เล่าเรื่อง “บุญคูณลาน...ที่นาศักดา”
โดย วราภรณ์ หลวงมณี (เล่าเรื่อง) กรวี เจริญใหญ่ (ถอดบทสูตรขวัญ)
"เถิงฤดูเดือนยี่มาฮอดแล้ว
ให้นิมนต์พระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งสวดมงคล
เอาบุญคูณข้าวเข้าป่าหาไม้เห็ดหลัว
อย่าได้หลงลืมทิ่มฮีตเก่าคองเดิมเฮาเด้อ"
เดือนยี่หมายถึงเดือนสองหรือเดือนมกราคมที่เราคุ้นๆ กันนั่นเอง งานบุญในฮีตสิบสองก็คือ “บุญคูนลาน” คำว่า “คูณ” หมายถึงการทำให้มากขึ้น ส่วนคำว่า “ลาน” หมายถึงสถานที่สำหรับการนำมัดข้าวที่เกี่ยวแล้วมากองรวมกัน และใช้สำหรับนวดข้าวให้เมล็ดข้าวออกจากรวง ก่อนที่จะนำข้าวขึ้นไปเก็บในยุ้งฉาง ดังนั้นการทำบุญคูณลานจึงเป็นพิธีกรรมที่จัดทำขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระแม่โพสพหรือบุญคุณของข้าวที่มีต่อมนุษย์ เป็นการแสดงถึงความกตัญญู นั่นคือ การรู้คุณ และการตอบแทนพระคุณ อานิสงส์ของการกตัญญูนั้นมีมากมาย ทั้งทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า รู้จักการแบ่งปัน การให้ การตอบแทนต่อผู้มีพระคุณ เป็นที่รักและเชื่อถือของคนอื่น และชีวิตมีความสุข มีความยินดี ในสังคมไทยจึงมีข้อคิดมากมายที่เตือนใจสอนลูกหลานในเรื่องความกตัญญู เช่น

“การให้เป็นเหตุให้มีความสุข ยิ่งกว่าการรับ”“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“อย่าร่ำร้องสิ่งใดจากสังคม โดยที่คุณยังไม่ได้เป็นผู้ให้”
“ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเองแต่ผู้เดียว จงมีจิตใจที่สำนึกบุญคุณ และอย่าชักช้าที่จะแสดงความของคุณต่อผู้ที่ช่วยเหลือเรา”
สำหรับเกษตรกรหรือชาวนาแล้ว อานิสงส์ที่เป็นรูปธรรมที่พวกเขาสัมผัสได้จากการปฏิบัติดีต่อข้าว ต่อพระแม่โพสพ ต่อพื้นดิน หรือแม้แต่กับผีตาแฮกที่ช่วยดูแลไร่นา คือ ข้าวเจริญงอกงาม ได้ผลผลิตดี แม้มีที่นาน้อยทำนาได้น้อย แต่ข้าวที่ได้นั้นก็มีเพียงพอกับการบริโภคในครัวเรือน ดังคำกล่าวแต่โบร่ำโบราณว่า “กินบ่บก จกบ่ลง” บรรพบุรุษจึงได้แปลงความเชื่อนี้ให้เป็นฮีตคลองให้ลูกหลานปฏิบัติกันทั้งสิบสองเดือน เพื่อให้ลูกหลานไม่ละเว้นในการแสดงความกตัญญู

ยุคสมัยเปลี่ยนไป กระแสบริโภคนิยมที่รุนแรงไหลบ่าเข้ามาในชุมชนท้องถิ่น แม้บรรพบุรุษจะวางฮีตคลองให้ปฏิบัติกันอย่างเข้มข้นทั้ง 12 เดือน ก็ไม่อาจทานไหว “บุญคูณลาน” จึงได้เปลี่ยนแปลงไปเทคโนโลยีที่เข้ามาเพื่อเอื้อความสะดวก ทั้งรถไถ รถเกี่ยวข้าว รถสีข้าว หรือแม้แต่การใช้ปุ๋ยเคมี หรือยาฆ่าหญ้า ก็ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความไม่เคารพต่อบุญคุณของแผ่นดิน ผีตาแฮก และพระแม่โพสพ ผลที่เกิดขึ้นชัดเจนจากการไม่สำนึกบุญคุณหรือมีคำแรงๆ ที่เรียกว่า “เนรคุณ” ให้เห็นมากมาย เช่น ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล บางปีเริ่มต้นฝนดีข้าวงาม แต่เมื่อข้าวตั้งท้องฝนกลับทิ้งช่วงระยะยาว หรือน้ำท่วมมหาศาล ส่งผลให้ผลผลิตที่ควรจะได้กลับลดถอยลงอย่างน่าใจหาย แต่มนุษย์ก็หาได้สำนึกหรือนึกถึงฮีตคลองเก่าแก่ที่บรรพบุรุษได้วางไว้ไม่ ยังคงเร่งปุ๋ยเร่งยาซ้ำหนักเข้าไปอีก นั่นหมายถึงการเพิ่มต้นทุนการผลิตและนำไปสู่หนี้สินที่ไม่รู้จักจบสิ้น
ณ บ้านโคกกลาง ยังมีกลุ่มคนเล็กๆ ที่ลุกขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรื้อฟื้นฮีตเก่าคลองหลัง พวกเราตั้งชื่อกันว่า “ครอบครัวพระโพธิสัตว์” ที่มุ่งพึ่งตนเองและเผื่อแผ่คนในชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอาหาร ในงาน “บุญคูณลาน” นี้ก็เช่นกัน พ่อเฉลี่ย เหลาเกตุ คุณพ่อของน้องศักดา แกนนำเยาวชนคนสำคัญของบ้านโคกกลาง ได้ตัดสินใจจะเป็นผู้ริเริ่มทำงานบุญคูณลานนี้เป็นครอบครัวแรก แม้พวกเราจะไม่เคยเห็นพ่อแม่ทำ หรือบางคนเคยเห็นแต่ก็เมื่ออายุยังน้อ

ย แม้แต่พ่อทองเลื่อน คำดอกรัก ผู้รู้ด้านวัฒนธรรมของพวกเราก็แทบจำงานบุญนี้ไม่ได้ แต่ด้วยความไม่รู้และอยากรู้ อีกทั้งอยากทำให้ถูกต้องตามประเพณี เพราะมีความเชื่อว่า หากทำไม่ถูกแล้วก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น ต่างคนต่างอาสากันอย่างแข็งขันที่จะไปหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เท่าที่พอจะหาได้ เช่น พ่อทองเลื่อนบอกว่าจะอ่านหนังสือพิธีกรรมที่มีบทสวดหรือบทสูตรขวัญข้าว และจะดูว่ามันมีเครื่องอะไรประกอบในพิธีกรรมบ้าง ส่วนพ่อเฉลี่ยก็บอกว่าจะไปถามปู่ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งน่าจะเคยทำ ส่วนผู้เขียนและแกนนำเยาวชนก็ทำตามความถนัดของตนเอง นั่นคือ ค้นจากอินเทอร์เน็ตเจ้าค่ะ!
ในขั้นต้น การกำหนดวันทำบุญคูณลานก็ยังทำได้ยาก เพราะมันยังไม่แน่ไม่นอนว่าข้าวจะเกี่ยววันไหน พ่อทองเลื่อนบอกว่า จริงๆ เขาก็ไม่ได้เคร่งว่าจะต้องทำในเดือนยี่เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็คือจะยึดว่า ข้าวเสร็จวันไหนก็เอาวันนั้น เพราะพิธีกรรมนี้จะทำก่อนนำข้าวขึ้นไปเก็บในยุ้งฉาง เจ้าของนาก็จะไปบอกกล่าวญาติพี่น้อง และนิมนต์พระสงฆ์มาสวด

มงคลตอนเย็นโดยใช้กองข้าวที่ตีแล้วเป็นธรรมมาส แล้วจึงนำข้าวใหม่มาถวายเป็นภัตราหารในตอนเช้า ส่วนตอนเย็นก็ทำพิธีสู่ขวัญข้าวก่อนที่จะเชิญพระแม่โพสพและข้าวขึ้นสู่ยุ้งฉาง สำหรับนาพ่อเฉลี่ยเดิมทีคาดว่าจะเสร็จช้าประมาณสิ้นเดือน เพราะข้าวล้มและไม่ได้จ้างเพราะค่าแรงแพงมาก แต่ด้วยความมีเครือญาติที่ช่วยเหลือกันอยู่ เมื่อพวกเขาเสร็จจากนาของตนเองต่างก็ระดมมาช่วย จากสามสี่แรงกลายเป็นเกือบ 30 แรง ทำให้ข้าวที่คาดว่าจะเสร็จใน 2-3 สัปดาห์ กลับเสร็จภายใน 2 วัน ด้วยความใจดีของพ่อเฉลี่ย ก็ได้ยืดเวลาให้พวกเราได้ตั้งหลักและสะสางงานอื่นๆ อีก 1 สัปดาห์ ในเวลานี้พ่อเฉลี่ยและลูกๆ ก็จะช่วยกันจัดลอมข้าวให้สวยงาม
ในเรื่องของการจัดลอมข้าวนี่เป็นศิลปะและความงามอย่างหนึ่ง พี่สำเนียงเล่าว่า ในอดีตคนหนุ่มที่ทำนาก็จะจัดลอมข้าวอวดกันทั้งขนาดและรูปร่าง ของใครไม่สวยก็จะได้รับการเยาะเย้ยล้อเลียนเป็นที่สนุกสนาน พอเป็นลอมข้าวแล้วแต่ละครอบครัวก็จะประมาณการได้เลยว่าปีนี้ตนเองจะได้ข้าวกี่กระสอบ ซึ่งก็มักจะไม่พลาด แต่ในปัจจุบันแทบไม่มีลอมข้าวหรือการจัดเรียงใดๆ เพียงแค่เอามารวมกองๆ กันบนตาข่ายไนล่อนสีเขียวหรือสีฟ้าเพื่อรอรถสีข้าว (ชาวบ้านพูดล้อเลียนว่าเป็น “ลานเขียว”) แต่สำหรับคนที่ใช้รถเกี่ยวข้าวก็ไม่ต้องมีลานข้าวเลย เพราะรถเกี่ยวและสีให้เสร็จไปในตัว อย่างไรก็ดี ชาวบ้านก็ยังใช้รถเกี่ยวน้อย เพราะรถเกี่ยวได้ไม่หมดเหมือนคน และมักจะมีรวงข้าวที่ตกหล่นอยู่มาก รวมถึงถ้าหากต้องการให้ได้ข้าวราคาดีก็ต้องหาลานตากข้าวเปลือกก่อนไปสี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน

ในการจัดงานบุญหรืองานมงคลสำหรับชาวบ้านแล้ว นอกจากการดูวันที่สะดวกแล้ว ยังต้องคำนึงถึงว่าเป็นวันดีหรือไม่ดีตามตำราความเชื่อแต่เก่าก่อน เดิมทีนัดหมายวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 พ่อเฉลี่ยก็ได้ให้ผู้เฒ่าที่ดูฤกษ์งามยามดีเป็นดูให้อีกที พบว่าวันที่ ๒๗ นั้นเป็นวันเสาร์ เป็นวันไม่ค่อยดีสำหรับเดือนนี้ พ่อเฉลี่ยจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นวันที่ ๒๖ เอาละสิ! งานเข้าแล้วครับพี่น้อง เพราะวันที่ ๒๕ พวกเราส่วนใหญ่ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเตรียมงานก็มาประชุมกันที่อาศรมเรื่องมหาวิทยาลัยชุมชน เอาหนะ...ขี่หลังเสือแล้วจะกระโดดลงไปก็ถูกเสืองับตายนะสิ! ไม่เป็นไร พวกเราจะกลับให้ถึงขอนแก่นภายในวันที่ 25 และเช้าวันที่ 26 ก็ลุยเตรียมงานกันทันที งานเริ่มตอนเย็นโน่นแหนะ...
การเตรียมงานก็เตรียมกันง่ายๆ เพราะเราจัดที่ทุ่งนา จะทำอะไรให้ซับซ้อนก็เป็นเรื่องยาก ดูแล้วก็เหมือนงานบุญของชาวบ้านที่มีเพื่อนบ้านมาช่วยเท่าที่ตนเองจะทำอะไรได้ เช่น พ่อสีมาจากบ้านหนองผักแว่น มาช่วยพ่อเฉลี่ยจับปลาจากคลองในทุ่งนาเพื่อมาเป็นอาหารเลี้ยงพระและสำหรับคนที่มาร่วมงาน และยังช่วยสาน “ตาแหลว” ซึ่งคนรุ่นหลังๆ ไม่รู้จักแล้ว ตาแหลวก็เป็นของขลังที่คนมักใช้ปักในลานข้าวทั้ง 4 มุม และปักบนยุ้งฉางเพื่อไม่ให้ข้าวบินหนี หรือบางคนใช้ป้องกันคาถากุ้มข้าวใหญ่ของข้าวลานอื่นที่จะดูดข้าวจากลานของตนเอง ยายต่วนผู้ชำนาญการด้านทำพาขวัญ หรือพานบายสีสู่ขวัญก็มานั่งสอนเด็กๆ ทำไปด้วย ดุไปด้วยเพราะไม่อยากให้ใบตองเสียหาย

พี่เครือ พี่ปราณีก็มาช่วยกันทำอาหาร พี่เต๊ะช่วยสอยมะพร้าวลงมาให้พวกเราได้ดื่มกินอย่างชื่นใจ แม้วันนี้จะมีลมหนาวพัดเรื่อยๆ แต่แดดก็แรงไม่แพ้กัน พ่อเฉลี่ยกับลูกเขยก็ช่วยกันจัดเรียงกองข้าวให้เป็นลอมสวยงาม แม่สายเจ้าของนาก็ทำหน้าที่ไปบอกกล่าวกับผีตาแฮกว่าวันนี้พวกเรามาทำอะไรกันที่ทุ่งนา ศักดา สร้อย วี โอ๋ พี่สำเนียงก็ช่วยกันจัดแต่งลานข้าว หาข้าวของที่จะประกอบในพิธีกรรม ส่วนผู้เขียนก็เดินพูดคุยตรงนี้บ้าง ตรงโน้นบ้าง หยิบนั่นนิด หยิบนี่หน่อย และคอยตรวจตราว่าข้าวของที่เตรียมมาครบหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่ต้องมีก็ได้แก่ 1) ใบคูณ ใบยอ อย่างละ 7 ใบ 2) เขาควายหรือเขาวัว (พวกเราหาเขาไม่ได้ ยายต่วนและยายสายสองพี่น้องก็ช่วยกันประยุกต์โดยนำฟางข้าวมามัดให้เป็นเขาควาย) 3) ไข่ 1 ฟอง 4) มัน 1 หัว 5) เผือก 1 หัว 6) ยาสูบ 4 มวน 7) หมาก 4 คำ 8) ข้าวต้ม 1 มัด 9) น้ำ 1 ขัน 10) ขันห้าดอกไม้ธูปเทียน แล้วนำทั้งหมดนี้ใส่ในกล่องข้าว (ยกเว้นน้ำกับเขาควายที่วางไว้ข้างนอก) ทั้งหมดนี้เรียกว่า “ขวัญข้าว” เพื่อเตรียมเชิญแม่ธรณีออกจากลานและบอกกล่าวแม่โพสพก่อนที่จะนวดข้าว นอกจากนี้ก็จะมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่นำไปวางไว้ที่หน้าลอม

ข้าว ได้แก่ ไม้นวดข้าว 1 คู่ ไม้คันหลาว 1 อัน มัดข้าว 1 มัด ขัดตาแหลว 1 อัน เสร็จแล้วเจ้าของนาก็ตั้งอธิษฐานว่า
"ขอเชิญแม่ธรณีได้ย้ายออกจากลานข้าว และแม่โพส
พอย่าตกอกตกใจไปลูกหลานจะนวดข้าวจะเหยียบย่ำอย่าได้โกรธเคืองหรืออย่าให้บาป"
ในเวลาเพลทางเจ้าภาพก็ได้ถวายอาหารที่มีทั้งข้าวใหม่และปลามันให้กับพระสงฆ์ที่นิมนต์มา 3 รูป ด้วยความอิ่มเอมใจ เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่มาช่วยงานได้กินต่อ เราถึงได้รู้ถึงรสชาติคำร่ำลือถึงความอร่อยของ “ข้าวใหม่ ปลามัน” ข้าวใหม่หมายถึงข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาจะมีทั้งความหอมและนุ่ม แต่ถ้าเก็บไว้นานความหอมและความนุ่มก็จะค่อยๆ หายไป (เขาถึงได้เปรียบกับชีวิตคู่ไงหละเจ้า...) ส่วนปลามันก็เป็นปลาในช่วงฤดูหนาวหรือหลังฤดูเก็บเกี่ยวที่น้ำลดนี่แหละ เพราะปลาได้สะสมอาหารที่อุดมสมบูรณ์จากท้องนาอย่างเต็มที่ “ข้าวใหม่ ปลามัน” จึงเป็นช่วงที่มีความสุขสมบูรณ์ โดยธรรมชาติเวลาที่ข้าวสุกและปลาในนาอร่อยที่สุด คือ ช่วงเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยนิยมแต่งงาน จึงได้นำธรรมชาติมาเปรียบเทียบกับช่วงแรกแต่งงาน เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของคู่บ่าวสาว (ระยะเวลาสั้นนะ ความหอมและมันนั้นแค่ 3-4 เดือนเอง...)
ในช่วงบ่ายพระสงฆ์ที่นิมนต์มาก็ช่วยกันตกแต่งสถานที่ เพื่อทำพิธีกรรมทางสงฆ์ ท่านเจ้าอาวาสก็ได้ไปนำโต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป อาสนะ ตาละปัด ม้วนด้ายสายสิญจน์ ฯลฯ จากวัดมาเพื่อประกอบพิธีกรรม นี่แสดงถึงความ
เรียบง่ายของชนบท พระสงฆ์เองก็ไม่ได้มารอทำพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังช่วยเป็นเรี่ยวแรงในการจัดทำและสอนลูกหลานให้ทำได้ถูกต้องไปด้วย แม้ในช่วงเก็บเกี่ยวนี้ก็เช่นกัน ในท้องทุ่งนาไม่ได้เห็นเฉพาะความเหลืองของทุ่งข้าวเท่านั้น ปีนี้เรายังได้เห็นผ้าจีวรที่ปลิวอยู่ในทุ่งนาเพื่อช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ผู้เฒ่าเล่าว่า “ในอดีตที่มีคนบวชเยอะๆ พระสงฆ์ก็ลงไปช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวเต็มทุ่งนาแบบนี้แหละ” เมื่อจัดเตรียมข้าวของเสร็จ พระสงฆ์ก็สวดพระพุทธมนต์และประพรมน้ำมนต์ที่ลอมข้าว และเผื่อแผ่แก่ญาติโยมที่มาร่วมงาน จากนั้นท่านก็ได้กล่าวธรรมเทศนาให้พวกเราได้เข้าใจถึงความเป็นมาของบุญคูณลาน พร้อมกับเชื่อมโยงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่จะสอนลูกหลานให้มีความกตัญญูต่อพระสงฆ์ ผู้ที่มาร่วมงานก็อิ่มเอมกับรสพระธรรมกันถ้วนหน้า
จากนั้น แต่ละคนก็ช่วยกันตระเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงแขกที่จะมาทำพิธีสู่ขวัญหรือสูตรขวัญข้าว ซึ่งจะมีหมอพราห์มมานำทำพิธีกรรมในช่วงค่ำ พี่สำเนียง พี่ปราณีก็ถือโอกาสนำข้าวปลูก หรือข้าวที่เตรียมไว้ทำพันธุ์ในปีหน้ามาร่วมเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในปีต่อไป พร้อมกับถือโอกาสนี้ในการสอนลูกหลานให้รู้จักการนวดข้าวหรือตีข้าวในแบบสมัยก่อน ที่ไม่ต้องใช้เครื่องจัก เด็กๆ ก็ได้ลองทำกันด้วยความสนุกสนาน แขกที่เจ้าภาพเชิญไว้ก็ทยอยมากัน บางคนก็มาพร้อมกับข้าวปลูกของตนเพื่อร่วมพิธีกรรมด้วย เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันดี หมอพราห์มเรา (พ่อทองเลื่อน) ก็ถูกเชิญไปงานแต่ง งานบวช หลายงาน ในระหว่างที่รอพวกเราก็ถือโอกาสรับประทานอาหารกันไป พูดคุยกันไป โดยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับการรอ ของกินในตอนเย็นวันนี้ก็ล้วนแต่ชวนให้นึกถึงอดีต นอกจากอาหารหลักแล้วก็มีของว่าที่หนักไม่แพ้กัน เช่น เผาข้าวหลาม เผามัน ข้าวต้มหัวหงอก (ข้าวต้มมัดคลุกน้ำตาลและมะพร้าว) ปลาหมึกย่าง ข้าวเหนียวดำของยายบึ้ง เป็นต้น ส่วนเด็กๆ ก็วิ่งเล่นใต้แสงไฟสลัวๆ ที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟ ทำให้ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันเฝ้ามองเพราะกลัวจะไปตกบ่อปลาของพี่ศักดา
พ่อทองเลื่อนมาถึงด้วยเวลาที่ล่วงเลยพอสมควรเพราะหานาของพ่อเฉลี่ยไม่เจอ หลังจากให้พ่อพราห์มได้รับประทานอาหารแล้ว ก่อนพ่อทองเลื่อนจะทำพิธีกรรมก็ได้ชวนพวกพ่อๆ แม่ๆ ที่มาร่วมงานย้อนรำลึกความหลังในการทำบุญคูณลาน ให้ลูกหลานได้ฟัง ก่อนที่จะทำพิธีสู่ขวัญกันต่อ เนื้อหาในบทสวดก็กล่าวถึง การทำนาในสมัยอดีตที่ชาวนาเดินตามรอยไถ มีควายเทียมแอกลากไถเพื่อพลิกหน้าดิน พอฝนตกดินชุมฉ่ำก็หว่านเมล็ดข้าวลงในท้องนา ข้าวค่อยๆเจริญเติบโตจนเป็นต้นกล้า ชาวนาจึงถอนกล้าไปปักดำ วันเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปข้าวก็ออกรวงเหลืองอร่ามไปตามทุ่งนา ชาวนาจึงใช้เคียวเกี่ยวข้าวมากองไว้รวมกันไว้ที่ลานข้าวเพื่อตีข้าวหรือนวดข้าวให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวง ช่วงการเปลี่ยนผ่านที่อยู่ของข้าวจากท้องนาไปที่ยุ้ง คนที่ทำนาอาจทำให้ข้าวตกใจจึงต้องเรียกขวัญข้าวเพื่อกลับคืนมา ทั้งกวาง กระต่าย นกเขาที่คาบไปก็ขอให้กลับคืนมาอยู่เต็มเล้า ข้าวเหล่านี้แม้จะตักกินเท่าไหร่ก็ขออย่าให้หมดอย่าได้ลดลง
“...ให้เจ้ามาจากปากกวางและกระต่าย ให้เจ้ามาจากปากนกเขาเคียน คาบไปจับเขียวและปลายผุ่ม ให้มาสาในมื้อนี้วันนี้ ให้เจ้ามาเต็มเฮือนและเต็มเล้า ให้เจ้าอยู่สวัสดี กินสิบปีอย่าได้บก จกสิบปีอย่าได้ลง ว่ามาเยอขวัญเอย...” พอหมอพราห์มเอื้อนคำว่า “มาเย้อขวัญเอย...” ผู้เข้าร่วมพิธีกรรมก็จะช่วยกันขานรับและเรียกขวัญว่า “มาเย้อขวัญเอย...ข้าวตกอยู่ที่ไหนก็ให้มารวมกันที่ลานนี้...” ยายบึ้งก็เรียกขวัญข้าวแบบติดตลกไปด้วยว่า “ข้าวก่ำ ข้าวจ้าว ข้าวเหนียวก็ให้มารวมกันเด้อ...” ถ้ามารวมกันจริงเจ้าของนาก็คงยุ่งน่าดู
ในช่วงท้ายหลังพิธีกรรมเสร็จ ผู้เขียนก็ได้เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้กล่าวแสดงความรู้สึกกันเล็กน้อย เริ่มจากแม่สายเจ้าของนาบอกสั้นๆว่า “ดีใจที่ได้มีงานแบบนี้ขึ้น แต่ก่อนพ่อแม่เราไม่เคยพาทำ” พ่อเฉลี่ยก็บอกว่า “ดีใจที่ได้จัดทำพิธีนี้ขึ้นมา ดีใจที่พี่น้องมานาของตน ได้มีหัวหน้ามาคอยแนะนำ รื้อฟื้นประเพณีเพื่อให้ลูกหลานได้รู้จักบุญคุณของข้าวหรือแม่โพสพ เพื่อให้ลูกหลานได้สืบทอดประเพณีนี้ต่อไป ถึงปีหน้าถ้าไม่มีคนทำพ่อก็ยังจะทำอยู่เหมือนเดิม” ยายต่วนก็บอกว่า “มาอยู่ด้วยทั้งวันเพราะอยากช่วยเหลือในสิ่งที่พอทำได้ ดีใจเวลาเห็นพระมาทำพิธี เพราะได้ทำบุญ ได้กราบพระ พิธีแบบนี้ในตำบลเราก็ไม่มีสักครั้ง พอบ้านเราได้ทำพิธีแบบนี้ก็ดีใจ ภูมิใจ” ยายบึ้งบอกว่า “ยายเกิดมาได้ 50 กว่าปียังไม่เคยเห็นพิธีกรรมแบบนี้เลย ก็ดีใจที่มีพิธีนี้ขึ้นมาเพราะว่ามันเป็นพิธีที่มีอยู่มานานแล้วแต่ไม่มีคนทำ ได้ทำมาแบบนี้ก็ดีใจ”
ฟังเสียงผู้เฒ่ากันแล้วก็มาฟังเสียงเด็กๆ กัน เริ่มจากศักดาเจ้าของนาบอกว่า “ตั้งแต่เล็กจำได้ว่าเคยขึ้นไปบนลานข้าวอยู่ครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นรู้สึกว่ามันสูงมากแต่มาถึงวันนี้ก็รู้สึกว่ากองข้าวก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ก็ดีที่ได้มาทำพิธีแบบนี้ ไม่ใช่แค่ว่าเกี่ยวข้าวไปสีข้าวแล้วก็เสร็จ แต่การทำพิธีกรรมแบบนี้ทำให้เห็นว่าตั้งแต่แรกของการทำนามาจนถึงวันนี้มันมีความทุกข์ยากอย่างไรบ้าง” น้องหน่องบอกว่า “จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เล็กๆ มันมีกองข้าวแบบนี้อยู่ไหม แต่ก่อนมานาก็มาดูนาเฉยๆ ไม่เคยได้มาทำนา พิธีแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พอมาเห็นพิธีแบบนี้ก็รู้สึกดี แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง”
โอ๋ในฐานะแกนนำที่ช่วยให้เกิดงานนี้บอกว่า “ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่าพิธีบุญคูณลานเขาทำกันอย่างไร จากที่ได้เตรียมข้าวของก็ทำให้รู้จักการทำพิธีและการเตรียมข้าวของ และก็รับรู้ถึงกว่าจะได้ข้าวมากินมันลำบากมากขนาดไหนและยิ่งปีนี้ได้เกี่ยวข้าวเองยิ่งรับรู้ถึงความลำบากจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและเราควรรักษาพิธีกรรมนี้ไว้ เราเองก็เป็นลูกชาวนา เราก็ต้องทำนาด้วย” พี่สำเนียงผู้ใหญ่ใจดีที่มีนาติดกันบอกว่า “ตอนแรกที่จะทำก็คิดไม่ออกว่าจะต้องทำอย่างไร แต่พอมาได้นั่งพูดคุยเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาก่อนทำ ก็เลยรู้สึกว่าความเป็นมามันมีหลายอย่างมากที่คนรุ่นหลังยังไม่รู้ และก็คิดว่าการทำพิธีกรรมแบบนี้มันเหมือนมีพลังที่ช่วยให้เราได้ข้าวเพิ่มมากขึ้น พิธีกรรมแบบนี้ก็เป็นพิธีที่รักษาทางใจเราได้ เพราะอย่างน้อยก็ภูมิใจว่าได้ทำบุญ ได้สู่ขวัญให้ข้าว บางครั้งที่เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเราเหยียบข้าวทั้งๆที่ข้าวนี้เป็นอาหารให้เราก็น่าจะเป็นบาป พอมาได้ทำพิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ขอโทษขอขมาในสิ่งที่เราทำไม่ดีลงไป ปีต่อไปก็น่าจะรักษาไว้”
กำนันมาทีหลังๆ จากสีข้าวนาตนเอง กำนันบอกว่า “อยู่ที่บ้านก็ได้สีข้าวพอดีก็เลยทำให้มาร่วมงานช้า แต่ในส่วนที่ลงเกี่ยวข้าวก็ได้ขอขมาแม่โพสพก่อนที่จะเก็บเกี่ยว ส่วนกิจกรรมที่เราทำอยู่นี้ ถ้าได้ทำกันทั้งชุมชนก็น่าจะดี แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เราทำก็น่าจะเป็นแบบอย่างให้พี่น้องในชุมชนเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับคุณข้าวคุณน้ำ ผมก็สนับสนุนที่ได้มีการมาทำพิธีแบบนี้ขึ้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่พ่อแม่บรรพบุรุษพาทำขึ้นมันก็เป็นเรื่องดีทั้งหมด ก็อยากให้ลูกหลานสืบทอดประเพณีนี้ต่อไป”
ในตอนเช้ามืด พ่อเฉลี่ยก็ได้สีข้าวของตนเอง เดิมทีประเมินว่าคงได้ข้าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะข้าวล้มตั้งแต่ช่วงตั้งท้อง และไม่งามเท่ากับปีที่ผ่านมา บางคนเห็นกองข้าวแล้วประเมินว่า น่าจะได้สัก 105 กระสอบ แต่เมื่อสีออกมาแล้วได้ถึง 115 กระสอบ เท่ากับปีที่แล้วเลย ก็เป็นที่ตื่นเต้นกันใหญ่ว่า “เราทำบุญมาดีเน้า...” เห็นมั้ย? บอกแล้วว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่...






