เรื่องเล่าบุญข้าวประดับดิน...เยาวชนชาวดินบ้านโคกกลาง โดย Webmaster โครงการพี่แอ๋ม
รุ่งนภา จินดาโสม

งานบุญเดือนเก้า “บุญข้าวประดับดิน”

วราภรณ์ หลวงมณี (เล่าเรื่อง)

เดือนแปดคล้อยเห็นลมทั่งใบเสียว

เหลียวเห็นหมู่ปลาขาวแล่นมาโฮมต้อน

กบเพิ่นนอนคอยท่าฝนมาสิได้ม่วน

ชวนกันลงเล่นน้ำโห่ฮ้องซั่วแซว

เดือนเก้ามาฮอดแล้วบ้านป่าขาดอน

เห็นแต่นกเขางอยคอนส่งเสียงหาซู้

เถิงระดูเดือนเก้าอีสานเฮาทุกท้องถิ่น

คงสิเคยได้ยินบุญประดับดินกินก้อนทานทอดน้อมถวาย

­

บทผญาข้างต้นทำให้นึกถึงการบอกเล่า บอกกล่าวกับลูกหลานของคนโบราณไม่ได้บอกตรงๆ แต่มักจะเปรียบเทียบกับธรรมชาติ สภาพบรรยากาศควบคู่กับวิถีชีวิตไปด้วย การจดจำของลูกหลานก็ไม่ยากเพราะมันโยงกับสิ่งใกล้ตัว อีกทั้งยังบ่งบอกถึงการใช้ชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมของผู้คนแต่ก่อนก็ไม่ได้แปลกแยกกับธรรมชาติ คนที่อยู่บนเขาก็ปรับตัวให้อยู่กับที่สูงได้ คนที่อยู่กับน้ำก็ปรับตัวให้อยู่กับน้ำ คนอีสานที่อยู่กับความแห้งแล้งบนพื้นที่ราบสูงก็สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับพื้นที่ได้ ผิดกับผู้คนในยุคปัจจุบันที่พยายามฝืนและดัดแปลงธรรมชาติให้เอื้อต่อความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตนเอง

­

­

“บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน ปีนี้ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม 2554 ทุกคนรู้จักชื่อนี้แต่ดูเหมือนความหมายและพิธีกรรมมันลางเลือนไปแล้วสำหรับคนรุ่นหลัง แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนก็เลิกทำไปแล้ว หรือแม้จะทำก็เลือกทำบางส่วน เหตุผลของผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่แพ้คนรุ่นใหม่ “มันยุ่งยาก เอาสะดวกดีกว่าทำบุญตักบาตรตอนเช้าก็พอ” แต่สำหรับคนที่ยังทำอยู่ก็จะบอกว่า “พ่อแม่พาทำก็ทำตามกันมาไม่ได้ขาด” บางคนก็บอกว่า “แล้วแต่พระที่มาอยู่จะพาทำ บ้านเราเปลี่ยนพระบ่อยประเพณีเลยเปลี่ยนไปเรื่อย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันแน่” ส่วนพระเจ้าอาวาสที่มาอยู่ใหม่ก็บอกว่า “งานประเพณีพวกนี้เป็นแค่เปลือก จะทำหรือไม่ทำก็ได้ ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ ก็มีแต่หมาแมวเท่านั้นแหละเพราะวางไว้บนดิน” คำบอกเล่าเหล่านี้เกิดขึ้นในวันที่พวกเราได้นิมนต์พระสงฆ์ เจ้าอาวาส ผู้นำทางพิธีกรรม ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังทำงานบุญนี้ประจำอยู่ รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีและกำนันที่เป็นแกนหลักในการปรึกษาหารือก่อนเริ่มกิจกรรมงานบุญทุกครั้ง เมื่อมีหลายเสียงที่แตกต่างกัน ผู้ประสานงานจึงขอให้เจ้าอาวาสเล่าถึงความเป็นมาของบุญข้าวประดับดิน เพื่อให้เกิดความเข้าใจไปในแนวทางเดียวกันก่อน

­

­

“มีเรื่องเล่าไว้ในพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์เมื่อตายแล้วไปเกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศ ให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏ ใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเข้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลปไให้ญาติที่ตายไปจึงได้รับส่วน กุศลการทำบุญข้าวประดับดิน ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณี ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี

­

คนลาวและไทยอีสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่า กลางคืนของเดือนเก้าดับ (วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9) เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี ดังนั้นจึงพากันจัดห่อข้าวไว้ให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นงานบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว”

­

­

[1] บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน คือ บุญที่ทำในวันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า (ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นการนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อย่างละเล็ก อย่างละน้อย แล้วห่อด้วยใบตองทำเป็นห่อเล็กๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เป็นการทำบุญที่จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

­

หลังจากเจ้าอาวาสเล่าจบ ผู้ประสานงานก็ได้ถามไปกับวงสนทนาว่า “พ่อๆแม่ๆคิดว่างานบุญข้าวประดับดินในแต่อดีตมีความสำคัญอย่างไร ทำไมบรรพบุรุษเราถึงได้ให้มีงานบุญนี้อยู่ในฮีตสิบสองด้วย” บางคนบอกว่า “เพื่อให้นึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ไม่ลืมว่าพ่อแม่เคยเลี้ยงดูเรามา” บางคนบอกว่า “เป็นการทำบุญทำทานให้กับสรรพสัตว์ได้กินข้าวของที่วางไว้” บางคนตอบหนักเข้าไปอีกว่า “บรรพบุรุษเราเห็นว่า เดือนเก้าไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเลือกที่จะทำบุญนี้” นานาข้อคิดเห็นเกี่ยวกับงานบุญข้าวประดับดิน แต่เสียงส่วนใหญ่ก็มาทางเพื่อให้ลูกหลานรู้จักกตัญญู ผู้ประสานงานจึงใช้ประเด็นนี้เดินต่อว่า “การทำบุญข้าวประดับดินเลือกทำในวันแรม 14 ค่ำเดือนเก้า ซึ่งเป็นบุญเดียวที่ทำในวันแรมหรือคืนเดือนมืด จะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้เจตนาก็คงจะไม่ใช่ แต่เป็นบุญที่เชื่อมโยงกับการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งมีนัยยะของการตอกย้ำให้ทำกันเป็นประจำไม่ให้ขาดจนต้องกำหนดให้เป็นประเพณี” และก็ถามกลับไปว่า “ลูกหลานของเราเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ความสนใจเลี้ยงดูพ่อแม่มีมากน้อยแค่ไหน” แต่ละคนก็ส่ายหน้าและบ่นว่า “มันไม่เหมือนเมื่อก่อนหรอก” ผู้ประสานงานจึงย้ำว่า “ถ้าเราอยากให้ลูกหลานรู้จักความกตัญญู เราก็ต้องบอกต้องสอนต้องพาทำ และน่าจะใช้โอกาสของงานบุญประเพณีที่สืบทอดกันมานี้ดึงให้ลูกหลานได้ทำ”...

­

­

บทสรุปของการพูดคุยครั้งนี้จึงลงเอยอยู่ที่การทำบุญข้าวประดับดินโดย...ในตอนเย็นของวันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 แต่ละครอบครัวจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองกล้วยขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง ห่ออาหารคาวห่อหนึ่งและอาหารหวานห่อหนึ่ง และหมากพลูบุหรี่ห่อหนึ่ง เย็บหุ้มปลาย พอถึงเวลาประมาณ 03.00-04.00 น. ของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะนำเอาห่อข้าวน้อยที่จัดเตรียมได้แล้วไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในวัด วางไว้ตามดินริมกำแพงวัด วางไว้ริมโบสก์ ริมเจดีย์ในวัด การนำเอาห่อข้าวน้อยไปวางตามที่ต่างๆ ในวัดเรียกว่า การยาย (วางเป็นระยะๆ) ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบๆ ไม่มีการตีฆ้องตีกลองแต่อย่างใด หลังจากการยาย (วาง) ห่อข้าวน้อยเสร็จ ชาวบ้านจะกลับบ้านโดยไม่มีการชวนกันกลับ (ต่างคนต่างไป) เพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรในตอนเช้าของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 หลังจากนั้น พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องอานิสงฆ์ของบุญข้าวประดับดินให้ฟัง ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุกๆ คน

­

หลังจากลำดับพิธีการเสร็จ พ่อๆ แม่ๆ ที่มาร่วมประชุมก็ทยอยกลับ แต่กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่เคยช่วยงาน

­

­

กันก็ยังคงไม่ขยับ รีๆรอๆ จนเหลือเฉพาะกลุ่มแกนโดยไม่ได้นัดหมาย กำนันจึงให้เด็กๆ ไปเอาข้าวโพดต้มที่บ้านมากินกันต่อ (พันธุ์ข้าวโพดที่ได้รางวัลจากงานเทศกาลอาหารพื้นถิ่นตอนต้นปี) หลังจากคุยสัพเพเหระกันได้สักครู่ เราก็คุยกันต่อว่าบุญข้าวประดับดินเราจะทำอะไรเพิ่มบ้าง พระอาจารย์เจ้าอาวาสหลังจากเดินออกไปแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาใหม่ ผู้ประสานงานจึงได้โอกาสถวายงานในช่วงเย็นของบุญข้าวประดับดิน ก่อนจะทำกิจกรรมอื่นๆ ก็ให้เด็กและชาวบ้านที่มาได้ไหว้พระสวดมนต์ พร้อมกับภาวนาสักเล็กน้อย กำนันก็เสนอว่า อยากคุยกับเด็กๆ ที่ได้ไปเข้าค่ายพุทธบุตรมาเพื่อกระตุ้นเตือนให้ปฏิบัติต่อ พี่สำเนียงเสนอว่าตนเองจะเล่านิทานเกี่ยวกับความกตัญญู เป็นเรื่องราวที่ใช้ลำในคณะหมอลำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้ทีมสารภัญเด็กก็จะร้องบทที่เกี่ยวกับบุญคุณพ่อแม่ บางคนก็บอกว่าไม่มีหนังฉายหรืออยากดูหนัง ศักดาจึงรับปากว่าจะฉายหนัง “ปัญญา เรณู” ให้ดู ส่วนทีมแม่ครัวก็เสนอตัวมาทำน้ำขนมจีนให้เด็กๆ ได้รับประทานกัน

­

เมื่อกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีทยอยกลับกันแล้ว ก็ยังคงเหลือกลุ่มแกนนำเยาวชนที่ต้องคุยกันต่อหลังจากมองเห็นกิจกรรมแล้ว โดยการแบ่งบทบาทหน้าที่กัน แกนนำเยาวชนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ส่วนหนึ่งก็จะติดสอบกลางภาค อาจไม่ได้มาช่วยงานอย่างเต็มที่ แต่ทีมที่เหลือก็ดูเหมือนไม่หนักใจ เพราะงานทำแบบง่ายๆ และผู้ใหญ่ใจดีหลายคนก็เสนอตัวเข้ามาช่วย ศักดาทำหน้าที่เตรียมสื่อที่จะฉาย หน่องและโอ๋เตรียมฝึกซ้อมน้องๆ แก๊งแมวเหมียว ร้องสารภัญญะที่เกี่ยวกับความกตัญญูต่อพ่อแม่ และเตรียมผู้ใหญ่ใจดีเล่านิทานสอนใจที่เกี่ยวกับความกตัญญู พร้อมกับจัดเตรียมสถานที่เพื่อทำกิจกรรม ส่วนผู้ใหญ่ใจดีก็จะช่วยกันทำน้ำขนมจีนไว้กินกันตอนเย็น เพื่อรื้อฟื้นบรรยากาศเก่าๆ ของรุ่นพ่อรุ่นแม่

­

­

เช้ามืด (ตี 4) ของวันแรม 14 ค่ำเดือนเก้า ยายฮอนและผู้เฒ่าผู้แก่ 10 กว่าคน ถือข้าวสากไปวางตามที่ต่างๆ ของบริเวณวัด อันดับแรกก็วางไว้ตรงที่เก็บอัฐิของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย จากนั้นก็แขวนไว้ตามต้นไม้ ราวรั้ว เป็นต้น พร้อมกับบอกให้หมู่เปรตญาติมารับข้าวปลาอาหารที่ลูกเตรียมไว้ให้ หลังจากวางเสร็จต่างคนก็ต่างเดินกลับบ้านโดยไม่ชักชวนกัน และไม่หันกลับไปมองข้างหลัง เพราะเชื่อกันว่า เดี๋ยวหมู่เปรตหรือผีบรรพบุรุษจะกลับไปด้วย ส่วนลูกๆ หลานๆ บอกว่าขอมาทำบุญตักบาตรตอนเช้าดีกว่า เพราะตื่นตี 4 ไม่ไหว ส่วนยายฮอนผู้ไม่เคยขาดการทำแบบนี้เลยบอกว่า “ใครไม่ทำก็ตาม แต่ตนเองต้องทำเพราะพ่อแม่พาทำ ไม่กล้าทิ้งหรอก” เช้าวันนี้ที่ศาลาวัดจึงมีผู้คนเนืองแน่นศาลาเพื่อนำข้าวปลาอาหารมาถวายพระสงฆ์ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้กับหมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว บางคนก็เชื่อว่าการทำบุญในวันแรม 14 ค่ำเดือน 9 นี้เป็นการทำบุญให้กับหมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่เป็นญาติที่สืบสาวกันได้ในชาตินี้ แต่การทำบุญในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 10 (บุญข้าวสาก) นั้น เป็นการทำบุญให้กับผู้ที่เคยเป็นญาติกันในอดีตชาติที่ไม่สามารถสืบสาวกันได้ในชาตินี้

­

­

เพื่อการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกจากการรับรู้ว่าวันนี้เป็นวันทำบุญข้าวประดับดินแล้ว การเข้าถึงความหมายที่แฝงฝังอยู่ของบรรพบุรุษก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่คนจัดกระบวนการเรียนรู้จะต้องนำพาเด็กๆ และชุมชนเข้าให้ถึง กิจกรรมในภาคค่ำจึงเริ่มขึ้นหลังจากเด็ก เยาวชน และคนเฒ่าคนแก่เริ่มมากันหน้าตาบนศาลา พระอาจารย์เจ้าอาวาสจึงนำทำวัตรสวดมนต์ และภาวนาร่วมกัน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 30 นาที ก็เห็นได้ว่าเด็กๆ ที่มาร่วมทำวัตรวันพระในช่วงเข้าพรรษาสามารถสวดมนต์ไปพร้อมกับพระอาจารย์ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด รู้วิธีการนั่งสมาธิและนั่งได้นานกว่าคนเฒ่าบางคน ที่พอพระอาจารย์ให้นั่งสมาธิก็เห็นเป็นเรื่องขบขันและวางตัวไม่ถูก จนได้รับคำชมจากมัคทายกว่า “เด็กพวกนี้เก่งกว่าพ่อกว่าแม่ รู้เรื่องพุทธศาสนามากกว่าด้วย...”

­

เจ้าอาวาสก็ใช้โอกาสนี้ในการเล่าความเป็นมาของการทำอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ โดยยกเรื่องพระเจ้าพิมพิสารดังที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้น กลับมาเล่าอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของกำนันได้ชวนเด็กทบทวนการไปเข้าค่ายพุทธบุตรที่วัดป่ากาญจนาภิเษกของน้องๆ ในชั้นประถม โดยกำนันเห็นว่า หลังจากกลับมาแล้วทางโรงเรียนก็ไม่มีการติดตามให้เด็กได้ทำต่อเนื่อง กำนันจึงอยากใช้โอกาสนี้ในการกระตุ้นเตือนให้เด็กๆ ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย หลังจากนั้นกำนันก็มีนิทานแถมให้กับเด็กๆ หนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับความกตัญญู ชื่อเรื่อง “ยายหมาขาว” ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบต่อกันมา และคณะหมอลำชื่อดังของบ้านโคกกลางก็นำเรื่องนี้มาแต่งเป็นลำเรื่องที่เล่นกันทั้งคืน พี่สำเนียงและพี่ปราณีซึ่งเป็นพระเอกและนางเอกในเรื่องนี้เล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงเป็นอย่างมาก คนฟังคนดูแล้วร้องไห้ไปตามๆ กัน

­

­

สำหรับนิทานก็วางคนเล่ากันไว้หลายคน แต่เนื่องจากกำนันใช้เวลากับนิทานยายหมาขาวไปนานมาก คนอื่นๆ จึงเห็นว่า น่าจะเป็นรายการอื่นต่อไปเพื่อไม่ให้ดึกมากนัก จึงเป็นหน้าที่ของน้องๆ แก็งแมวเหมียวขับร้องสารภัญญะ หลังจากฝึกฝนร้องกับยายๆ ในช่วงก่อนเข้าพรรษา และพวกยายๆ ก็พาไปร้องประกวดในงานทอดเทียนวัดต่างๆ จนได้รางวัลมามากมาย และเป็นที่ชื่นชมของหมู่บ้านอื่นๆ วันนี้พวกเขาร้องสารภัญญะบท “บุญคุณพ่อแม่” จนเหล่ายายๆ น้ำตาคลอด้วยความชื่นชมลูกหลาน และพี่โอ๋ก็มาสรุปให้น้องๆ ฟังเกี่ยวกับเนื้อหาอีกทีหนึ่ง เพราะเห็นว่าน้องๆ หรือผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ฟัง ด้วยกำลังสนุกสนานกับการคุยกันอยู่

­

ช่วงที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อพี่ศักดาเริ่มนำหนังลงสู่จอ (หมู่บ้านนี้ทั้งผู้ใหญ่ คนเฒ่า และเด็กๆ ต่างนิยมดูหนังกันอย่างมาก) ศักดาฉายหนังตัวอย่างที่ให้น้องๆ แสดง เป็นหนังแนวบู๊แอ๊คชั่น ความยาวประมาณ 3 นาที แล้วก็บอกว่า “พบกันเร็วๆ นี้” เป็นที่ฮือฮากันมา ขอให้ฉายซ้ำประมาณ 5 รอบ กว่าที่หนังจริงอย่าง “ปัญญา เรณู” จะได้ฉาย ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนก็นั่งดูหนังจอน้อยกันจนถึงเช้าอย่างไม่ท้อถอยเช่นกัน

­

จากการจัดกระบวนการเรียนรู้ในครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนได้แนวคิดว่า ในด้านการทำพิธีกรรมนี้เราควรจัดให้คนทั้งชุมชนได้มีส่วนร่วม และในส่วนของเนื้อหาลึกๆนั้น เราน่าจะทำเฉพาะกับเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายก็น่าจะทำให้การเรียนรู้ของพวกเขาลึกซึ้งและได้ประโยชน์มากกว่า จากการสังเกตกิจกรรมที่ผ่านมา ชาวบ้านหรือผู้คนส่วนใหญ่มักจะคุยกันไม่ได้สนใจรับฟังมากนัก ทำให้เกิดประโยชน์น้อย ส่วนการสื่อเนื้อหาก็น่าจะสอดแทรกไว้กับหนังสั้นที่จัดทำในแต่ละเดือน ตามที่พวกเขาสนใจ

­