อภิรัตน์ รัตนศิลา แกนนำเยาวชน Active Citizen จ.น่าน

นายอภิรัตน์ รัตนศิลา (คำไท้) แกนนำเยาวชน Active Citizen จ.น่าน

­

ซอล่องน่านเป็นตำนานของการขับซอสายเมืองน่าน โดยเล่าถึงประวัติความเป็นมาของการสร้างเมืองน่าน ปัจจุบันมีเยาวชนที่สนใจและสานต่อศิลปะนี้เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือ คำไท้ หรือนาย อภิรัตน์ รัตนศิลา อดีตแกนนำเยาวชนจังหวัดน่าน ภายใต้โครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน

คำไท้เคยเข้าร่วมโครงการ Active Citizen เพราะต้องการเผยแพร่ศิลปะการขับซอล่องน่านให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น โดยเขาเล่าถึงที่มาของการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ฯ ว่า “เราเห็นว่าเขาทำงานเป็นทีม โครงการแต่ละโครงการเขาทำสิ่งที่เขาชอบ บางทีมเขาชอบเกี่ยวกับป่าไม้ เขาก็เน้นย้ำไปที่ป่าไม้ บางทีเขาชอบงานหัตถกรรมเขาก็ไปทำงานหัตกรรมของเขา เราก็คิดว่าถ้าเราถนัดด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน เพื่อนเราก็เป็นช่างซออยู่แล้ว เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน ตรงนั้นเราเห็นเขาทำงานเป็นทีมรู้สึกว่าจะสนุกก็เลยอยากทำ” จากนั้นจึงตัดสินใจทักข้อความเข้าทางเพจ และสมัครเข้าร่วมโครงการ

คำไท้อาศัยอยู่ในตำบลกองควาย อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ตอนแรกที่เข้าร่วมโครงการเพราะต้องการคือการเผยแพร่ศิลปะความรู้ให้กับเยาวชนในหมู่บ้านได้หันมาเห็นความสำคัญของการขับซอล่องน่าน แต่เมื่อได้เข้าร่วมเวทีหลาย ๆ ครั้งทำให้เรียนรู้เทคนิค และวิธีการในการเผยแพร่ข้อมูลจากการถ่ายวิดีโอ เรียนรู้การถ่ายภาพเพื่อการสื่อสาร ทำให้เริ่มเปลี่ยนความคาดหวัง “เราคิดว่าโครงการนี้น่าจะเป็นเวทีหนึ่งที่จะเป็นเวทีเปิดตัวให้กับคนต่างพื้นที่ได้เห็นสิ่งที่เด็กทำ เพราะมีการถ่ายทำวีดีทัศน์ วิดีโอ ซึ่งก็เป็นการเผยแพร่ที่ดี เราเลยคิดว่าถ้าเราทำต่อไปคนข้างนอกจะต้องรู้จักศิลปะการซอของเรา” คำไท้กล่าว

หลังทำโครงการคำไท้พบว่าสิ่งที่เขาหวังไว้เกินคาดมาก จากที่ตั้งเป้าให้เด็กเล่นซอได้ 3-4 คน แต่ผลที่ได้คือเด็กนักเรียนสามารถเล่นได้ 10-20 คน ในส่วนของการเผยแพร่ศิลปะการขับซอล่องน่านก็ขยายวงกว้างข้ามจังหวัด สืบเนื่องจากการแสดงในช่วงวันงานมหกรรมเด็กและเยาวชนที่ทีมของคำไท้ได้มีโอกาสทำการแสดง ณ วัดพระธาตุแช่แห้ง ทำให้มีนักท่องเที่ยวได้เข้ามารับชมระหว่างทำการแสดง รวมทั้งเครือข่ายเยาวชนในจังหวัดอื่น ๆ ที่มาเข้าร่วมเวทีด้วย

เมื่อถามถึงความยากของการทำโครงการ คำไท้บอกว่า คือเรื่องของเวลา เพราะภายในทีมรวมตัวกันหลายช่วงวัย หลายพื้นที่ทำให้การนัดทำกิจกรรมร่วมกันเป็นไปได้ยาก แต่สุดท้ายก็ก้าวข้ามมาได้ด้วยการพูดคุยและร่วมกันหาเวลาที่ว่างตรงกันของทุกคนเพื่อใช้ทำกิจกรรมกับพ่อครู แม่ครู คำไท้บอกว่าระหว่างความยากของการทำโครงการทำให้เขาเรียนรู้เรื่องการทำงานเป็นทีม คำไท้สะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้ว่า “ผลจากการทำโครงการทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนใดคนหนึ่งทำเพียงคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้นต้องร่วมไม้ร่วมมือกันทำแต่ละฝ่ายของตัวเองให้ดีเพื่อประกอบกันให้มันสำเร็จลุล่วงอันนี้คือการทำงานเป็นกลุ่มการจัดสรรทรัพยากรเวลาให้ตรงต่อกัน” คำไท้บอกต่ออีกว่า ผลจากการทำงานเป็นทีม ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองรู้จักเทคนิค วิธีการพูดโน้มน้าวใจมากขึ้น โดยตนได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้กับการแสดงขับซอล่องน่านของตัวเองด้วย โดยคำไท้เล่าว่า “แต่ก่อนเวลาขับซอเราก็จะขับซอของเราไปเรื่อย ๆ แต่พอผ่านเวทีการนำเสนอ ได้ลงพื้นที่พบปะผู้คนหลายช่วงวัย ทำให้เวลาทำการแสดงเราจะดูกลุ่มเป้าหมายเป็นหลักว่าเป็นคนช่วงวัยไหน แล้วค่อยปรับภาษาพูด เนื้อหาการนำเสนอให้เข้ากับแต่ละช่วงวัยทำให้คนฟังสนใจการแสดงของเรามากขึ้น”

ปัจจุบันคำไท้ได้รับบทบาทเป็นประธานโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (U2T) ของตำบลกองควาย เกี่ยวกับการทอผ้าของชุมชน โดยให้ชาวบ้านเข้ามารวมกลุ่มเรียนรู้การย้อมสีธรรมชาติ และเทคนิคการทอรูปแบบใหม่ผ่านกิจกรรมเวิร์คชอร์ปที่ตนเป็นคนจัดกิจกรรม นอกจากนี้คำไท้ยังทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่การตลาด อาศัยการเป็นช่างซอสร้างเครือข่ายการตลาดให้กับสินค้าในชุมชน คำไท้ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับผิดชอบในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากการเรียนรู้ที่เขาได้จากการทำโครงการในช่วงที่ผ่านมา โดยในปีที่ 4 คำไท้ได้เข้ามาช่วยโครงการฯ ในฐานะที่ปรึกษาที่คอยแนะนำโครงการ รูปแบบการทำโครงการให้กับน้อง ๆ ซึ่งเขาบอกว่าผลจากลงมือทำสิ่งเหล่านี้ ทำให้เขานำมาปรับใช้ในฐานะประธานโครงการ U2T ได้อย่างมาก

โดยคำไท้มองอนาคตไว้ต่อจากนี้ว่าหากได้ทำโครงการ U2T อีกในปีต่อไป ตนจะนำสิ่งที่ถนัดนั่นคือการขับซอล่องน่านมาทำในรูปแบบของสื่อการสอนออนไลน์ แบ่งเป็นตอน ๆ เพื่อให้คนที่สนใจอยากเรียนรู้ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ศิลปะการขับซอล่องนานให้กว้างขวางมากขึ้น ด้วยการนำความรู้และเทคนิคการสื่อสารที่ได้จากโครงการไปต่อยอดให้ได้ประโยชน์สูงสุดในฐานะเยาวชนตำบลกองควาย