ความสุขที่เเท้จริง......คือการทำเพื่อส่วนรวม

เดี๋ยว ลูกๆก็จะรู้ว่า ตลอดระยะเวลาของการอยู่ค่ายตั้งเเต่วันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2555 "การมาเป็นอาสาสมัครของค่ายเเห่งนี้ เราเเทบจะไม่ได้ให้อะไรน้องๆเลย น้องๆต่างหากที่ให้อะไรเเก่เรา" สิ้นคำพุดของป้าคนหนึ่งผมก็คิดเล่นๆในใจว่า เอ๊ะ...! ป้าคนนี้เเกมั่วป่าวเนี้ย ผมสมัครมาเป็นอาสานะครับ น้องๆสิต้องได้อะไรจากผม ไม่ใช่ผมได้อะไรจากน้องๆ.....พลางคิดเเล้วนั่งหัวเราะคนเดียว

เสร็จสิ้นจากกิจกรรมประชุมในช่วงเย็น ผมก็เเยกย้ายเก็บข้าวของเข้าห้องพัก เเล้วก็รีบอาบน้ำเพราะรู้สึกเหนียวตัวหลังจากการเดินทางมาตั้งเเต่ตอนเช้า ที่อุตส่าห์ตื่นนอนตั้งเเต่ตี 3 เพื่อเตรียมเดินทางจากมหาวิทยาลัยทักษิณไปยังสถานที่จัดค่าย นั้นก็คือเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตลอดระยะทางก็มีฝนตกหนักตลอด โดยเฉพาะก่อนออกจากมหาวิทยาลัยนั้น เล่นเอาซะพวกผมเกือบจะไม่ได้เดินทาง เพราะฝนตกหนักมาก น้ำก็เริ่มท่วมขัง เเต่ทว่าก็ต้องเดินทางต่อไปให้ถึงเป้าหมาย ในที่สุดก็มาถึงค่าย ประมาณสิบโมงกว่าๆ เล่นเอาลุ้นกันตลอดระยะทางว่า มันจะถึงไหมเนี้ย อิอิ

หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็รีบลงไปทานข้าว เเล้วก็เริ่มสังเกตุเห็นว่าน้องๆที่ผมจะมาดูเเลเริ่มมาถึงกันเเล้ว เเต่เอ๊ะ....! ทำไมน้องบางคนถึงนั่งรถเข็น บางคนก็เป็นเด็กพิการ ไหนยังมีน้องที่พิการทางสายตา เเล้วดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มออทิสติกด้วย จึงได้เเต่ งงๆ เเล้วรีบเดินไปเพื่อประชุมเตรียมงานต่อ ในส่วนของการประชุมเตรียมงาน ผมเเอบหวังว่าอยากจะเป็นพี่เลี้ยง เพราะจะได้อยู่ใกล้ชิดน้องที่สุด เเต่ทว่าผลที่ออกมาคือ ผมได้รับมอบหมายให้ดุเเลเรื่องการลงทะเบียน การเตรียมห้องพัก พอรู้เช่นนั้นก็นั่งบ้าอยู่คนเดียว เเล้วก็คิดว่าเขาเเบ่งยังไงเนี้ย ผมจะทำได้ป่าวหนอ......? เเต่ก็ยินดีที่จะรับหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย เพราะเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ใด มันก็มีความสำคัญเหมือนๆกัน งานทุกต่ำเเหน่งขาดใครไปมันก็ไม่สำเร็จ........หลังจากได้รับมอบหมายหน้าที่ เเล้ว ท่านประธานศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ประธานมูลนิธิศิลปะเพื่อมวลมนุษยชาติ Art for all ได้ เล่าให้ฟังว่า การอยู่ในค่ายเเห่งนี้ เราจะเอาน้องๆ 5 กลุ่ม อันได้เเก่ ผู้พิการทางร่างกาย ผู้พิการทางสายตา ผู้พิการทางการได้ยิน ผู้พิการทางสมอง ตลอดจนน้องๆผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 3 จังหวัดชานเเดนภาคใต้ มาผ่านการอบรม เเล้วให้น้องทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมีศิลปะเป็นตัวผสาน ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า " 5 เป็น 1 อัจฉริยะ"

1.เด็กกลุ่มออทิสติก สมองเขาไม่ดี แต่เขามีร่างกายและอารมที่ดี

2.เด็กผู้บกพร่องทางสายตา เขาไม่สามารถมองเห็น แต่เขามีหูที่ดี

3.เด็กผู้บกพร่องทางด้านร่างกาย เขามีแขนขาที่ไม่สมบูรณ์ แต่เขามีความคิดที่ดี

4.เด็กผู้บกพร่องเรื่องการได้ยิน เขาเป็นใบ้ไม่สามรถสื่อสารด้วยการพูดได้ แต่เขามีสายตาที่ดี

5.เด็กผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

โดยมีปรัชญาคือ การก้าวข้ามขีดจำกัด........เเล้วท ่านก็พูดของท่านไปเรื่อยๆ เเต่ผมนะสิ อึ้ง...! เเล้วก็จินตนาการว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งเเรกที่กลัวคือ คืนนี้มันจะผ่านไปได้ไงเนี้ย ที่เเน่ๆ ห้องพักจะพังไหมหนอ...? เเล้วก็แยกย้ายไปนอนด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน

ตื่นเช้ามาเเล้วรีบอาบน้ำเเล้วก็เดินไปทานข้าวตอน 07.00 น. ในระหว่างทางที่เดินไป ก็รู้สึกสบายใจมากๆๆๆๆๆๆ เพราะมีอากาศที่สดชื่น มีหมอกปกคลุมไปทั่ว ที่สำคัญ เห็นภาพน่ารักๆ ของน้องๆที่เดินกันไปเป็นเเถว หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็เดินทางด้วยรถบัสของเขื่อนจากที่พัก ไปยังจุดชมวิว ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรม พอไปถึงผมก็ไปยืนอยู่มุมๆหนึ่งของสถานที่ทำกิจกรรมเพื่อชมทิวทัศน์ในยามเช้า ทันใดนั้นก็มีน้องผู้พิการทางด้านสายตาคนหนึ่งเดินมาที่ผม เเล้วก็เอามือสัมผัสไปว่ามีคนอยู่ไหม ผมก็รีบเอ่ยทัก.....

ผม : สวัสดีครับ มาทำอะไรตรงนี้เอ่ย....?

น้อง : ป่าวครับ เดินมาเล่นๆ เเล้วพี่เป็นใครครับ

ผม : พี่ชื่อพี่ลิฟครับ มาเป็นอาสาสมัครในค่ายนี้เพื่อดูเเลน้องๆครับ

น้อง : จริงหรอครับพี่ ดีใจจังที่พี่ๆ มาที่นี้

ผม : จริงสิครับ

น้อง : พี่ครับอากาศที่นี่เย็นสบายนะครับ ว่าเเต่วิวสวยไหมครับ

ผม : สวยสิครับ สวยมากเลย มีทะเลหมอก ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ที่สำคัญภูเขาสวยมากๆๆเลย

น้อง : จริงหรอครับพี่ พี่โชคดีจังที่มองเห็น ตั้งเเต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นภาพเเบบนี้เลย

ผม : น้ำตาเริ่มคลอ ได้เเต่เอามือไปโอบไหล่น้องเขา

น้อง : เมื่อไหร่หน๊า....ที่ผมจะมองเห็นกับเขาบ้าง 555555 เเล้วน้องเขาก็หัวเราะเเล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ

ผม : น้ำตาเริ่มไหล พูดอะไรไม่ออก......คิดเเต่เพียงว่าเราโชคดีจริงๆสินะ สงสารน้องคนนั้นจัง

เสร็จจากการชมวิวในตอนเช้าผมก็เดินเข้าไปในห้องฝ่ายอำนวยการ เพราะนี้ คืออีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องเข้าไปช่วยพี่ๆเขาทำงาน งานที่มีให้ทำก็เยอะเเยะมากมาย ตั้งเเต่ พิมพ์คำกล่าวต้อนรับให้หัวหน้าเขื่อน เตรียมเรื่องเกียรติบัตร ขนของ ยกน้ำต่างๆ เป็นต้น เท่าที่ผมจะช่วยได้ จากการที่เข้ามาอยู่ในฝ่ายอำนวยการ สิ่งที่ผมได้เห็นคือ ผมเห็นพี่ๆหรือเจ้าหน้าที่หลายคนที่เข้ามาทำงาน เขาทำงานได้ทุกอย่าง ไม่ใช้รอเเต่ออกคำสั่ง มีพี่ๆบางคนอายุมากกว่าผมหลายปี ทั้งหาม ทั้งเเบกถังน้ำเพื่อเอาไปให้น้องๆ บางคนก็อายุมากกว่าคุณเเม่ผมอีก เเต่ทุกคนที่เข้ามาที่นี้ เขาไม่ได้รับเงินค่าตอบเเทน เเต่ที่เขามาคือเขามาด้วยใจอาสา เพื่อทำเพื่อน้องๆเเละคนในสังคม

กิจกรรมภาคบ่ายเริ่มเสร็จสิ้น ก็เริ่มจัดเก็บสิ่งของกลับเข้าสู่ที่พัก เเล้วก็เเยกย้ายไปอาบน้ำ เเล้วก็มารับประทานอาหารซึ่งห่างจากที่พักประมาณ 300 เมตร อาหารมื้อนี้ทางค่ายได้จัดเป็นโต๊ะจีน เพื่อเลี้ยงให้กับน้องๆ เเล้วจะจัดให้จนถึงวันเดินทางกลับ.....พอทานอาหารเสร็จก็ทำกิจกรรมต่อเล้ก น้อย มีน้องๆบางคนเริ่มออกมาเเสดงความสามารถพิเศษ บางคนก็ร้องเพลง เต้น เเล้วเเต่ความสามารถในเเต่ละด้าน ผมก็ได้เเต่ยิ้มเเล้วก็เเอบชื่นชมอยู่ลึกๆ....เสร็จสิ้นจากกิจกรรม ก็ส่งน้องๆเข้าห้องพัก เเล้วทีมอาสาก็กลับมาประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับน้องๆในวันพรุ่งนี้ เสร็จเเล้วก็เเยกย้ายกลับเข้าสู่ที่พัก....ก่อนจะนอนก็ยังนึกถึงคำพูดของ น้องคนนั้น.....พี่โชคดีมากเลยนะครับ......!

รุ่งเช้าของวันที่ 3 ผมก็ตื่นนอนเช่นเคย เเล้วก็ลงมาทานข้าว ก่อนจะทานข้าวก็เเวะเดินไปคุยกับน้องๆกลุ่มต่างๆเพื่ออยากทำความรู้จัก เพราะผมเองไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสอยู่กับน้องๆซักเท่าไหร่ หลังจากทานข้าวเสร็จเเล้วก็นั่งรถขึ้นไปทำกิจกรรมที่จุดชมวิว บริเวณสันเขื่อน โดยกิจกรรมในวันนี้ก็เป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากเมื่อวาน หลังจากที่น้องๆได้เข้าร่วมฐานต่างๆเเล้ว วันนี้ฐานใดที่ไม่ได้เข้าก็จะมาต่อในวันนี้เเละวันพรุ่งนี้ กิจกรรมในเเต่ละฐานก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง.....วันนี้ผมเเอบขอพี่ๆในกอง อำนวยการเพื่อออกมาดูการทำกิจกรรมของน้องๆ ก็เห็นถึงรอยยิ้มเเละความสุขของน้อง ในเเต่ละฐานก็จะมีความเเตกต่างกันเช่น การปั้นรุปต่างๆจากกระดาษ การวาดภาพด้วยฟองน้ำ การถักภาชนะ การทำอาหาร เเต่ฐานที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดนั้นก็คือฐาน "สัจธรรม" ของอาจารย์ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก ผมขอเรียกท่านอาจารย์ว่าศิลปินก็เเล้วกันครับ เพราะเเนวคิดเเละการเเต่งกายของเเกเเปลกมากๆๆๆๆ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน ก็จะคิดว่าท่านเป็นคนบ้าเเน่เลย.......ซึ่งตอนเเรกผมเองก็เเอบคิด อิอิ ก็เหมือนจริงๆหนิครับ เเต่ทว่าก็ลองพยายามหาโอกาสที่จะคุยกับศิลปินท่านนี้ให้ได้ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปพูดคุย

ผม : สวัสดีครับอาจารย์

อาจารย์ไม้ร่ม : สวัสดีลูก

ผม : อาจารย์มีเเนวคิดอย่างไรครับ ถึงดีไซค์ศิลปะออกมาในรูปเเบบนี้ ที่สำคัญการเเต่งตัวของอารย์ก็อาร์ตมากเลยครับ

อาจารย์ไม้ร่ม : เเล้วทำไมลูกต้องถามครับ

ผม : ตายเเน่ๆ เเล้วจะตอบว่าไงเนี้ย ก็ เลยตอบว่าผมไม่รู้ครับผม

อาจารย์ไม้ร่ม : ถ้าไม่รู้อาจารย์ก็จะเล่าให้ฟัง

ผม : ถอนหายใจ นึกว่าจะเจอดีซะเเล้ว อิอิ

อาจารย์ ไม้ร่ม : ลูกเห็นไหม ในโลกปัจจุบันนี้ คนเราเบียดเบียนธรรมชาติกันมากมาย เอาธรรมชาติมาใช้ประโยชน์เเต่ไม่ช่วยกันดูเเล ที่สำคัญเห็นวัตถุสำคัญกว่าจิตใจ อย่างการเเต่งตัวของอาจารย์เนี้ย คนไหนไม่รู้จักก็จะว่าอาจารย์บ้า หรือไม่ก็อาจจะมองไปถึงขั้นว่า อาจารญืเป็นพวกถ่วงความเจริญของบ้านเมือง เเต่ถ้าถามอาจารย์ อาจารย์ก็จะบอกว่าอารย์ไม่ได้ถ่วงความเจริญ เเต่อาจารย์ถ่วงความไม่เจริญของโลกนี้ต่างหาก เพราะปัจจุบันโลกนี้มันเปลี่ยนไปหมดเเล้ว..........หรือลูกคิดว่าอย่างไร อาจารย์เองเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่เเบบเรียบง่าย อยู่วัดนอนวัด ทานข้าววันละมื้อเเล้วก็ไม่ทานเนื้อสัตว์ ว่างๆก็เขียนบทกวีเรื่อยๆ นี้เเหละควาามสุขของอาจารย์ในเเต่ละวัน

ผม : เข้าใจถึงสิ่งที่อาจารย์อธิบายจนลึกซึ้ง........

มันก็จริงอย่างที่อาจารย์บอกนะครับ ว่าจริงๆเเล้วโลกนี้มันเจริญทางด้านวัตถุเเต่ทว่ายังไม่สามารถหยั่งลึกถึง จิตวิญญาณของความเป็นคน........เสร็จจากพูดคุยกับอาจารย์ ผมก็เดินกลับห้องอำนวยการ ระหว่างเดินทางกลับก็เห็นน้องผู้พิการทางสมองคนหนึ่งนอนดิ้นอยู่บนถนน ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง พอเข้าไปปุ๊บ น้องเขาก็หยุด เเล้วหันมามองหน้าผม ผมก็ดีใจนึกว่าน้องจะดีขึ้น เเต่ทว่าทันใดนั้น มืออันน้อยๆของน้องก็ฟาดเข้าหน้าผมซะเต็มเเรง ผมน้ำตาซึมด้วยความเจ็บ เเต่น้องหัวเราะ สักพักผมก็หัวเราะ เเล้วนึกในใจว่า เอาว่ะไม่เป็นไร น้องเขาคงไม่รู้ตัว เเล้วก็รีบเรียกพี่เลี้ยงมาช่วยกันเเบกเข้าไปในฐานต่อ ส่วนผมก็รีบเดินกลับไปกองอำนวยการด้วยจมูกที่เเดงหลังจากโดนมือน้องสัมผัส เข้าที่หน้าอย่างเเรง 5555

พอได้เวลา 5 โมงก็เริ่มเก็บของเช่นเดิมกลับห้องพัก อาบน้ำเเล้วรีบลงมาทานข้าว ระหว่างทานข้าวก็ได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งซึ่งส่งเสียงดังตลอดเวลา มันทำให้ผมขำมากๆๆ เลยตั้งฉายาน้องเขาว่า น้องอ้อเเอ้ ประมาณว่าเขาสร้างเสียงหัวเราะตลอด พอตอนทำกิจกรรมตอนค่ำ ท่าน ประธานก็ให้น้องๆนั่งสมาธิเเล้วท่านก็พยายามนับ 1 2 3 ไปเรื่อย ทุกคนก็เริ่มเงียบ ทันใดนั้นเสียงน้อง อ้อเเอ้ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาทั้งห้องประชุมที่กำลังเงียบกลับมีเสียงหัวเราะดังสนั่นในทันที รวมทั้งท่านประธานที่อดขำไม่ได้ จากนั้นพวกเราก็ได้ออกมาจากห้องประชุมเพื่อปล่อยโคมลอยเพื่ออธิฐานจิต บรรยากาศในคืนนี้เป็นอะไรที่สวยงามมาก เเล้วเราก็เเยกย้ายกลับไปนอน..........

ตื่นมาเป็นวันที่ 4........ รู้ ไหมตลอดระยะเวลาของการมาอยู่ที่ค่ายเเห่งนี้ ผมเหมือนหลบหนีอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมเเทบจะไม่รับสายโทรศัพท์ของใคร นอกจากของพ่อ เเล้วก็ของเเม่ ที่สำคัญไม่คิดที่จะโทรหาหรือส่งข้อความหาใครเป็นพิเศษ มันเหมือนกับว่า การมาอยู่ที่นี่ ผมได้เก็บเอาความทุกข์เเละความเศร้ามาด้วย เเต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นมันถูกข่มลึกให้อยู่เป็นความทรงจำเท่านั้น เพราะ ณ ช่วงเวลาตอนนี้ที่ผมอยู่ในค่ายผมมีความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สด ใส ได้อยู่กับน้องๆผู้พิการ มันเลยทำให้ผมได้เเง่คิดอะไรต่างๆมากมาย จนทำให้ผมไม่รู้สึกท้อ เเล้วก็กล้าที่จะต่อสู้ด้วยความเข้มเเข็งต่อไป.......

ในวันนี้ก็มีกิจกรรมที่เป็นเเบบเมื่อวานครับ มีการเข้าฐานเรียนรู้ต่อ ที่สำคัญมีกิจกรรมถักทอสายใย เเล้วก็กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติวันพ่อ วันนี้ผมเเทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากวุ่นอยู่เเต่เรื่องเคลียร์ห้องพัก เพราะเเขกผู้มีเกียรติหลายท่านเริ่มทยอยกลับ พอตกเย็นก็ทานข้าว เเล้วก็ได้รับบทบาทหน้าที่ให้เป็นพิธีกร ในการมอบเกียรติบัตรให้กับน้องๆ เเละผู้เข้ารับการอบรม เสร็จเเล้วก็มีการกล่าวอำลาให้กับน้อง เเล้วก็ส่งน้องเข้านอน............มี เรื่องขำๆว่า มีน้องคนหนึ่งหายไปจากกลุ่ม เป็นน้องผู้หญิงกลุ่มพิการทางด้านสมอง ชื่อ "ญาญ่า" เเล้วผมก็พยายามเดินหา ในที่สุดก็ไปเเอบอยู่ใต้โต๊ะ น้องเขาเขินเเล้วก็เรียกผมเข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปเเล้วน้องเขาก็เอามือควงเเขนผมไว้เเน่นเลย ผมก็หัวเราะ เพราะรู้ว่าน้องเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันคืออะไร เสร็จเเล้วเขาก็บอกให้ผมไปส่งที่ห้อง ระหว่างทางที่เดินไป ผมก็พยายามพุดคุยเเต่น้องเขาพูดได้คำเดียวคือ ไม่รุ๊ ไม่รุ๊ เเล้วก็ไม่รุ๊ ผมก็ได้เเต่ขำ ที่สำคัญพอเดินผ่านใครเขาก็จะหันไปบอกว่า เขาเป็นเเฟนผมเเล้วเขาก็เขินเอาเเก้มมาเที่ยวซบที่ไหล่ผม ผมก็ได้เเต่หัวเราะเเล้วก็สงสาร จนมีเพื่อนกลุ่มผมที่ไปด้วยกัน เขาเเกล้งเข้ามาจับมือผม น้องญาญ่าหันมาด้วยความโกรธ รีบผลักมือเพื่อนผมออก เเล้วรีบดึงมือพาผมวิ่ง ผมก็ได้เเต่ขำ.....พอไปถึงหน้าหอผมก็บอกให้น้องขึ้นไปนอน เเต่เขาไม่ยอมก็เลยต้องเดินขึ้นไปส่งหน้าห้อง ก็ยังไม่ยอมอีก บอกว่าให้ส่งถึงที่นอน พอเข้าไปปุ๊บก็เลยบอกผมว่า ให้นั่งคุยก่อน ผมก็ทำตัวไม่ถูกได้เเต่หัวเราะ......เเล้วก็บอกน้องเขาไปว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมารับไปทานข้าว น้องเขาก็ยิ้ม เเล้วจับมือผมไปจุ๊บหนึ่งที ผมก็อายนะครับทำไรไม่ถูก รีบวิ่งมาให้เร็วที่สุด........เพื่อนๆก็เเซวตลอด เเล้วก ็กลับไปประชุมต่อ ก็มีการร้องเพลง เเล้วก็เล่าประสบการณ์ให้พี่ๆอาสาฟังด้วยกัน จากนั้นก็เเยกย้ายกันไปนอน ก่อนนอนก็เเวะคุยกับพี่ๆอาสาผู้ใหญ่ ก็มีทั้งเสียงหัวเราะเเล้วก็รอยยิ้มพร้อมมิตรภาพ เเล้วก็เข้านอนเกือบตี 3 เลยครับ..........

ตื่นเช้ามาเป็นวันที่ 5 วันนี้ก็จะต้องส่งน้องๆขึ้นรถเดินทางกลับ เเต่ก็ต้องพาน้องๆไปทานข้าว ผมเองก็พยายามหลบหน้าน้องญาญ่า เเต่ก็ไม่เห็นจริงๆนะครับ จนในที่สุดเราก็อำลาน้องๆ โดยให้น้องๆเดินผ่านซุ้มธงที่พี่ๆถือไว้ น้องๆเกือบทุกคนถึงกับร้องไห้ เเน่นอนเเหละครับว่า พี่ๆอาสาก็เช่นเดียวกันถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยุ่ สักพักน้องญาญ่าก็เดินผ่านผมเเล้วก็หันมาทำหน้าบึ้งใส่ พร้อมกับพูดว่า "โกหก ไม่พามากินข้าว" ผมก็หัวเราะเเล้วน้องเขาก็เชิด...เเล้วก็สะบัดผม ให้ผมดู ผมก็ขำ ได้เเต่ยิ้มครับ เเล้วเราก็รีบวิ่งส่งน้องขึ้นรถโบกมืออำลา.......เห็นภาพรอยยิ้มที่เกิดขึ้น เเล้วก็คราบน้ำตาของการจากลา T_T

.................. ระหว่างการเดินทางกลับ ผมก็ได้เเต่คิดเสมอว่า ตกลง การมาค่ายในครั้งนี้ ผมเเทบจะไม่ได้ให้อะไรเเก่น้องๆเลย ผมเองต่างหากที่ได้เปลี่ยนมุมมองเเละเเง่คิดต่างๆ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดมาเเล้วมีเเขนขาครบทุกประการ ที่สำคัญมีพ่อ มีเเม่ที่อยู่ข้างๆผม ที่ผ่านมาผมอาจจะใช้เวลาที่มี จมอยู่กับความเศร้า ความเศร้าเหล่านั้นไม่ได้มีใครทำให้ผม เเต่เป็นเพราะว่า ผมสร้างมันขึ้นมาเอง สร้างมาจากการที่ผมตั้งความหวัง เเต่ทว่าหากความหวังนั้นผมไม่ได้มาดั่งที่วาดฝันไว้ มันก็ย่อมทำให้ผมเสียใจเป็นธรรมดา ต่อจากนี้ไป ผมต้องเข้มเเข็ง รักตัวเองให้มาก จะไม่ตั้งความหวังอะไรไว้ที่เขาคนนั้น.......? จะกลับมาเป็นผมคนเดิม คนที่เข้มเเข็ง คนที่มีเเต่รอยยิ้ม เเล้วคอยเติมเต็มให้กับคนอื่นอยู่เสมอ........................มันคงจะไม่ ผิดใช่ไหม หากผมจะบอกว่า ผมขอหยุดทุกสิ่งที่ผ่านมาเพียงเท่านี้ เอาเป็นว่าความทรงจำดีๆที่มีให้กันมันยังคงหลงเหลืออยู่ อยากให้คน คนนั้นที่ผมรัก จงเก็บรักษามันไว้ให้ดีเท่าที่คุณจะเก็บมันไว้ได้ เเต่ใจของผมมันคงไม่เหลือไปให้ใครอีกเเล้วน้องจากเขาคนนั้นเพียงคนเดียว เเม้วันนี้มันอาจจะจบ เเต่ผมก็จะยืนอยู่ตรงนี้ที่เดิม ที่จะคอยรักเเละเป็นห่วงใยเสมอ.......

........... รถขับออกไปเรื่อยๆ ผมได้เเต่นึกถึงคำพูดของป้าคนนั้นที่ว่า "ลูกเเทบจะไม่ได้ให้อะไรกับน้องๆเลย เเต่น้องๆจะเป็นผู้ให้เเก่ลูกเอง" เเละคำพูดของน้องที่ว่า "พี่โชคดีนะครับที่มองเห็น ตั้งเเต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นอะไรเลย" อีกทั้งรอยยิ้มของน้องๆในค่าย มันทำให้ผมยิ้มได้เเล้วกล้าที่จะสู้ต่อไป.............................