​นางสาวปิยธิดา สำโรง : โครงการสื่อสร้างสรรค์พาท่องเที่ยวถิ่นมะเดื่อใหญ่

นางสาวปิยธิดา สำโรง อายุ 18 ปี (มิลค์)

เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

โครงการสื่อสร้างสรรค์พาท่องเที่ยวถิ่นมะเดื่อใหญ่

สัมภาษณ์วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563

­

ถาม ช่วยแนะนำตัว ชื่อจริง นามสกุล ศึกษาอยู่ที่ไหน?

ตอบ ชื่อปิยธิดา นำโรง ชื่อเล่นชื่อมิลค์ อายุ 17 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนกำแพง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

ถาม ทำโครงการอะไร?

ตอบ สื่อสร้างสรรค์พาท่องเที่ยวถิ่นมะเดื่อใหญ่

ถาม สมาชิกในทีมมีจำนวนเท่าไหร่?

อบ ประมาณ 17-18 คน สมาชิกในทีมจะมีพวกหนูที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนกำแพงและมีรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว

ถาม ทำไมสมัครเข้าร่วมโครงการนี้?

ตอบ รุ่นพี่ที่เคยทำโครงการในปีที่แล้วเขาเป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียน เขาสนิทกับหนูรุ่นพี่เขาชักชวนหนู เขาบอกว่าเป็นโครงการที่ดีทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ หนูสนใจและอยากพัฒนาชุมชนที่ตัวเองอยู่

ถาม เคยเข้าร่วมโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนมาก่อนหรือไม่?

ตอบ หนูเคยทำโครงการที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้ ดูแลผู้ป่วยติดเตียง การขุดลอกคูคลอง อาสาสมัครทำความสะอาดวัดร่วมกับอาจารย์โกสัลล์

ถาม เริ่มทำงานชุมชนตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตอบ เริ่มตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 5 ค่ะ

ถาม ทำไมถึงสนใจมาเป็นจิตอาสาทำงานเพื่อชุมชน?

ตอบ หนูชอบที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นแต่หนูไม่มีโอกาส พอได้รู้จักกับอาจารย์โกสัลล์ อาจารย์ชักชวนทำโครงการ หนูยินดีที่จะมาช่วยค่ะ

ถาม รู้สึกอย่างไรกับการเป็นอาสาสมัคร?

ตอบ รู้สึกมีความสุขที่เราได้ทำประโยชน์ให้พวกเขา เราได้ไปช่วยเขาและสิ่งที่เราได้ตอบแทนก็คือรอยยิ้มของเขา อย่างน้อยหนูเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้

ถาม อยากให้ช่วยเล่าถึงตัวเองก่อนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัคร เราเป็นเด็กแบบไหน มีความฝันในชีวิตอย่างไร?

ตอบ เมื่อก่อนหนูเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่กล้าการแสดงออก อยากทำแต่ไม่กล้าที่จะทำ หนูจะเป็นคนนิ่งๆไม่ว่าความรู้สึกข้างในจะดีหรือไม่ดีหนูจะไม่แสดงออก พอเริ่มเข้ามาทำงานโครงการหนูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ถาม ตัวเราเปลี่ยนไปอย่างไร?

ตอบ หนูกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ทำให้หนูรู้สึกว่าการที่หนูกล้าที่จะพูดกล้าที่จะทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อคนอื่น มันทำให้หนูมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม

ถาม อะไรในตัวเองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากคนเก่ากลับกลายเป็นคนใหม่?

ตอบ ตั้งแต่เข้ามาร่วมโครงการค่ะ อาจารย์พาไปทำกิจกรรมต่างๆ มีช่วงที่ได้ออกไปทำงานกับคนในชุมชน หนูไม่กล้าที่จะพูดไม่กล้าแม้กระทั่งจะบอกว่าตัวเองชื่ออะไร พออยู่กับโครงการไปสักระยะหนูสังเกตรุ่นพี่ที่เขาทำก่อนหน้านี้ การที่รุ่นพี่กับอาจารย์เข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชน เวลาพี่เข้าพูดคุยกันมันดูสนุก สนุกกว่าการที่หนูมานั่งอยู่คนเดียวแล้วไม่พูดกับใครเลย หนูเริ่มจากการที่พูดคุยกับรุ่นพี่ก่อนเพื่อเปิดทัศนคติของตัวเอง ส่วนอาจารย์โกเป็นคนสนุกสนาน อาจารย์เข้ามาชวนหนูพูดคุยพูดเล่น หนูเลยเริ่มคุยกับอาจารย์ รุ่นพี่และรุ่นน้องในโครงการ กล้าที่จะคุยกับคนในสังคมมากขึ้น

ถาม ช่วงที่ลงไปชุมชนครั้งแรกหนูได้เข้าไปคุยกับใคร?

ตอบ ตอนนั้นเป็นคุณตาที่อยู่หมู่บ้านสำโรงใหญ่ หนูจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว รุ่นพี่ก็เชียร์ให้หนูลองเข้าไปพูดคุย ในตอนแรกหนูพูดเสียงเบามากแค่สวัสดีคุณตายังไม่ได้ยินเลย รุ่นพี่มาสะกิดหนูบอกว่า “พูดดังๆ หน่อยคุณตาแกไม่ได้ยิน คนแก่แล้วหูแกไม่ค่อยได้ยินนะ” หนูก็เลยพูดเสียงดังขึ้น เวลาหนูถามครั้งแรกอาจตะกุกตะกัก รุ่นพี่จะคอยช่วยสอนหนูทำให้หนูจบงานวันนั้นได้

ถาม หลังจากพูดคุยกับตาเสร็จหนูรู้สึกอย่างไร?

ตอบ รู้สึกโล่งใจ เวลาเรามีคำถามเราได้ถามออกไปไม่ต้องเก็บไว้ทำให้รู้สึกสบายใจและเราก็ได้คำตอบที่เราอยากได้ด้วย

ถาม พอได้ลงชุมชนบ่อยครั้งขึ้นเห็นพัฒนาการของตัวเองอย่างไร?

ตอบ รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นคนที่พูดเก่งมาก หนูกล้าเข้าหาคนในชุมชนกล้าพูดกล้าถามกล้าที่จะขอทำนู่นทำนี่ เช่น ถ้าเกี่ยวกับการจักรสานจะเข้าไปถามว่าทำอย่างไร ทำไมต้องเหลาไผ่แบบนี้ ทำแบบอื่นได้ไหม เราจะได้รับคำตอบ หนูสนุกที่ได้อยู่กับคนกลุ่มมาก สนุกกว่าเมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียวเยอะมาก

ถาม ตัวเราเรียนรู้เรื่องอะไรจากการทำโครงการ?

ตอบ หนูรู้จักใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ได้เผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้านในอำเภอของหนูให้คนที่อยู่ภายนอกได้รู้จัก บางคนไม่รู้จักสถานที่ท่องเที่ยว วิถีชีวิตของคนในชุมชนที่ อ.อุทุมพรพิสัย พอได้เข้าร่วมโครงการทำให้คนภายนอกได้เห็นวิถีชีวิตของเราตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายจนถึงรุ่นเราที่ยังคงรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้

ถาม ทำไมถึงอยากให้คนภายนอกได้รู้จักอ.อุทุมพรพิสัย?

ตอบ หนูไม่อยากให้อำเภออุทุมพรพิสัยรู้จักแค่เพียงคนภายในอำเภอเท่านั้น อยากให้คนภายนอกรู้จากอำเภออุทุมพรพิสัยในมุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่มีแค่ต้นมะเดื่อใหญ่ที่เป็นคำเล่าลือ แต่ที่นี่ยังมีปราสาทขอมที่คงรักษาไว้ มีวิถีชีวิตโบราณแบบดั้งเดิมอยู่เรามีความเป็นอยู่ที่สวยงาม ถ้าคนภายนอกรู้จักเขาจะได้มาท่องเที่ยวในอำเภอมากขึ้นและเป็นผลดีกับเศรษฐกิจของคนในชุมชน

ถาม เริ่มเห็นคุณค่าของชุมชนตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตอบ เมื่อก่อนหนูเห็นต้นมะเดื่อใหญ่หนูก็แค่รับรู้ว่ามันมีเยอะมันก็เป็นแค่ต้นไม้ ซึ่งคนอื่นภายนอกก็อาจจะมองแบบเดียวกับหนู แต่พอมาเริ่มทำโครงการบวกกับคำพูดที่อาจารย์คอยสอนคอยกระตุ้นทำให้เราเห็นคุณค่าของต้นมะเดื่อใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ต้นไม้แต่ที่อื่นไม่มีต้นมะเดื่อใหญ่แบบที่อำเภออุทุมพรพิสัยนะคะ

ถาม เราได้เห็นคุณค่าหรือความหมายที่เกี่ยวกับชุมชนเรื่องอะไรบ้าง?

ตอบ ทุกวันนี้เทคโนโลยีเข้ามาเยอะมาก บางชุมชนอาจจะลืมวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไป แต่พอเราได้เผยแพร่วิถีชีวิตแบบบ้านๆ ในอำเภออุทุมพรพิสัยออกไปทำให้คนรู้จักมากขึ้น เป็นวิถีชีวิตที่สวยงามแบบบ้านๆ

ถาม ต้นมะเดื่อใหญ่ที่บอกว่าที่อื่นไม่มีมันมีความหมายอย่างไรกับเรา

ตอบ ต้นมะเดื่อใหญ่ที่อำเภออุทุมพรพิสัยมันเยอะมากๆ จนเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ชื่ออำเภออุทุมพรพิสัยหนูเพิ่งรู้ว่ามันคือถิ่นมะเดื่อใหญ่ มันเป็นตำนานเรื่องเล่าที่คนสมัยก่อนเล่าสู่กันฟัง ปู่หนูเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเค้าใช้ต้นมะเดื่อใหญ่เพื่อทำยารักษาโรค เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาและมีความแข็งแรงให้ประโยชน์กับคนในชุมชน

ถาม เรียนรู้เรื่องอะไรจากการทำงานโครงการนี้?

ตอบ รู้จักการทำงานกับคนหมู่มาก ในตอนแรกที่พวกเราทำงานด้วยกันปัญหาที่มีคือเรื่องความคิดไม่ตรงกัน เวลาไม่ตรงกันเพราะบางคนเรียนมัธยมปลาย บางคนเรียนมหาลัย เราเอาปัญหาเรื่องเวลามาพูดคุยและปรับให้ลงตัวกันมากที่สุด โดยที่เราจะคุยกันว่าใครว่างช่วงเวลาไหนบ้าง พวกเราจะเอาเวลาช่วงนั้นมาประชุมกันว่าเราจะทำงานอะไรบ้าง หนูรู้วิธีใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์การจัดสรรเวลาของตัวเองมากขึ้น

ถาม ปัญหาที่หนักใจที่สุดของตัวเองในระหว่างทำโครงการคือเรื่องอะไร?

ตอบ ไม่เคยมีขนาดนั้น แต่จะมีตอนช่วงงานเยอะเพราะหนูเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะมีช่วงสอบและงานเยอะ หนูแค่เหนื่อยกับงานหลายหลายอย่างและต้องมาทำงานโครงการวิจัยด้วย ต้องมาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ช่วงที่ผ่านมาหนูทำชมรมจิตอาสาด้วยเงินมาทำค่าย รู้สึกว่างานมันเยอะเหนื่อยท้อ จะมีเพื่อนในทีมและอาจารย์จะคอยช่วยดูแลความรู้สึก เวลาที่มีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มรู้สึกไม่ดีจะใช้วิธีการให้กำลังใจกัน พวกเราจะบอกกันว่า “เราจะผ่านมันไปด้วยกันปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้เสมอ” แค่เราต้องขยันและทำอะไรหลายๆ อย่างในเสร็จตามเวลามากกว่าเพื่อนคนอื่นๆก็แค่นั้นเอง

ถาม มีวิธีการจัดการกับความรู้สึกตัวเองเวลาที่เหนื่อยท้ออย่างไร?

ตอบ ถ้ามันอึดอัดหรือไม่ไหวจริงๆ หนูจะร้องไห้ หนูจะบอกกับตัวเองเสมอว่าการร้องไห้ คือการระบายความอึดอัดข้างในออกมาแค่ครั้งเดียวจบ พอร้องไห้เสร็จหนูจะบอกกับตัวเองที่หน้ากระจกว่ามันจบแล้วนะ หลังจากนี้จะสู้กับงานที่ตัวเองต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ มันเป็นสิ่งที่หนูเลือกที่จะทำด้วยตัวเองไม่มีใครมาบังคับ ในเวลาที่ทำงานมันเป็นความสุขที่คุ้มค่ากับการเหนื่อย

ถาม คุณสมบัติของตัวเองในการทำโครงการนี้คือเรื่องอะไร?

ตอบ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่มี หนูคิดว่าความอดทนของหนูสูงมาก เมื่อก่อนไม่ค่อยพูดไม่เข้าหาคนทำให้หนูมีความอดทนน้อย เมื่อก่อนถ้าหนูรู้สึกไม่ดีกับอะไรหนูจะไม่ทนไม่สู้ พอทุกวันนี้ยิ่งงานไหนหนูรู้สึกว่าหนักหนูต้องทำให้ได้ หนูอยากทำให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่ว่างานไหนที่เหนื่อยหรือหนักแต่ถ้าเราสู้เราก็สามารถทำได้

ถาม เลือก 1 คุณสมบัติที่เป็นที่สุดที่ตัวเราค้นพบจากโครงการนี้?

ตอบ การเป็นคนกล้าแสดงออก อย่างที่เราไปเมื่อก่อนหนูเป็นคนไม่พูดเลยแต่ตอนนี้หนูเป็นคนที่พูดเก่งมาก ขนาดอยู่ในห้องเรียนหนูกลายเป็นคนที่ชวนเพื่อนคุยเพื่อนเล่น เข้าหาเพื่อนง่ายขึ้น เมื่อก่อนพอเพื่อนๆ เล่นมุขตลกหนูจะไม่ค่อยคุยไม่มีการโต้ตอบ แต่ทุกวันนี้คนที่เป็นผู้นำที่จะพาเพื่อนเล่นพาเพื่อนทำกิจกรรมส่วนมากจะเป็นหนู

ถาม คนใกล้ชิดได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหนู พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง?

ตอบ แม่จะดีใจมาก ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กพี่เค้าบอกกับหนูตั้งแต่หนูเริ่มทำโครงการว่า รู้ไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมาก เมื่อก่อนนิ่งมากไม่พูดไม่แสดงออก ถามอะไรก็ไม่เคยตอบ คิดอะไรก็ไม่เคยพูด แต่ทุกวันนี้เห็นอะไรก็อยากทำ เห็นอะไรที่อยากพูด พี่เขาบอกว่าหนูมีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเองมากขึ้น การที่หนูไปช่วยเหลือคนอื่นใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ การแบ่งเวลาของหนูทำให้หนูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

ถาม การเปลี่ยนแปลงในตัวเองหลายๆ ด้านที่กล่าวมาส่งผลกับการเรียนของเราอย่างไร?

ตอบ การเรียนยังเหมือนเดิมค่ะ รู้สึกว่าสนิทกับเพื่อนในห้องมากขึ้น เวลาเรียนหนูตั้งใจเรียนค่ะ เวลาว่างเพื่อนบางคนอาจจะเล่นมือถือมีเวลาว่างทำอย่างอื่น แต่เวลาว่างของหนูคือต้องทำกิจกรรมทั้งโครงการและชมรม

ถาม ระหว่างทำโครงการประทับใจเรื่องอะไร?

ตอบ หนูประทับใจกับงานที่ทำ ครั้งแรกหนูไม่คิดว่าเราจะทำเพจขึ้นมาได้ ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจเพจของเราและมีกระแสตอบรับจากคนภายนอกดีขนาดนี้ มันมีผลให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในชุมชนเยอะขึ้น นักท่องเที่ยวมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนทางเพจของเรา อย่างน้อยหนูได้ทำเป้าหมายสำเร็จให้คนภายนอกได้รู้จักอำเภออุทุมพรพิสัย ทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้นเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในความรู้สึกของหนู หนูรู้สึกภูมิใจมากกับการทำโครงการนี้

ถาม ความฝันในอนาคตคืออยากจะทำอะไร?

ตอบ สอบพยาบาลให้ได้ตามที่หวังไว้

ถาม คุณสมบัติในตัวเองที่ได้จากการทำโครงการจะส่งเสริมการเป็นพยาบาลอย่างไร?

ตอบ การเป็นพยาบาลที่ดีสำหรับหนู ไม่ว่าคนไข้จะเป็นอย่างไร ตัวเราจะได้รับผลกระทบจากภายนอกอย่างไรมา ใครจะว่าเราอย่างไร สิ่งที่เราควรมีคือความอดทน การทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

ถาม พยาบาลแบบไหนที่เราอยากเป็น?

ตอบ คนภายนอกที่ไปโรงพยาบาลแล้วเจอพยาบาลพูดจาไม่ดีทำกริยาไม่ดีใส่ หนูบอกกับตัวเองเสมอว่า การที่หนูเลือกเป็นพยาบาลมันหมายถึงว่าหนูพร้อมที่จะเสียสละตัวเองเพื่อจะดูแลคนอื่น หนูจะไม่ทำกริยาที่ไม่ดีต่อคนป่วยเพราะนั่นคือหน้าที่ของหนู เข้าใจพยาบาลว่าเป็นงานที่หนักและเหนื่อยต้องทำงานตลอดเวลาแต่ก็คือหน้าที่เขาเป็นคนเลือกที่จะทำ ไม่มีใครบังคับให้เขามาทำตรงนี้ หนูจะพยายามไม่ทำพฤติกรรมไม่ดีต่อคนไข้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

ถาม คำว่า”รับผิดชอบหน้าที่”สำคัญอย่างไรกับเรา?

ตอบ ความรับผิดชอบหน้ามันเกิดขึ้นตอนทำโครงการและชมรมควบคู่กันค่ะ ที่เราทำงานเราควรจะรับผิดชอบหน้าที่ของเราเอง ไม่ว่างานจะเยอะหรือเรียนหนักแค่ไหน หน้าที่ก็คือหน้าที่ เราควรทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายออกมาให้ดีที่สุดเพื่อความภาคภูมิใจในตัวเอง

ถาม ในการทำโครงการนี้อยากให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่?

ตอบ 7.5 ค่ะ เพราะหนูอยากปรับปรุงตัวเองเรื่องการท้อ ถึงหนูจะเยียวยาตัวเองได้แต่หนูก็ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกท้อกับงานที่ตัวเองทำ

ถาม มีวิธีการปลุกพลังในตัวเองอย่างไร?

ตอบ เวลาที่รู้สึกไม่ดีหนูจะชอบอยู่คนเดียว เปิดเพลงเพื่อผ่อนคลาย

ถาม ช่วยเล่าบทบาทหน้าที่ของเราในโครงการ?

ตอบ หน้าที่สัมภาษณ์คนในชุมชนหรือคนในสถานที่นั้นๆ คอยช่วยเหลือเพื่อนๆ พี่ๆ เวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลืออะไร ถ้าให้ถ่ายวิดีโอหนูไม่ถนัด หนูเลยอาสาช่วยทุกอย่างในโครงการ

ถาม ก่อนลงไปสัมภาษณ์มีการเตรียมตัวอย่างไร?

ตอบ เราต้องรู้ว่าเราอยากรู้เรื่องอะไร ไปสัมภาษณ์ใคร คำถามอะไรที่เหมาะสมเป็นคำถามที่เราจะได้ข้อมูลกลับมา

ถาม ใครเป็นคนแนะนำเรื่องการเตรียมตัวในลักษณะนี้ให้กับเรา?

ตอบ อ.โกสัลล์ค่ะ

ถาม อ.โกสัลล์มีวิธีการแนะนำหรือสนับสนุนพวกเราในทีมอย่างไร?

ตอบ ทุกงานที่พวกหนูทำอ.โกสัลล์จะไม่เคยที่จะสั่งพวกเราต้องทำแบบนี้ๆ หรือวางอะไรให้ แต่จะเป็นคนถามพวกหนูว่าอยากทำอะไร เราจะทำแบบไหน อาจารย์จะคอยมาช่วยสนับสนุนในการทำงานของพวกหนูในกระชับขึ้น อาจารย์จะเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาของอาจารย์มาสอน

ถาม ช่วงลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์ อ.โกสัลล์แนะนำเราอย่างไร?

ตอบ อาจารย์จะชอบแกล้ง ถามพวกเราว่าจะไปสัมภาษณ์เขาอยากจะไปรู้เรื่องอะไร บางทีพวกหนูตอบอาจารย์ไปซึ่งคำถามบางคำถามมันอาจจะงง อาจารย์ถามพวกเรากลับว่า ถ้าถามแบบนี้จะรู้เรื่องไหม ถ้าครูถามเธอแบบนี้เธอเข้าใจใช่ไหม อาจารย์จะใช้วิธีถามพวกหนูกลับมา

ถาม รู้สึกอย่างไรกับการมีพี่เลี้ยงที่ใช้วิธีการตั้งคำถามและพาลงมือทำ?

ตอบ ดีใจมาก หนูรู้สึกว่า อ.โกสัลล์ เป็นอาจารย์คนเดียวในโรงเรียนที่ไม่เหมือนใครไม่มีใครเหมือน ทั้งการสอนในห้องเรียน อาจารย์จะเลือกสอนสิ่งที่มันสำคัญจริงๆ ช่วยหาวิธีการที่จะช่วยให้เราจำได้ อาจารย์จะไม่ถือตัว อาจารย์จะทำตัวคลุกคลีกับเด็กทำให้พวกหนูกล้าเข้าหากล้าคุยกล้าที่จะเล่นกับอาจารย์ ใครอยากทำอะไรที่ไม่ได้เป็นผลเสียต่อตัวเองต่อสังคม อาจารย์จะเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำและจะคอยสนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้เด็กได้ทำงาน เช่น พวกหนูอยากไปบริจาคของ อาจารย์สนับสนุนได้แต่พวกเราก็ต้องไปหาเงินเองเพื่อที่จะทำ อาจารย์จะคอยช่วยแนะนำวิธีการ