่ เครือข่าย อบต. นครสวรรค์ โดย ศิริชัย พรหมทอง
รุ่งนภา จินดาโสม

เรื่องเล่าจาก เครือข่าย อบต. จ.นครสวรรค์

ตอนที่ 1 : สรุปผลการพัฒนาเด็กและเยาวชน ในปี 2553 

และวางแนวทางขับเคลื่อนงาน ปี 2554

 

          อบต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง อบต.เนินศาลา อ.โกรกพระ และ อบต.ลาดยาว อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ เป็นเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ โครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค)  ภายใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้ความสนใจในการเข้ามาทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2552

 

          ในปีที่ผ่านมา โครงการฯ กับ อบต.ตะเคียนเลื่อน อบต.เนินศาลา และอบต.ลาดยาว ได้ร่วมมือกันในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของตำบล ด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ “กลไกการจัดการระดับตำบล” ซึ่งประกอบด้วย 1) กลไกระดับนโยบาย คือ คณะกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับตำบล 2) กลไกพี่เลี้ยง/ที่ปรึกษา หรือ ผู้ใหญ่ใจดี และ 3) กลไกเด็กและเยาวชน หรือ สภาเด็กและเยาวชนตำบล 

 

          เพื่อเป็นการสรุปบทเรียนในรอบปีที่ผ่านมา และร่วมระดมความคิดเห็นในการจัดทำแผนงานในปี 2554  โครงการฯ และ อบต.ตะเคียนเลื่อน อบต.เนินศาลา อบต.ลาดยาว จึงได้จัด เวทีสรุปบทเรียนและวางแผนขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและเยาวชน ขึ้นในวันที่ 9 – 10 กุมภาพันธ์ 2554 ณ ห้องประชุมขององค์การบริหารส่วนตำบล  (แต่ละตำบล)

 

          โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนตำบล และผู้ใหญ่ใจดี ที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา 

 

     

 

          อบต.ตะเคียนเลื่อน ประกอบด้วย ผู้บริหารอบต. เจ้าหน้าที่ อบต. ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน เจ้าหน้าที่สถานีอนามัย ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผู้บริหารและครูโรงเรียน ครูกศน. ฯลฯ 

          อบต.เนินศาลา ประกอบด้วย ผู้บริหารอบต. รองประธานสภาฯ สมาชิก อบต. ปลัดอบต. เลขานุการนายกฯ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ครูโรงเรียน ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ฯลฯ 

          อบต.ลาดยาว ประกอบด้วย รองนายก อบต. หน้าสำนักงานปลัดอบต. ฝ่ายประสานงานอบต. ผอโรงเรียน ครูโรงเรียน ผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าสถานีอนามัย ฯลฯ

          ในปีที่ผ่านมา พบว่า หลาย อบต. กำลังดำเนินงานการเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล แม้จะมีความคืบหน้าหลายประการเกิดขึ้น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงของกระบวนการพัฒนา 

 

          พรศิริ คดบุญ ผู้ประสานงานโครงการฯ จังหวัดนครสวรรค์ เล่าภาพงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบลในปีที่ผ่านมาว่า โครงการฯ ได้ทำงานร่วมกับ 1) อบต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง 2) อบต.เนินศาลา อ.โกรกพระ 3) อบต.หนองบัว อ.หนองบัว 4) อบต.ลาดยาว อ.ลาดยาว 5) อบต.พนมรอก อ.ท่าตะโก 6) อบต.วังน้ำลัด อ.ไพศาลี และ 7) อบต.เขาชายธง อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ 

 

           โดยโครงการฯ ได้เข้ามามีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดกลไก 3 ส่วน ในตำบล คือ กลไกคณะกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนตำบล กลไกผู้ใหญ่ใจดี และกลไกสภาเด็กและเยาวชนระดับตำบล และมีการจัดเวทีเสริมศักยภาพผู้ใหญ่ใจดี จำนวน 3 ครั้ง และเวทีเสริมศักยภาพสภาเด็กและเยาวชนระดับตำบล จำนวน 3 ครั้ง 

 

ตัวอย่าง เนื้อหาในการเสริมศักยภาพให้แก่กลไกกลุ่มเป้าหมาย
เนื้อหาในการเสริมศักยภาพผู้ใหญ่ใจดี  เนื้อหาในการเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชน

 สถานการณ์ปัญหาของเด็กและเยาวชนในตำบล

 - ความสำคัญและบทบาทของพี่เลี้ยง หรือผู้ใหญ่ใจดี 

 - สมรรถนะ (เจตคติ ความรู้ และทักษะ) ที่จำเป็นของพี่เลี้ยง หรือผู้ใหญ่ใจดี 

 - ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัยรุ่น

 - การสื่อสารเชิงบวก (การฟังที่ดี การพูดที่ดี)

 - การจัดการความรู้ (Knowledge Management / KM)

 - การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

 - การเป็น “คุณอำนวยการเรียนรู้” (Facilitator) ให้กับผู้ปกครองเด็กและเยาวชนที่ดี

 - การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้/โครงงาน

 - การติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนรู้

 สถานการณ์ปัญหาของเด็กและเยาวชนในตำบล

- ความสำคัญและบทบาทของสภาเด็กและเยาวชน

- สมรรถนะ (เจตคติ ความรู้ และทักษะ) ที่จำเป็นของแกนนำเด็กและเยาวชน/สภาเด็กและเยาวชน

- ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม (พลังกลุ่ม)

- การประชุมอย่างมีส่วนร่วม

- การนำเกมสันทนาการ

- การจัดการความรู้ (Knowledge Management / KM)

- หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 

- การสื่อสารและการประสานงาน

- การคิด เขียน นำเสนอโครงการ การบริหารโครงการ 

- การติดตามและประเมินผลโครงการ

- การสร้างแกนนำเยาวชนเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์

 

          จากผลการทำงานในปีที่ผ่านมา พรศิริ พบว่า  กลไกระดับนโยบาย คือ คณะกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนตำบล เปรียบเสมือน “คุณเอื้อ” (Chief Knowledge Officer / CKO มีหน้าที่ส่งเสริม เอื้ออำนาจ ให้ ทรัพยากร อาวุธ ทักษะในการทำงานให้แก่ คุณอำนวย) เพราะจะต้องมีบทบาทในการรับรู้รับฟังและให้ข้อคิดเห็น (สถานการณ์ปัญหาของเด็กและเยาวชน, แผนการดำเนินกิจกรรมของแกนนำเยาวชน) สนับสนุนการทำงานของผู้ใหญ่ใจดีและแกนนำเยาวชน และติดตามความก้าวหน้าของกิจกรรม นอกจากนี้ยังช่วยประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานภายในและภายนอก (งบประมาณ, ความรู้) มาช่วยเสริมการทำงานในตำบล 

 

          ส่วนกลไกพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา ซึ่งในโครงการฯ นี้เรียกว่า ผู้ใหญ่ใจดี นั้นเปรียบเสมือน “คุณอำนวย” (Knowledge Facilitator, KF เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวก หนุนเสริมการทำงานของแกนนำเด็กและเยาวชนในตำบล) ทั้งการให้คำปรึกษา, การพาทำกิจกรรม, การชวนคิด ชวนคุยถอดบทเรียน (เพื่อให้เยาวชนได้ข้อคิด บทเรียน เห็นพัฒนาการเปลี่ยนแปลง และสิ่งที่จะต้องปรับปรุง) รวมทั้งการประสานเชื่อมโยงระหว่างคณะกรรมการฯ และแกนนำเยาวชน ตลอดจนคอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนในตำบล 

 

          จุดเน้นสำคัญของการทำงานของโครงการฯ คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการพัฒนาเด็กทั้ง 3 ส่วน และการจัดกิจกรรมที่พยายามไปเปลี่ยนที่เจตคติ และนิสัยหรือพฤติกรรมของเด็ก โดยแปลง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ออกมาเป็น “นิสัยดี 15 ข้อ” ที่ต้องการปลูกฝังให้เด็กคือ ใฝ่รู้ เรียนรู้, ความกตัญญู, ความซื่อสัตย์, ความสุภาพ, ความอดทน, ความรับผิดชอบ, ความมีวินัย, ความตรงต่อเวลา, ความขยัน, การมีเหตุผล, การประหยัด, การรู้จักประมาณตน, ความสามัคคี มีน้ำใจ, การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง, ความสะอาด

 

          โดยโครงการฯ เองได้ดำเนินกิจกรรมกับแกนนำเด็กจำนวนหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการฯ เท่านั้น ซึ่งยังไม่ครอบคลุมเด็กทั้งตำบล (ซึ่งเมื่อโครงการฯถอนตัวออกไปแล้ว) แกนนำเด็กเองก็ยังต้องการกระบวนการหนุนเสริมอย่างต่อเนื่อง จากกลไกในตำบลเอง ซึ่งก็คือ คณะกรรมการฯ และผู้ใหญ่ใจดี เพื่อให้สามารถเป็น “หัวเชื้อ” ที่เข้มแข็ง (คุณอำนวยเด็ก) และไปขยายผลกับเด็กอื่นๆในตำบลได้ต่อไป

 

          อย่างไรก็ดี จากกระแสโลกาภิวัตน์และสื่อที่ถาโถมเข้ามาในชุมชนอย่างไม่หยุดยั้ง และสภาพของครอบครัวและชุมชนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและถูกสั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้สถานการณ์ของเด็กและเยาวชนในปัจจุบันนี้ยังอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงอีกหลายประการ 

 

     

   

          อ.ทรงพล เจตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการ สรส. และหัวหน้าโครงการฯ เห็นว่า เด็กอยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบางมาก ขาดความเข้มแข็งในจิตใจ ขาดภูมิคุ้มกันตัวเอง ทำให้เราพบเห็นปรากฏการณ์ที่ว่า เด็กไม่สนใจการเรียน หนีเรียน, เด็กมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน, เด็กติดยาเสพติด, เด็กก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ และครู ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกเป็นคนดี เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีกระบวนการบ่มเพาะเด็กตั้งแต่อยู่ในท้อง จนคลอด และค่อยๆ เติบโต โดยต้องการ “การมีส่วนร่วม” ของทุกฝ่ายตั้งแต่พ่อแม่ ครอบครัว ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน กศน. วัด อบต. ฯลฯ นั่นหมายถึงว่า เด็กในชุมชนท้องถิ่น ไม่ควรได้รับการแก้ไขด้วย “คนนอก” แต่ควรจะเป็น “คนใน” ชุมชนที่ต้องดูแลลูกหลานของตัวเอง ที่สำคัญในสมัยนี้ พ่อแม่หรือครู จะนำเนื้อหาไปสอนเด็กโดยตรงเลยก็ไม่ได้ จะต้องมีทีมงานส่วนต่างๆ เข้ามาช่วย เช่น มีผู้ใหญ่ใจดี คอยประคับประคอง เป็นพี่เลี้ยง และที่ปรึกษา มีรุ่นพี่ซึ่งเป็นแกนนำเด็กและเยาวชน มาช่วยเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ (Play and Learn) ให้กับเด็กในชุมชน เป็นการเรียนที่สนุกและได้เรียนรู้ไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับวัยและความสนใจของเด็ก อย่างไรก็ดี การจะสร้าง “นิสัยที่ดี” ให้กับเด็ก จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ การมีกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกบ่อยๆ ซึ่งกิจกรรมตรงนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ ได้ ก็ต้องอาศัยการเอื้ออำนวยจาก อบต.นั่นเอง

 

          นายอดิศร ทองอ่อน นายก อบต.ตะเคียนเลื่อน กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ อบต.ให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบลอย่างเต็มที่ และเห็นด้วยว่าจะต้องเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน เช่น ผมเองให้ลูกฝึกจากการทำงานบ้าน งานในไร่นา ไม่ใช่เป็นการทรมานลูก แต่เรากำลังสร้างลูก สุดท้ายพอลูกโตขึ้น เขาก็แข็งแกร่ง และได้ดีทุกคน แต่พ่อแม่ทุกวันนี้กำลังรังแกลูก

 

          สำหรับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล ผมไม่ต้องการมาสร้างแค่ถนนเส้นหนึ่ง แต่ผมต้องการ “สร้างคน” หรือ “พัฒนาคน” ใครจะว่าผมบ้าก็บ้า ที่ให้การสนับสนุนเด็ก พาไปอบรม ไปเข้าค่ายที่นั่นที่นี่ แต่ผลก็คือ เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจริงๆ แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่ แต่เราก็ต้องทำ เพื่อลูกหลานของเรา ถ้าเราวางเฉยไม่เอาใจใส่เด็กในวันนี้ แล้วบ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไร

 

          ในประเด็นเรื่องการพัฒนาคน ผู้เข้าร่วมหลายคนเห็นด้วยว่า การจะพัฒนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่พัฒนาคนก่อน เราจะพัฒนาอะไรต่อไปไม่ได้เลย แต่ขณะนี้ปัญหาที่พบคือ เด็กมีปัญหาทุกหมู่บ้าน คือ เด็กไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปให้ครูสอน ทำให้อ่านหนังสือไม่ออก ส่วนพ่อแม่ก็ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เรื่องการเรียนของลูก เมื่อเด็กไม่มาโรงเรียน แล้วครูจะสอนใคร ทำให้เราพัฒนาอะไรไม่ได้เลย อย่างไรก็ดี หลายคนรู้สึกยินดีมากที่มีโครงการฯ เข้ามา และผู้บริหารท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในตำบล

 

          นายสามารถ เอมแสง นายก อบต.เนินศาลา เห็นว่า ผู้ใหญ่จะต้องปล่อยให้เด็กคิดเอง ทำเอง โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่คอยเสนอแนะ ไม่ปิดกั้นความคิดของเด็ก ที่ผ่านมา อบต.ให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดงานลอยกระทง เปิดโอกาสให้เด็กได้สร้างสรรค์กิจกรรมของเขาเอง แล้วเราก็พบว่า ความจริงแล้วเด็กก็มีศักยภาพ เขาก็ทำได้ดี และเป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่ 

 

สรุปสถานการณ์ปัญหาสำคัญๆ ของเด็กและเยาวชนในตำบล สิ่งที่อยากจะเห็น และข้อเสนอแนะ
อบต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง อบต.เนินศาลา อ.เมือง อบต.ลาดยาว อ.ลาดยาว

สถานการณ์ปัญหา

- กระบวนการคัดเลือกเด็ก เข้าสู่สภาเด็ก และเยาวชนยังไม่ดี ทำให้ได้เด็กไม่หัวกระทิจริงๆ (ทำให้กลไกสภาเด็ก และเยาชนของตำบล ไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร)

- ในพื้นที่มีโรงเรียนประถม 3 แห่ง ซึ่งเด็กประถมเป็นช่วงวัย ที่ง่ายกับการชักจูงมาก และมีรุ่นพี่วัยรุ่นซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี 

- เด็กทำงานเดี่ยว หรืองานคนเดียวจะทำได้ดี แต่ให้มาทำงานร่วมกัน หรือทำงานกลุ่มยังไม่ค่อยได้

- ปัญหาคือ กิจกรรมเด็กทำไม่ต่อเนื่อง

- ไม่มีการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน

- ไม่มีกิจกรรมที่สร้าง ภาวะผู้นำทางธรรมชาติให้กับเด็ก (ขาดแกนนำเด็กที่เข้มแข็งในแต่ละหมู่บ้าน)

สถานการณ์ปัญหา

- ปัจจุบันความสัมพันธ์ในชุมชน ไม่เหมือนในอดีต คือ พ่อแม่ต้องทำงาน ไม่ได้ดูแลลูก บางครั้งให้ปู่ย่าตายาย ดูลูก ไปฝากความหวังไว้ที่โรงเรียน หรือพ่อแม่มีเวลา แต่ก็ดูแล เลี้ยงลูกไม่เป็น 

- เด็กไม่ค่อยได้ออกไปทำ กิจกรรม นอกห้องเรียน หรือในชุมชน จึงไม่ได้เรียนรู้ การทำจริง แต่เป็นการเรียนรู้ บนกระดาน 

- เด็กใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่กับทีวี  คอมพิวเตอร์  เกมส์คอมพิวเตอร์

- เด็กมีประสบการณ์พบเห็นกับ เรื่องไม่ดีง่าย  เช่น  เพื่อนสูบบุหรี่ที่โรงเรียน  คนเล่นการพนัน ในหมู่บ้าน

- มีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร และมีลูกเมื่อไม่พร้อม

- ในตำบล ขาดการคิดแก้ปัญหา เรื่องเด็กอย่างจริงจัง 

สถานการณ์ปัญหา

- เด็กที่โรงเรียนไม่เชื่อฟังครู เพราะครูเองก็ตีเด็กไม่ได้ เด็กเลยไม่มีความเกรงกลัวครูอีกต่อไป เด็กบางส่วนก็ไม่สนใจเรียน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ และครูก็ทำอะไรเด็กไม่ได้ จึงเป็นปัญหาไม่จบสิ้น 

- เด็กสมัยก่อนเห็นครูถือของหนักๆ มา ก็จะเข้าไปช่วย แต่เดี๋ยวนี้เรียกมาช่วย เด็กยังไม่มาเลย (ไม่มีจิตอาสา)

- โรงเรียนและครูพยายามบอกพยามสอนเด็ก แต่ทางบ้าน ผู้ปกครองไม่รับลูกต่อจากโรงเรียน ทำให้ปัญหาเกิดอยู่ตลอดเวลา (ครูสอนอะไรไป พอเด็กกลับไปถึงบ้านก็จะเหมือนเดิม)

- พฤติกรรมเด็กช่วงนี้จะคล้ายคลึงกัน คือ จะติดสื่อทุกชนิด เช่น ติดโทรศัพท์ และติดมาถึงที่โรงเรียนด้วย และยังมีปัญหามีเพศสัมพันธ์และท้องในวัยเรียน ทำให้เรียนไม่จบ (ช่วงอายุที่น่าห่วงคือ 13 – 15 ปี) 

- ส่วนพ่อแม่ไปทำมาหากิน ไม่มีเวลาดูแล เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย ซึ่งตามใจ ทำให้เด็กเสีย พอมาโรงเรียนแม้ครูจะเพียรสอน เด็กก็ทำต่อหน้า แต่รับหลังไม่ก็เชื่อไม่ทำ ไม่รู้จะโทษใคร เพราะสังคมโดยรวมเป็นอย่างนั้น 

- สถานีอนามัย พบว่า ส่วนใหญ่เด็กจะอยู่กับปู่ย่ายาย ซึ่งการดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยยังไม่ดี เวลาเด็กเจ็บป่วยก็จะไม่ได้ไปโรงเรียน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร เพราะหลังจากเข้าค่ายแล้ว กลับไปที่บ้านก็เหมือนเดิม 

สิ่งที่อยากจะเห็น และข้อเสนอแนะ

- เวลาจัดประชุม อยากจะให้ทุกหมู่บ้าน เพื่อมาจูนกัน เพื่อจะได้เข้าใจกัน ทั้งหมด ยินดีไปช่วยกัน เพื่อเป็น ตำบลนำร่อง 

- เด็กรุ่นพี่ที่ดี สามารถนำมาเป็นตัวอย่างให้แก่รุ่นน้องได้

- อยากเห็นเด็กมีการรวมกลุ่ม กันมากขึ้น, มีการทำกิจกรรมมากขึ้น

- อยากให้ผู้ใหญ่ในตำบลได้ฟังเสียง จากเด็ก เช่น เด็กอยากทำอะไร ติดขัดอะไร และอยากจะให้ผู้ใหญ่สนับสนุนอะไร 

- อยากจะให้มีการประสานครอบครัว เข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้นด้วย 

- ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จะต้องทำงานร่วมกับพ่อแม่เด็ก (ไม่แยกส่วน)

- อยากให้มีโครงการฯ เข้ามาและดำเนินไป และโรงเรียนยินดีให้ความร่วมมือ กับโครงการฯ 

- มีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็ก ได้ห่างไกลยาเสพติด มีความรักในชุมชน รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเอื้อเฟื้อ มีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักรับผิดชอบในส่วนรวมในตำบลมากขึ้น

- ผู้ใหญ่ต้องเข้ามาให้การสนับสนุน มากขึ้น และอยากจะให้มีกิจกรรม กระจายไปทั่วถึงเด็กทุกหมู่บ้านในตำบล

- การพัฒนาเด็กและเยาวชน ในชุมชน เราจะเดินคนเดียวคงไปไม่ได้ (ทุกส่วนในชุมชน) คงจะต้องมาเดินร่วมกัน

- เพราะฉะนั้น โรงเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน จะต้องมาคุยกัน ว่าเราจะร่วมกันพัฒนานิสัยเด็กอย่างไร และจะต้องลุกขึ้นมาจัดการศึกษาด้วยกัน

สิ่งที่อยากจะเห็น และข้อเสนอแนะ

- ในชุมชนมีโครงการ หนูรักวันเสาร์ มีครูโรงเรียน และครูศูนย์เด็กฯ (ที่มีใจ)มาช่วยสอน ต่อไปจะต้อง ประชุมคณะกรรมการฯ เรื่องการทำโรงเรียนชุมชน แล้วใช้ปราชญ์ชาวบ้าน ในท้องถิ่น มาช่วยสอน และในชุมชนมีโรงสีชุมชน มีกิจกรรม ฐานสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำมาจัดเป็น แหล่งเรียนรู้ได้ 

- ประสานสถานีอนามัย ทำห้องเรียนพ่อแม่ ให้ความรู้เรื่อง การเลี้ยงดูลูก และโภชนาการเด็ก 

- มีศูนย์พัฒนาครอบครัว จะนำพ่อแม่มาอบรม และทำไปพร้อมๆ กัน แจะต้องไปคุยกับพ่อแม่เบื้องต้น ว่าอยากจะพัฒนาลูก จะต้องทำอย่างไร

- ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีการ ทำกิจกรรมต่างๆ แต่เด็กเล็ก จะเบื่อง่าย กว่าเด็กโต จะต้องพัฒนา กิจกรรม ให้หลากหลาย และสนุกสนาน มากขึ้น

- สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จะพัฒนาตรงไหน อย่างไร เพื่อให้มีนิสัย ประเพณีวัฒนธรรม ที่ดีงาม ติดตัวไป

- การจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน จะต้องชี้แจงกับผู้ปกครอง ว่าทำไมต้องพาเด็ก ออกมานอกโรงเรียน

- ที่โรงเรียนมีโครงการภูมิปัญญา ท้องถิ่น และ มีแหล่งท่องเที่ยว การพาเด็กไปเรียนรู้ ออกนอกโรงเรียน จะต้องระวังเรื่องชู้สาว เพราะเป็น โรงเรียนมัธยม

- งานเร่งด่วนที่ อบต.จะต้องทำ คือการเก็บข้อมูล ผู้รู้ แหล่งเรียนรู้ ที่อยู่ในชุมชน และครอบครัวอาสา (อาจจะหมู่ละ 1 – 2 ครอบครัว) เพื่อนำมา เข้าร่วมกิจกรรม (จัดการเรียนรู้ 4 วิชา) 

- เด็กส่วนใหญ่ อยากจะออก ไปอบรมนอกพื้นที่บ้าง เพราะ แหล่งเรียนรู้ ในพื้นที่ ไม่น่าสนใจ ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการฯ และผู้ใหญ่ใจดี ต้องมาช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไร ให้แหล่งเรียนรู้ ที่มีอยู่ มีความน่าสนใจ และดึงให้เด็กอยาก จะมาเรียนรู้

สิ่งที่อยากจะเห็น และข้อเสนอแนะ

- ปัจจุบันนี้เด็กรับสื่อหลายทาง (ทั้งทางบวกและลบ) เพราะฉะนั้น บ้าน วัด โรงเรียน ก็ต้องมาประสานงานกัน (ไม่ใช่ประสานงา) ขอให้โครงการฯ เข้ามาเป็นจุดเชื่อมให้ทกภาคส่วนในตำบลได้มาคุยกัน

- เด็กสมัยนี้สมาธิสั้นมาก น่าจะมีกิจกรรมที่มามาเสริมเพื่อช่วยเด็ก เช่น มีกิจกรรมที่ฝึกสมาธิหน้าเสาธง

- อยากจะให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง เด็กจะได้ไม่เบื่อ เช่น ที่โรงเรียนจะฝึกให้เด็กทำอาหารกลางวันทานเอง, การปลูกผักที่โรงเรียน

- จะต้องมีการปรับตัวเองของผู้ใหญ่(ผู้ใหญ่ใจดี)ให้เข้ากับเด็กให้ได้ด้วย

- จะต้องมีการติดตามการดำเนินงานและผลการเปลี่ยนแปลงของเด็กตลอดเวลา (ต่อเนื่อง/จริงจัง) แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ปกครองยังมีภาระเรื่องการทำมาหากิน และครูก็มีภาระงานเยอะมาก

- บางโรงเรียนให้เด็กเรียนพิเศษตอนเย็น (ตั้งแต่ ป.1 – ป.6) แต่ก็มีบางโรงเรียนไม่ได้สอนพิเศษเด็กตอนเย็น ถ้าเรามาชวนเด็กมาทำกิจกรรมอื่นๆ ผู้ปกครองอาจจะไม่เข้าใจ จึงต้องไปปรับความเข้าใจกับพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย โดยต้องอาศัยความร่วมมือกับ อบต.มาช่วยสื่อสาร

- กิจกรรมจะต้องทำตั้งแต่เริ่มเปิดภาคการศึกษาเป็นต้นไป มิฉะนั้น ถ้าเด็กปิดเทอมก็จะห่างไป

 

          อ.ทรงพล เจตนาวณิชย์ ชี้ให้เห็นว่า คนสมัยก่อนไม่ได้เรียนสูง แต่ทำไมทำเป็นทุกอย่าง สร้างงานสร้างอาชีพได้ เอาตัวรอดได้ในสังคม เพราะเขาได้เรียนรู้ใน 4 วิชา ไปในวิถีชีวิตของเขาตลอดเวลา คือ วิชาชีวิต วิชาชีพ วิชาการ และวิชาชุมชน คนสมัยก่อนได้รับการหล่อหลอมของบ้าน วัด โรงเรียน และมีคุณธรรมเป็นหลักยึด 

 

          แต่เด็กในสมัยนี้ไม่มี “เป้าหมายชีวิต” ขาดการดูแลจากบ้าน วัด โรงเรียน ขาดภูมิคุ้มกัน และมีโอกาสถูกชักจูงไปใน “พื้นที่เสี่ยง” ต่างๆ ได้ง่าย ดังนั้น ตอนนี้เราต้องช่วยกันช่วงชิงเวลาเด็ก ดึงเวลาเด็กจากสื่อต่างๆ ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทุกภาคส่วนในชุมชนต้องร่วมมือกัน เพื่อจัดการศึกษาเรียนรู้ให้กับเด็ก จัดกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน หัวจักรขบวนนี้ อยู่ที่คนในพื้นที่เอง ศึกนี้ ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน เราแพ้หมด และคนที่แพ้ที่สุดคือ เด็ก หรือลูกหลานของเรานั่นเอง

 

          เราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ให้ “รู้จักหาความสุข สนุก จากเรื่องดีๆ” ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามยถากรรม ถ้าไม่มีพี่ที่ดีนำไปในทางที่ดีก็ดีไป ถ้ามีพี่นำไปในทางที่ไม่ดี เด็กก็เสียไป จึงต้องมีผู้ใหญ่ใจดีคอยดูแล ให้หลักคิดหลักยึดในการดำรงชีวิตแก่เขาด้วย

 

โครงการฯ จึงวาง แนวทางการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและเยาวชนเบื้องต้น ร่วมกับพื้นที่ ดังนี้คือ

          1) ผู้ใหญ่ใจดี หรือ คนที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนทั้งหลาย ก็ทำกิจกรรมตามความถนัดของตัวเอง ทำตามวิถีของตัวเอง แต่มีเป้าหมายเดียวกัน  คือ ใช้กิจกรรมที่ทำ ฝึกนิสัยเด็ก และฝึกให้เด็กมีทักษะทั้งวิชาชีวิต วิชาชีพ วิชาการ และวิชาชุมชน 

          2) หลังจาก (ผู้ใหญ่ใจดี หรือ คนที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนทั้งหลาย) ทำกิจกรรมแล้ว จะมีการกลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นระยะๆ เช่น เดือนละ 1 ครั้ง หรือ 2 เดือน/ครั้ง (ตามความเหมาะสมของกลุ่ม) โดย

(1) โครงการฯ/สรส. ทำหน้าที่จัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้, การเสริมความรู้และทักษะที่จำเป็นให้กับเด็กและเยาวชน และผู้ใหญ่ใจดี รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณบางส่วน

(2) อบต. ทำหน้าที่ในการประสานงาน ประสานคน และสถานที่ รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณบางส่วน

(3) ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน สถานีอนามัย ฯลฯ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา, ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย  

          3) คณะกรรมการฯ ผู้ใหญ่ใจดี ร่วมกับ อบต. ออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในตำบล เช่น ทำ walk rally ฐานการเรียนรู้ของตำบล, จัดหลักสูตรให้เด็กได้เรียนรู้ (ทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้กับเด็กในตำบล) โดยหนุนให้ชุมชนลุกขึ้นมา “จัดการศึกษา” ให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน

          4) กลไกการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล จะยั่งยืนได้ ต่อไปอาจจะต้องมีการระดมทุน เพื่อทำเป็น “กองทุน” เพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล 

          5) เมื่อกลไกการพัฒนาเด็กและเยาวชนในตำบล มีความเข้มแข็ง ต่อไปอาจจะจดทะเบียนเป็น “องค์กรสาธารณประโยชน์” เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่สนใจเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้มีพื้นที่ในการทำงานมากขึ้น (เช่น ครู/ผอ.ที่เกษียณแล้ว หรือผู้บริหาร/สมาชิก อบต.ที่หมดวาระ)

 

ซึ่งลักษณะ ขั้นตอนการดำเนินงาน หรือ แนวทางปฏิบัติ จะเป็นดังนี้คือ 

          1) อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน เลือกกลุ่มเป้าหมาย เด็ก/เยาวชน และครอบครัว ที่สนใจจะเข้าร่วมทำกิจกรรมด้วย

                    - คัดเลือกเด็ก ผู้ปกครอง (กลุ่มเป้าหมาย) เป็นใคร 

                    - มีจำนวนเท่าไร (ไม่เน้นเชิงปริมาณ ทำกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นจริงได้ก่อน)

          2) อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน ชี้แจงกิจกรรมและวัตถุประสงค์ เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ปกครองและกลุ่มเป้าหมาย (อบต.อาจจะช่วยทำหนังสือนำให้ด้วย)

          3) อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน เช่น ผอ.หรือครูให้เด็กนักเรียนไปสำรวจและเก็บข้อมูลมาว่า ที่บ้าน พ่อแม่ (และปู่ย่า หรือญาติ) ทำอะไรเก่งบ้าง และในหมู่บ้านมีแหล่งเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดทำเมนูหรือหลักสูตรการพัฒนาเด็ก

          4) อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน จัดกระบวนการตรวจสอบความสนใจและความต้องการเรียนรู้ของเด็ก (อาจจะทำร่วมกับพ่อแม่/ผู้ปกครองของเด็กก็ได้) 

ตัวอย่างชุดคำถามในการจัดกระบวนการกับเด็กและผู้ปกครอง

                    - ในอนาคตเด็กอยากจะเป็นอะไร อยากจะมีอาชีพอะไร 

                    - ถ้าเราจะมีอาชีพนั้นได้ เราจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ต้องเก่งอะไร/ทำอะไรเป็นบ้าง

                    - ที่บ้านพ่อแม่จะช่วยฝึกเราในเรื่องอะไรได้บ้าง / เราจะฝึกตัวเองที่บ้านในเรื่องอะไรได้บ้าง

                    - ในชุมชนเราจะไปฝึกกับใคร/หน่วยงานไหนได้บ้าง และเรื่องอะไร

ส่วนพ่อแม่เองต้องการการเติมความรู้ในการเลี้ยงลูกเรื่องใด (อบต./ผู้ที่เกี่ยวข้อง ประมวลผลข้อมูลปัญหาความต้องการของพ่อแม่ และเปิดห้องเรียนพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่รู้จักฝึกลูก และสอนลูกให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ได้)

          5) จากนั้น อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน จึงมาออกแบบและจัดแหล่งเรียนรู้ที่ตรงกับความสนใจของเด็ก (หลักสูตรการพัฒนาเด็ก) และทำปฏิทินการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ผู้ปกครอง และภาคีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                    - จะใช้ฐานการเรียนรู้หรือกิจกรรมอะไรในการฝึกนิสัยเด็ก

                    - ฐานการเรียนรู้หรือกิจกรรมเหล่านั้น สามารถฝึกเด็กในเรื่องอะไรได้บ้าง

                    - ในการทำกิจกรรมนี้  ต้องร่วมมือกับภาคีใดบ้างเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ครบทั้ง 4 วิชา

                    - ในการทำกิจกรรมดังกล่าวนี้  ต้องการสนับสนุนอะไรบ้าง และจากใคร

ตัวอย่างเช่น กิจกรรมทำบัวลอย จะใช้ฝึก เจตคติ คือ การมีจิตใจเอื้อเฟื้อ เรียนรู้เรื่องการแบ่งปัน (ให้เด็กได้แบ่งปันขนมที่ทำกับคนในชุมชน), การเห็นคุณค่าและประโยชน์ของขนมไทย ความรู้ คือ ความรู้ในวิธีการทำขนม, ความรู้เรื่อง สมุนไพร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ใช้สีจากธรรมชาติในการใส่ขนม เช่น ดอกอัญชัน ปรุงน้ำหวานด้วยการใส่ใบเตยให้มีกลิ่นหอม) ทักษะ คือ ทักษะการทำขนมให้อร่อย (สามารถทำเป็นอาชีพได้) การทำงานเป็นทีม (ให้เด็กได้ทำงานร่วมกัน) ฝึกความสามัคคี ประโยชน์ของกิจกรรม คือ มิติด้านจิตใจ, มิติด้านสุขภาพ (ดึงไม่ให้ไปกินขนมกุบกรอบ), การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ (ดึงเวลาเด็ก จากการไปเล่นเกมส์ ฯลฯ) ข้อสังเกต สิ่งที่เราฝึกเด็ก ไม่ได้ต้องการได้ขนม แต่ต้องการได้เด็ก

          6) ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน จัดการเรียนรู้ตามตารางเรียน/ปฏิทินที่กำหนดไว้ 

                    - กิจกรรมที่ทำนอกจากจะฝึกนิสัยเด็กแล้ว แต่ต้องทำให้เด็กได้วิชาการด้วย ซึ่งจะช่วยให้เด็กหันกลับมาสนใจการเรียน(ในห้องเรียน)ด้วย (หรือช่วยทำให้เรียนดีขึ้นด้วย)

                    - กิจกรรมที่ใส่เข้าไปจะต้องทำให้เด็กได้เรียนรู้และได้ต้องได้เล่นด้วย อาจจะให้สภาเด็กและเยาวชนตำบล ทำหน้าที่เป็นรุ่นพี่พาน้องทำกิจกรรมสันทนาการ (play & learn) หรือเล่นไป เรียนรู้ไป บนงานที่ทำ เพื่อสอดคล้องกับวัยของเด็กที่ไม่ชอบความเคร่งเครียดจนเกินไป

                    - ให้เด็กฝึกบันทึก มีสมุดบันทึก (ถอดสิ่งที่เรียนรู้) และมาแลกเปลี่ยน (ถอดบทเรียน) เพื่อฝึกทักษะ สุ จิ ปุ ลิ ผ่านกิจกรรมที่ทำ

          7) หลังจากทำกิจกรรมแล้ว อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน ผู้ปกครอง ร่วม ประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของเด็ก

          8) อบต./ผู้ใหญ่ใจดี/คนทำงานด้านเด็กและเยาวชน คัดเด็ก/ครอบครัวที่มีการเปลี่ยนแปลงตนเอง มาให้รางวัลในวันเด็ก เพื่อให้เด็ก/ครอบครัวได้ภาคภูมิใจ และชุมชนเห็นคุณค่าของการพัฒนาเด็ก 

 

          กระบวนการทำงานของโครงการฯ นี้เริ่มในระดับรากหญ้า… กำลังทำเรื่องเล็กๆ โดยคาดหวังผลที่ยิ่งใหญ่ เรากำลังพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นนักเรียนที่ดีของครูและโรงเรียน เป็นคนดีของชุมชน และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แม้จะเป็