วิชญะ เดชอรุณ : บทสัมภาษณ์เยาวชนเด่น โครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัด

เยาวชนเด่น นายวิชญะ เดชอรุณ (น้องเค) อายุ 15 ปี

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฏร์ธานี

โครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัด

­

­

ถาม ขอให้แนะนำตัวและโครงการที่ทำ

ตอบ ชื่อวิชญะ เดชอรุณ ชื่อเล่นน้องเค จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กำลังศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเวียงสระ ทำโครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญามโนราห์บ้านปากลัด ทำตำแหน่งเลขา ตรวจรายงานประชุม บันทึกการประชุม ติดตามงานจากน้อง ดูแลใบสมัครของน้อง ๆ


ถาม ตอนที่ลงชุมชนเลขาต้องทำอะไรบ้าง

ตอบ ตอนที่ลงชุมชนเป็นการไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ไปสอบถามความเป็นมาของแต่ละชุมชน ผมและแกนนำทั้งหมด 8 คน ช่วยกันถามผู้รู้


ถาม ช่วยเล่าภูมิหลังให้ฟังหน่อยว่าน้องเคเป็นคนอย่างไร มีความฝันอยากจะทำอะไร

ตอบ จากสภาพบ้านของผมมีการเล่นการพนัน ผมอยากหลีกเลี่ยงจากตรงนั้น อยากมีอนาคตที่ดี เห็นเขามีการจัดโครงการนี้ขึ้นมา อยากเข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองใหม่ เมื่อเข้ามาอยู่ในโครงการประสบความสำเร็จหลีกเลี่ยงจากการพนันได้ อนาคตผมอยากจะเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษแต่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษ และอยากมีอาชีพเป็นมโนราห์ควบคู่ไปด้วย


ถาม แต่เดิมเราเป็นเด็กแบบไหนก่อนเข้าร่วมโครงการชอบทำอะไร

ตอบ ผมเป็นคนร่าเริงแต่ตามสภาพครอบครัวของผมคือเล่นการพนัน ผมก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องมั่วอยู่กับสิ่งแบบนั้น ผมจึงหันมาเปลี่ยนแปลงตัวเองดู เผื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้นจึงได้มาร่วมเข้าโครงการนี้


ถาม มีความสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษไหมตอนนั้นอยากทำอะไร

ตอบ ครอบครัวอยู่ในสภาพเล่นการพนันผมก็ต้องไปทางนั้น วันหนึ่งผมมีความคิดขึ้นมาเองว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่อยากไปอยู่กับการพนันแล้ว เผื่อจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ รู้ว่าจะมีโครงการแบบนี้และพี่บอมได้ชวนเข้ามาร่วม


ถาม เราใช้ชีวิตอยู่ในวงนั้นนานไหม

ตอบ พ่อแม่จดจ่ออยู่กับการพนัน ผมก็ต้องไปอยู่ตรงนั้นด้วย เขาจะเล่นตั้งแต่ค่ำถึงตอนเช้าอีกวัน ผมก็ไปนั่งอยู่ข้างพ่อนับตังค์ เป็นผู้ช่วยพ่อ


ถาม จุดสนใจที่ทำให้อยากออกจากสังคมตรงนั้น คืออยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นใช่ไหม

ตอบ ครับ อยากมีอนาคตที่ดี


ถาม พอเรามาร่วมโครงการหนึ่งปีเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับตัวเราเปรียบเทียบก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ

ตอบ ตอนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ ทางครอบครัวก็เล่นการพนันช่วงกลางคืนไม่ได้นอน มานอนตอนเช้ามั่วอยู่แต่เรื่องการพนัน การเรียนไม่ค่อยดีเพราะว่าพักผ่อนไม่เพียงพออยู่แบบนั้น สภาพจิตใจแย่ลง ความรู้สึกแย่ด้านจิตใจคือ อยู่ในครอบครัวแต่ไม่รู้สึกอบอุ่น พ่อแม่หมกมุ่นแต่การพนัน พอเข้าร่วมโครงการจิตใจดีขึ้นเพราะมีพี่ ๆ น้อง ๆ ภายในโครงการที่สามารถปรึกษากันได้ อยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข จึงทำให้มีชีวิตที่สดใสกว่าเดิม การเรียนดีขึ้นเพราะเราไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการพนัน ทางศูนย์ให้ความรู้เยอะ มีผลดีต่อผมมากจากการเข้าร่วมโครงการนี้


ถาม ชีวิตเราสดใสจากอะไรมีสถานการณ์อะไรที่ทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น

ตอบ ศูนย์นี้อยู่กันแบบเป็นพี่น้องไม่มีใครเห็นแก่ตัวอยู่กันแบบมีความสุข ปรึกษากันได้ ไปไหนไปกัน รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวไม่เหมือนช่วงแรกที่เข้ามา ตอนนั้นไม่มีความอบอุ่นเลย พอได้มาอยู่ตรงนี้ มีความอบอุ่นมากขึ้น


ถาม มีศักยภาพหรือทักษะอะไรในตัวเราที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมก่อนหน้านี้ เช่น ความรู้ นิสัย พฤติกรรม การเรียน

ตอบ มีการเรียนดีขึ้น ตอนเรียน ม.1 เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2 กว่า พอเข้าร่วมโครงการ ตอนนี้เกรดเฉลี่ยผมสูงขึ้นอยู่ที่ 3.50 สำหรับตัวผมคิดว่าตัวเองมีพฤติกรรมดีขึ้น เข้ากับชุมชนได้ไม่หมกมุ่นเหมือนเมื่อก่อน กล้าแสดงออกกับผู้คนภายในชุมชน เมื่อก่อนไม่รู้จักใคร ไม่สามารถที่ปรึกษาใครได้ พอได้มาอยู่กับชุมชนแบบนี้รู้จักกันมากขึ้น ได้สัมผัสกันมากขึ้นจากการทำโครงการนี้


ถาม เหตุการณ์อะไรคะที่ทำให้เรากล้าคุยกับคนแปลกหน้าคนที่เราไม่สนิท

ตอบ การที่เราไปค้นคว้า สัมภาษณ์ผู้รู้ เมื่อก่อนไม่กล้าว่าจะสอบถามอะไรดี พอได้ลงพื้นที่จริงก็สามารถสอบถามได้ ได้ความรู้จากแต่ละชุมชนมาเยอะ


ถาม จากสถานการณ์ที่เราเอาตัวเองไปลงพื้นที่ทำให้เราต้องกล้าพูดกล้าถาม

ตอบ ใช่ครับต้องลอง


ถาม อะไรในตัวเราที่บอกว่าเอาล่ะ ลองดู

ตอบ ถ้าเราไม่ลองเราก็ไม่รู้ ถ้าอยากเปลี่ยนอนาคตตัวเองก็ต้องลอง เพราะจุดตรงนั้นคือต่ำสุดแล้วของชีวิตและถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ก็เลยลองดูเผื่อมันจะดีขึ้น สุดท้ายก็ดีขึ้นเยอะ


ถาม ได้ทักษะการตั้งคําถาม กล้าพูดกับคนแปลกหน้า เข้าหาคนกล้าแสดงออก การเรียนที่ดีขึ้น พอไปทำงานกับชุมชน ไปทำประโยชน์ มีความคิดอะไรที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมไหม

ตอบ ความคิดมีมุมมองทางบวก ผมช่วยชุมชนช่วยน้องภายในศูนย์ที่มีเหตุการณ์เหมือนผม น้องมีสภาพจิตใจไม่ค่อยดี ทางบ้านขาดแคลน เรามีเหตุการณ์ที่ช่วยน้อง แล้วน้องเขามีจิตใจที่ดีขึ้น ผมช่วยน้องโดยการให้กำลังใจ เพราะเราไม่มีปัจจัยเยอะพอ ก็บอกน้องว่า “เรายังมีอนาคตที่สดใส” พูดให้กำลังใจเพราะเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว


ถาม หลังจากทีเราเป็นรุ่นพี่ไปให้กำลังใจน้องเป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ น้องมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นเหมือนผมในตอนแรก ที่ขาดความอบอุ่น หลังจากที่เราช่วยก็เหมือนผมตอนนี้ที่จิตใจดีขึ้น รู้สึกอบอุ่น


ถาม ให้น้องเคเลือกหนึ่งอย่างที่คิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สุดของเราในช่วงหนึ่งปีที่ทำโครงการ คือเรื่องอะไร

ตอบ เรื่องนิสัย เมื่อก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อนไม่ฟังคนอื่น มีเรื่องตบตีกันเยอะ นิสัยร้ายไม่ฟังใคร คิดเอาตัวเองเป็นใหญ่ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรับฟังผู้อื่นมากขึ้น เมื่อตัวเองทำผิดก็ยอมรับผิดได้ มีสติไม่เหมือนเมื่อก่อน มีเหตุการณ์ที่ผมมีปัญหากับพี่ในโครงการนี้ ต้องมาปรับความคิดจากเมื่อก่อน มีอะไรก็ตบตีไปหมด ปรับความคิดตัวเองใหม่เราต้องอยู่ด้วยกัน ไม่สามารถที่จะแยกกันอยู่ได้ เพราะว่าเราอยู่โครงการเดียวกัน ก็ปรับความคิดของตัวเอง ว่าจะทำอย่างไร “ดีกันดีกว่าเนาะ อย่ามารบกันเลย” เป็นสิ่งที่ว่าผมคิดว่าลักษณะนิสัยผมเปลี่ยนไป


ถาม มีเหตุการณ์ทะเลาะกันเห็นไม่ลงรอย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเคใช้วิธีการตบตีทะเลาะวิวาท แต่ตอนนี้เคมองที่เป้าหมายว่าเราต้องทำงานร่วมกัน การที่มุมมองของเราเปลี่ยนไป เคมองเรื่องนี้อย่างไร

ตอบ มองว่าทำไมเราไม่คิดแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก มองว่าเราพลาดมาแล้วนะ แล้วก็จะทำแบบเหมือนที่เคยทำอีกเหรอ เราเคยพลาดไปแล้วก็อยากทำให้ดี ไม่อยากจะเป็นคนเดิมที่ไม่ดีแล้ว


ถาม ที่น้องเคบอกว่าเมื่อก่อนตบไปละ เคบอกว่าไม่ทำแบบเมื่อก่อนทำแบบนี้ก็ได้ ช่วยขยายความเรื่องการทำงานจัดการอารมณ์ เมื่อต้องทำงานกับคนอื่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราปะทะใช้ความรุนแรง ระบายอารมณ์ที่อึดอัดของเราออกไป ทำไมไม่ทำตามฉัน น้องเคเปลี่ยนจากไม่ใช้ความรุนแรงมาเป็นอีกแบบ ขยายภาพตรงนี้อะไรทำให้เราเปลี่ยน

ตอบ ผมคิดว่าถ้าเราตบตีไปไม่ดีสำหรับตอนนี้ เข้าใจกันดีกว่า


ถาม การทำงานกับคนอื่นต้องสร้างความเข้าใจกันดีกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันดีกว่า ไม่ใช่เอาความคิดของฉันเป็นหลัก

ตอบ ใช่ครับ คนอื่นก็สามารถแนะนำแสดงความคิดเห็นได้เหมือนกับเรา ตอนนั้นเราไม่ได้คิดแบบนี้ เขามีสิทธิ์ที่จะแนะนำเหมือนกัน คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ตอนนั้น ตอนนี้คิดได้แล้วว่าเราก็มีสิทธิ์ส่วนบุคคลเท่ากัน


ถาม เป็นสิ่งที่สำคัญมาก, อะไรที่ยากสุดสำหรับการทำโครงการนี้สำหรับเรา

ตอบ ยากที่สุดคือช่วงแรก ๆ กลัวคำถาม เพราะว่าไม่รู้จะตอบอย่างไรให้เป็นทางการ ผมกลัวมากเวลาที่เขาถามมาไม่สามารถตอบได้ คำถามที่เกี่ยวกับวิจัย ผมไม่เก่งทางนั้นและไม่รู้ด้วย ไม่กล้าตอบ กลัวว่าเราจะตอบไม่ตรงกับคำถามที่เขาถาม


ถาม เราแก้ไขปัญหาความยากนี้อย่างไร

ตอบ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาถาม เกี่ยวกับวิจัยก็พยายามทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ยังไม่เก่งมากแต่พอตอบได้แบบผิด ๆ ถูก ๆ ต้องลอง


ถาม คุยกับตัวเองต้องทำต้องลอง และทำไปเรื่อยๆ ตอบผิดมีใครว่าไหมในสถานการณ์จริง

ตอบ ไม่มีใครว่า มีแต่คนแนะนำ 


ถาม พอเราเห็นผู้ใหญ่แนะนำ เรามีมุมมองต่อผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง

ตอบ ดีทุกอย่าง เมื่อก่อนเรามีความคิดว่าเราไม่กล้าตอบ กลัวตอบแล้วเขาบอกว่าไม่ใช่ สามารถเปลี่ยนมุมมองตัวเองว่าเราตอบผิดเขาก็ให้โอกาส


ถาม การเรียนรู้ของเราที่ได้จากโครงการมีเรื่องอะไรบ้าง

ตอบ การรำ มีการรำแบบใหม่มาเรื่อย ๆ ที่เราประยุกต์ แกนนำช่วยกันออกแบบอยู่ในสายตาครู และมีคุณครูภูมิปัญญาช่วยสอดส่องดูแล ท่าไหนไม่ถูกครูก็ปรับเปลี่ยนให้


ถาม การเรียนรู้การรำโนราห์หรือประวัติของโนราห์ช่วยอะไรเคบ้าง

ตอบ เป็นสิ่งที่บรรพบุรษให้มา เราก็ต้องรักษาวัฒนธรรมแขนงนี้ไว้ ผมคิดว่าควรรักษาไว้เพราะเราเป็นคนภาคใต้ วัฒนธรรมไทยแขนงนี้เป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม เราทำเรื่องมโนราห์สิ่งนี้เกินคำบรรยาย


ถาม ให้น้องเคอธิบายความรู้สึกขณะที่รำโนราห์ หรือตอนเป็นพี่สอนน้องว่าเกิดความรู้สึกอย่างไรข้างในใจ

ตอบ รู้สึกตื้นตันมากตอนได้รำ เป็นความรู้สึกที่ว่ามาอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีอยู่เสมอ เราก็ต้องรับไว้ มีทั้งดนตรีและท่ารำที่แตกต่างจากวัฒนธรรมอื่น มีอัตลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ต้องรักษาไว้ ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับน้อง ๆ เรียนมโนราห์ตัวอ่อน แลกเปลี่ยนความรู้กัน


ถาม มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้างในการทำงานของเรา

ตอบ ปัญหาเรื่องการเดินทาง ศูนย์ของเราตั้งอยู่ที่อำเภอเวียงสระ น้อง ๆ จากพุนพิน ท่าชนะ ต้องเดินทางมามีอุปสรรคเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง แก้ไขโดยการจัดตั้งศูนย์ใหม่ที่อำเภอของเด็กเหล่านั้น จึงมีศูนย์ทั้งหมด 3 ศูนย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เด็กไม่ต้องเดินทางมาเรียนถึงที่นี่ แต่มีคุณครูภูมิปัญญาไปสอนถึงศูนย์ของเด็กเหล่านั้นแทน


ถาม เรามีวิธีการหางบประมาณเพื่อแก้ปัญหาอย่างไร

ตอบ พี่บอมหัวหน้าโครงการ หางบประมาณจากชุมชนเพื่อมาลดค่าใช้จ่ายภายในศูนย์ จึงช่วยกันหารายได้เข้ามาในศูนย์ ผมช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งให้พี่บอมในการหางบประมาณ โดยของบประมาณจากเทศบาล ในส่วนชุมชนเราขอแบบให้เขาช่วย ๆ กัน เมื่อก่อนคนในชุมชนไม่ยอมรับการทำงานของศูนย์ฯ ตอนนี้เขายอมรับแล้วว่า เราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กคนนั้นได้ เขาเห็นความสำคัญ เขาจึงช่วยกันบริจาคมา


ถาม ประเมินตัวเองจาก 100 คะแนนเต็ม ให้ตัวเองกี่คะแนน

ตอบ 70 คะแนน เพราะผมยังไม่ดีเต็มร้อย อีก 30 คะแนน เป็นเรื่องการวิจัยผมไม่ค่อยเข้าเรื่องแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่าต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย


ถาม งานวิจัยมีความยากอย่างไร

ตอบ ผมเป็นคนที่ฟังอะไรไม่ค่อยเข้าใจ ไม่สามารถเอามาเรียบเรียงย่อความได้ ไม่ถนัด ถ้าจะทำให้เต็มต้องพัฒนาตัวเองเรียนรู้จากครูภูมิปัญญา ที่คอยสอนคอยตักเตือน เรียนรู้ไปเรื่อยๆ


ถาม มีคุณสมบัติพิเศษอะไรอีกบ้างในตัวเองที่เพิ่มขึ้นมานอกจากสามารถจัดการอารมณ์ได้

ตอบ ยอมเสียสละเพื่อมาทำสิ่งเหล่านี้ บางคนอาจคิดว่าขับรถเที่ยวดีกว่า แต่เรายอมมาทำประโยชน์ให้แก่ชุมชนดีกว่า ความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน


ถาม การทำเพื่อชุมชนทำให้เรารู้สึกอย่างไร

ตอบ ถ้าเราทำประสบความสำเร็จจะมีความประทับใจสูงมาก ถ้าเราไม่สำเร็จก็มีความมั่นใจในตัวเองแต่น้อยกว่าที่เราทำประสบความสำเร็จ ทำให้มีกำลังใจในการขับเคลื่อนโครงการนี้ไปต่อ จากเมื่อก่อนก่อนมีเด็กแค่ 8 คน ตอนนี้ทางศูนย์ของเรามีเด็กหลายร้อย มาถึงขั้นนี้แล้วต้องไปให้สุด


ถาม วิธีการที่ครูโคชเรา มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เราเกิดการเรียนรู้อะไรจากการทําแฟ้มประวัติสมาชิก 400 คน

ตอบ ช่วงแรก ๆ ผมไม่ถนัดเรื่องนี้ ไม่มีเด็กที่จะมาช่วยเป็นเลขา ผมก็ลองทำดู ตอนแรกให้ใส่ชื่อนามสกุล ไม่ได้สอบถามรายละเอียดของเขาว่า บ้านอยู่ตรงไหนซึ่งเราต้องวาดแผนผังมาด้วย แกนนำ 8 คน ตอนนั้นไม่มีความรู้ ตอนนี้ก็เริ่มขับเคลื่อนได้แล้ว


ถาม เรียนรู้อะไรจากการลองผิดลองถูกทำเอกสารแบบนี้

ตอบ ตัวผมเองคิดว่าถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ครับก็เลยลองทำดู ต้องลองทุกสิ่งทุกอย่างต้องลองสำหรับผม


ถาม เปลี่ยนความคิดยังไงกับเอกสาร 400 ชุด มีรูป มีข้อมูล มีแผนที่ มีโรคประจำตัว มีทุกอย่างสำเร็จแล้วเป็นอย่างไร

ตอบ ดีใจมากตัวเองมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ช่วงแรก ๆ ไม่รู้อะไรเลย พอมาทำโครงการนี้ให้ขับเคลื่อนไปได้ก็มีความภูมิใจที่เรามีเด็กเข้าศูนย์เยอะ เรามีประวัติของเด็ก การเป็นอยู่ของเด็กภายในศูนย์ คนนั้นคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีความลำบากตรงไหนอย่างไร มีความดีใจ ความภูมิใจ งานเอกสารก็ต้องทำต่อไปไม่ประมาท เพราะอยากจะเก่งในทุกด้านจึงตัดสินใจลองทำเอกสารทั้งที่ไม่ถนัด


ถาม หนึ่งปีเราเห็นพัฒนาการของเด็ก ๆ และตัวเรา คนในครอบครัวเราเขาว่าอย่างไร

ตอบ เห็นด้วยกับโครงการนี้ ผมเปลี่ยนแปลงนิสัยจากเมื่อก่อนได้ เขาก็ยอมรับโครงการนี้ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับเด็กและชุมชน ในครอบครัวมีความสัมพันธ์เปลี่ยนไป เมื่อก่อนพ่อแม่ก็หมกมุ่นอยู่กับการพนัน ตอนนี้พ่อแม่ก็เริ่มหันมาสนใจลูกมากขึ้น ให้คำปรึกษาลูกให้มากขึ้น จากที่เล่นการพนันตอนค่ำ ๆก็ลดละบ้างแล้ว


ถาม อะไรที่ทำให้พ่อแม่ของเราเปลี่ยนด้วย

ตอบ เขาเห็นความสำเร็จของเราในวันนี้ ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้นะ ทำไมเรา (พ่อแม่) ไม่ลองเปลี่ยนดู พอเขาลองเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้จริง


ถาม มองอนาคตตัวเองอย่างไรหลังจากหมดโครงการนี้

ตอบทำตัวเองให้เหมือนยังอยู่ในโครงการแบบนี้ ยังยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นมีนิสัยที่ร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีเรื่องทะเลาะตบตี มีการเรียนที่ดีขึ้นเพื่ออนาคตของตัวเอง ยังคงช่วยพี่บอมและรับสมาชิกเพิ่มอย่างต่อเนื่อง