เรื่องราวแห่งความรัก ความผูกพัน และมิตรภาพ

อากาศเริ่มที่จะหนาวขึ้น สองข้างทางมืดมิด เต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมแบบหนาทึบ มีเพียงแสงไฟจากรถที่สวนทางไปมาระหว่างสองข้างทาง ในขณะที่ผมและเพื่อนๆได้เดินทางผ่านเข้าสู่จังหวัดชุมพร หลังเดินทางกลับจากเชียงใหม่ มุ่งตรงสู่มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยอันเป็นที่รักของผม หลังจากใช้ระยะเวลาในการเดินทางและอยู่บนรถถึง 6 วัน 6 คืน มันเป็นช่วงเวลาละความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน และในขณะเดียวกันมันทำให้ผมไก้ปรับเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติต่างเพิ่ม ขึ้น……………………………..
กริ้ง กริ้งๆๆๆๆ…..เสียงนาฬิกาปลุกดังซะให้วุ่น ส่งสัญญาณให้รู้ว่า เฮ้ย นายลิฟต์ ตื่นได้แล้ว เพราะรู้เป็นอย่างดีว่า วันนี้สำหรับผมนั้นค่อนข้างที่จะวุ่นๆ ถึงวุ่นวายมากมายเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการจัดกระเป๋าเดินทาง การรวบรวมงานชองเพื่อนๆเพื่อนำไปส่ง การประสานงานกับอาจารย์ ซึ่งตลอดทั้งวันพูดได้เลยว่า ผมรับสายอาจารย์ไม่ต่ำกว่า 20 สาย เล่นซะผมวุ่นเลยครับ รับซะจนอยากจะปิดเครื่อง อิอิ แต่ด้วยหน้าที่แล้วก็ได้แค่คิดนั้นแหละครับ จนในที่สุดเวลาที่พวกเรารอคอยก็เดินมาถึง 16.00 น. ในขณะที่หลายๆคนกำลังเดินทางเข้ามาในมหาวิทยาลัยเพื่อรอขึ้นรถ แต่ผมเองต้องมาคอยตั้งแต่เวลา 15.30 น. เพื่อรอจัดเตรียมความพร้อมให้เพื่อนๆและน้องๆ ซึ่งกว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เหรดไปถึง 17.00 น. หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อ…………


การเดินทางครั้งนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรเลย อาจเป็นเพราะเหนื่อยกับการเตรียมความพร้อมก่อนหน้านี้หรือกลัวที่จะต้องมา คอยดูแลเพื่อนๆหรือน้องๆ จนทำให้ผมไม่ได้มีโอกาสใช้เวลาให้คุ้มค่า แต่อย่างว่าแหละ มันก็แค่ความกลัวเท่านั้นแหละครับเพราะถึงยังไงก็ต้องยินดีเสมอเพราะเขา เหล่านั้นก็คือเพื่อนและก็น้องๆที่ผมรักนั้นเอง……ระหว่างอยู่บนรถเราก็ฟัง เพลงกันอย่างสนุกสนาน สลับกับการดูหนังไปบ้าง จนเริ่มที่รู้สึกหิว เราก็ได้แวะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารวังกุ้งทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช การแวะรับประทานอาหารที่นี้ผมก็สั่งไข่ดาวแล้วก็ผัดผักที่ร้านอาหารของ มุสลิม(เพราะผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นมุสลิม) มานั่งทานเปล่าๆ เพราะผมไม่ทานข้าวมานานมากแล้ว กินแต่ผัก กับพวกปลาแล้วก็ไก่เล็กน้อย อิอิ หลังจากทานเสร็จก็เดินแวะซื้อของฝากเพื่อนำไปฝากแม่……………


แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ จนผ่านเข้าสู่จังหวัดสุราษฏร์ธานีธานี แล้วก็ล่วงเข้าสู่จังหวัดชุมพร ผมโทรหาแม่อีกครั้งเพราะจะให้แม่ออกมาเอาของฝากที่ผมซื้อไว้ อีกอย่างหนึงแม่โทรมาหาผมก่อนหน้านี้แล้วก็บอกว่า “ ลูกเดี๋ยวพอถึงสี่แยกเขาปีบบอกคนขับรถให้จอดด้วยนะ แม่ซักเสื้อกันหนาวแล้วก็รีดเอาไว้แล้ว ไปเชียงใหม่มันหนาวเดี๋ยวลูกจะไม่สบายอีกเพราะเป็นภูมิแพ้อยู่ แล้วก็ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวแม่ใส่ยาไว้ให้แล้วนะ มียาแก้ภูมิแพ้ ยาแก้ไอ แล้วก็ยาพารา เอาเผื่อไปไว้เพราะตัวเองไม่สบายแน่นอน” พอแม่พูดเสร็จผมก็แทบจะร้องอีกครั้ง อาจเป็นเพราะผมขี้ร้องก็ได้มั้งครับ อิอิ แต่ทว่าตั้งแต่เด็กๆผมจำได้ว่า ไม่ว่าแม่จะไปไหนก็แล้วแต่ผมแทบจะตามไปด้วยทุกครั้ง ที่สำคัญผมจะไม่ปล่อยให้แม่ต้องทำงานหนักๆโดยเด็ดขาด เพราะแม่ผมร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง ไม่สบายบ่อย จึงทำให้ผมสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ อีกอย่างหลังจากที่พ่อกับแม่แยกทางกัน แม่อยู่ที่ชุมพรกับน้องสาว ส่วนพ่ออยู่ที่กระบี่ ผมก็ยิ่งเป็นห่วงแม่มากขึ้นไปอีก อีกทั้งตอนนี้ผมก็มาเรียนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณเกือบ 600 กม. ทำให้นานๆครั้งถึงจะได้มีโอกาสได้กลับบ้าน มันก็เลยทำให้ผมเป็นห่วงแม่มากๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักพ่อนะครับ เพราะผมเองก็รักพ่อมากๆๆๆ เพียงแต่อาจจะรู้ว่าพ่อเป็นคนที่เข้มแข็ง อีกอย่าง หากมีโอกาสได้เจอพ่อผมก็จะกอดพ่อแล้วก็หอมแก้มพ่อเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้จะอยู่มหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ผมก็ไม่อายหรือเขินที่จะกอด หอมแก้ม หรือบอกรักท่านทั้งสอง แม้กระทั้งต่อหน้าคนอื่นๆตอนที่ท่านมาส่งผมขึ้นรถก็ตาม เพียงแต่นี้ก็เป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว ที่ผมไม่มีโอกาสได้เจอพ่อเลย ได้ยินแต่เพียงเสียงทางโทรศัพท์………….
…………อี้ดๆๆๆๆ เสียงรถเบรก ในที่สุดก็มาถึงสี่แยกเขาปีบ ประมาณ 00.30 น. ซึ่งผมก็รีบหันไปมองข้างทาง เห็นแม่มานั่งคอยอยู่ ผมรีบวิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำเวลาให้มากที่สุดเข้าไปถึงก็เอาของฝากให้แม่ กอดแม่ แล้วน้ำตาก็เริ่มไหล บอกได้แค่เพียงว่า “ลูกรักแม่นะ ดูแลสุขภาพดีๆ อย่าทำงานให้หนักมากนัก ลูกไปแล้วนะครับ” แม่ก็น้ำตาซึมแล้วก็บอกว่า “เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลตัวเองด้วย แม่เป็นห่วงนะ” แล้วผมก็รีบวิ่งขึ้นรถต่อ เวลาเพียงไม่ถึง 15 วินาที ที่ได้พูดกับแม่มันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจ รู้สึกมีความสุข เพราะผมไม่ได้เจอแม่มาประมาณ สามเดือนกว่าๆแล้วล่ะ

รถก็ขับต่อไปเรื่อยๆ จนผมก็เผลอหลับไปในที่สุด อาจจะตื่นเป็นพักๆ เพราะแวะเข้าห้องน้ำ หรือเวลาหิวก็แวะทานอะไรกันที่ เซเว่น โดยเฉพาะไส้กรอกที่เป็นของชอบของผมมาก จนในที่สุดมารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งของเช้าวันที่ 13 เราก็มาอยู่ที่ ร้านอาหารพ่อเข่ง ที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อแวะล้างหน้าแปลงฟัน ตลอดจนทานอาหารเช้า…..เช่นเดิมครับ อาหารเช้าของผมในวันนี้คือ ไข่ดาว ผัดผัก แล้วก็มีปลาทูแถมมาด้วยเพรารู้สึกหิวๆ หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปครับ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยๆก็เลยหลับต่อไป จนผ่านพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ผมรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ถือว่าโชคดีเพราะได้นมัสการ พระปฐมเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ครั้งหนึ่งสมัยมัธยม ผมเคยได้เดินทางมากับเพื่อนๆ แล้วเราก็ได้เดินรอบเจดีย์ตลอดทำบุญกันเยอะมากๆ แม้ครั้งนี้ๆจะเป็นแค่ทางผ่าน แล้วก็เห็นเพียงลางๆ แต่ผมก็ดีใจมากพอแล้ว………….
รถก็ขับออกไปเรื่อยๆ จนมาถึงระหว่างทาง เพื่อนคนหนึ่งเกิดปวดท้องแบบกะทันหัน จึงต้องแวะเข้าห้องน้ำข้างทาง ซึ้งเจ้าของร้านก็น่ารักมากเลยครับ ใจดีมากๆ หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไป ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ เราก็แวะทานอาการที่ร้านอาหารคุณกุหลาบที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นร้านอาหารแล้วก็ร้านของฝากที่สวยงามมากๆๆ ทั้งในด้านความสะอาด ของฝากมีมากมาย ที่สำคัญหากมาที่นี้ผมขอแบนะนำว่า ควรจะแวะเข้าไปชมห้องน้ำเขาสักนิดนะครับ ผมว่าห้องน้ำเขาหรูมาก ยังกะห้องน้ำอัจฉริยะ มีทีวี ประตูห้องน้ำเปิดปิดอัตโนมัติ และอีกหลายๆอย่างที่เอามาดีไซด์อย่างลงตัว การแวะทานข้าวที่นี้พวกผมไม่ได้ทานข้าวหรอกครับ เพราะว่ามีเพื่อนกลุ่มผมหนึ่งคนที่เป็นมุสลิม เขาไม่สามารถทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ได้ เราจึงหาขนมแล้วก็อะไรเล็กๆน้อยๆ ทานเพื่อปะทัง ความหิว หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง ผ่านอีกหลายจังหวัดจนในที่สุดรถก็ได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือ นั้นก็คือจังหวัดกำแพงเพชร

ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ที่ได้มีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวในภาคเหนือหลังจากใฝ่ฝันมานาน จาก นั้นก็เข้าสู่จังหวัดอื่นๆ จนประมาณสามทุ่มกว่าๆเราก็เข้าสู่พื้นที่จังหวัดลำปาง เริ่มรู้สึกว่าอากาศค่อนข้างจะหนาวกว่าบ้านเรา เพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่หนาวมากก็ตาม แต่ผมว่ามันสบายๆดีนะ จากนั้นผมก็ลุกขึ้นจากที่นั่งลงมานั่งกับพี่คนขับรถ เพราะอยากดูเส้นทางว่าจะเป็นอย่างไร ก็สมใจอยากเลยครับ เพราะเส้นทางค่อนข้างน่ากลัวมากเลยทีเดียว เพื่อนๆผมร้องเพลงอย่างสนุกสนาน แต่ผมเนี้ยกลัวมากเพราะไม่คุ้นชินกับความเป็นเขาสูงแล้วก็ทางโค้งที่มาก จริงๆครับ หลังจากนั้นไม่นาน รถก็ได้ขับเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมันทำให้ผมเองรู้สึกตื่นๆเต้นมากเลยทีเดียวครับ
จากนั้นเราก็เข้าสู่ที่พักนั้นก็คือ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้วรีสอร์ท ก็ถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่ดีเลยทีเดียวครับ ไปถึงก็เจอรถสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากเลยครับ เกิดอาการสงสัยขึ้นมาทันทีเลยว่า เอ๊ะ…! หรือว่าจะมาสำภาษณ์ผม อิอิ ในที่สุดก็หันไปเห็นป้ายครับ จึงได้รู้ว่า มีการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงทำให้นักกีฬาเหล่านี้เขามาพักโรงแรมแห่งนี้…….. แอบยิ้มในใจ ว่าคืนนี้เราจะปีนไปหานักกีฬาดีกว่า อิอิ 5555

จากนั้นผมก็พาเพื่อนๆและน้องๆไปรออยู่ที่ชั้นต้อนรับของโรงแรม แล้วก็จัดการแจกกุญแจห้องนอนให้เพื่อนๆ แล้วก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก ผมเองก็ชั้น 5 ซึ่งอยู่ห้องใกล้ๆกับเพื่อนๆในกลุ่มแล้วก็น้องปี 1 ผมได้พักกับเพื่อนสนิท 1 คนครับ จากนั้นผมก็รีบอาบน้ำ เพราะรู้สึกเหนียวตัวกับการเดินทางมาประมาณ 27 ชม. ที่สำคัญน้ำก็ไม่ได้อาบกันเลยครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จเราก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรทาน ก็มีผม เจมส์ ลาน แจ๊ค กวาง มาร์ค ลุกหมู แล้วก็น้ำผึ้ง ในกลุ่มผมนั้นขาดไปหนึ่งคนนั้นก็คือแม๊ก ซึ่งเขาไม่สบายก็เลยนอนพักผ่อนในโรงแรม
เราเดินไปเล่นๆประมาณ 1.5 กม. ถือว่าไม่ไกลเลยครับเพราะอากาศค่อนข้างที่จะเย็น โดยเฉพาะหากมีลมพัดมากระทบเล็กน้อยก็จะรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที สถานที่ที่ผมจะไปเขาเรียกว่าตลาดช้างเผือก จะมีของกินยามดึกๆสำหรับนักท่องราตรี ผมจินตนาการณ์เห็นภาพเลยครับว่ามันต้องใหญ่แน่ๆ เพราะดูจากชื่อก็รู้แล้ว เราก็เดินไปเรื่อยๆถามทางเขาไปตลอด ระหว่างที่ถามหลายๆคนมันทำให้ผมรู้สึกประทับใจคนเชียงใหม่มากๆๆเลยครับ นอกจากการพุดจาที่สุภาพแล้วเขายังมีไมรตรีแล้วก็มนุษยสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือ ทุกครั้งที่จะข้ามถนน เราแทบไม่ต้องยืนคอยนานเลยครับ เพราะรถที่ขับมานั้นเขาจะหยุดแล้วก็ส่งสัญญาณให้เราข้ามถนน ผมบอกตรงๆเลยครับว่าผมประทับใจมาก ที่ได้เห็นแบบนี้ มันทำให้ผมชื่นชมคนเชียงใหม่แบบเหมารวมเลยครับ ว่าคนเชียงใหม่เป็นคนสุภาพ มีน้ำใจ ที่สำคัญมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากๆเลยครับ
หลังจากนั้นผมก็เดินไปถึงตลาดโต้รุ่งช้างเผือกเล่นเอาผมกับเพื่อนๆถึงกับ ยิ้มแล้วก็หันมาหัวเราะกันเลยครับ ก็เพราะว่ามันผิดจากที่เราจินตนาการไงครับ เพราะมันเล็กนิดเดียวครับ มีร้านค้าประมาณสิบกว่าร้านเองครับ พวกผมเลยขอตั้งชื่อตลาดแห่งนี้ว่า ตลาดกระจุกดาวลุกไก่ อิ อิ สมกับขนาดดีครับ หลังจากนั้นเราก็หาอะไรทานกันครับ ก็เป็นผัดไท แล้วก็ กุ้ยช่ายทอด แปลกๆดีครับ แต่อร่อย ที่สำคัญราคาถูกมากๆๆเลยครับ แตกต่างจากบ้านผมที่ค่อนข้างจะแพง จากนั้นเราก็เดินกลับที่พักครับ ประมาณตี 1 กว่าๆครับเราก็ซื้อของไปฝากเพื่อน แล้วก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย…..ตอนนี้ห้องผมมันมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง คนครับ หุหุ

***********************************


กริ้งๆๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอน 06.00 เป็นสัญญาณว่าต้องตื่นครับ เพราะทางโรงแรมเขาปลุกตามคำสั่งของอาจารย์ฐากร ครับ อิอิ ผมก็รีบอาบน้ำแล้วก็ลงไปทานข้าว วันนี้เราใส่เสื้อยืดสีขาวกันยกแก๊ง ครับ เพราะไปสั่งทำกันมาก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ เพื่อนๆหลายคนเห็นก็ยิ้มแล้วเข้ามาทักกันเลยทีเดียวครับ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็ต้องทำหน้าที่ต่อครับ นั้นก็คือการจัดเพื่อนๆและน้องๆขึ้นรถครับ เราจะนั่งรถสองแถวของเชียงใหม่เพื่อขึ้นไปชม ดอยปุย ดอยสุเทพ แล้วก็พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ หลังจากเสร็จสิ้นแล้วผมก็ขึ้นรถครับ โดยที่ผมยืนครับ เพราะที่นั่งเต็มอีกอย่างเพราะต้องการจะสัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่ครับ

การขับรถขึ้นไปยังดอยปุยนั้น ผมพูดตรงๆเลยครับว่าถ้าไม่ชำนาญเส้นทางจริงเสี่ยงมากครับ เพราะเส้นทางเป็นหุบเหวแล้วที่สำคัญโค้งเยอะมากครับ เล่นเอาซะผมแทบจะอ้วก แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจนั้นก็คือทัศนียภาพสวยงามมากเลยทีเดียวครับ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มครับที่ได้มา เพราะอากาศก็หนาวๆพอสมควรไม่มากเกินไป แล้วก็มีหมอกปกคลุมไปทั่ว ในที่สุดรถก็ไปถึงที่หมายแรก นั้นก็คือดอยปุย อย่างปลอดภัยครับ
มาถึงที่นี่ก็มีของขายเยอะมากๆๆครับ เป็นประเภทของฝาก แล้วก็สตรอเบอรี่ ที่ลุกโตๆน่าทานเลยทีเดียวครับ พวกเราไม่ซื้ออะไรก่อนครับ เป้าหมายคือรีบเดินขึ้นไปบนดอยด้านบนครับ ไปถึงด้านบนปุ๊บก็จัดการถ่ายรูปเลยครับ ทันใดนั้นสายตาก็หันไปเห็นครับ เป็นชุดชาวเขา ที่ร้านได้จัดมาให้เช่าราคาแค่ชุดละ 30 บาท ผมจึงตัดสินใจไปเช่าชุดมาใส่เพื่อถ่ายรูปกับเพื่อนๆครับ พอเปลี่ยนชุดเท่านั้นแหละครับ ก็ถูกเรียกไปถ่ายรูปซะเยอะมากเลยครับ เล่นเอาผมเวียนหัวเลยครับ ผมก็พยายามจะถ่ายรูปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เพราะถือว่าหลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาที่นี่อีกหรือป่าว…….. สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่น่าทำนั่นก็คือ การพ้นควันออกมาจากปากครับ ถือว่าเก๋ๆ แล้วก็สนุกมากเลยทีเดียวครับ หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้วพวกผมก็รีบลงจากดอยเพื่อหาซื้อของฝากกลับบ้านกัน ครับ ได้ดั่งใจเลยทีเดียวครับ ที่เดียวเท่านั้นแล้วก็เพิ่งจะที่แรก ทุกคนหมดเงินกับของฝากไปอย่างน้อยคนละ 1000 เป็นอย่างต่ำครับ อิอิ จากนั้นก็ลงมาขึ้นรถเดินทางต่อไปยัง พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ครับ

สถานที่แห่งนี้ก็ค่อนข้างจะสวยงามมากเลยทีเดียวครับ แต่เสียดายมีเวลาน้อยมาก จึงทำให้ผมเดินเที่ยวได้ไม่นานแต่ก็พยายามจะใช้เวลาให้คุ้มมากที่สุด ก็เดินถ่ายรูปไปตามจุดต่างๆ โดยจุดที่ผมประทับใจมากที่สุดนั้นก็คือ จุดอ่างเก็บน้ำ ซึ่งจะมีการแสดงน้ำพุเต้นระบำ สวยมากเลยทีเดียวครับ อากาศก็เย็นสบายมากๆๆครับ นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงเพลงเพราะๆเปิดให้ฟัง ผมก็พยายามหานะครับว่าเสียงเพลงนั้นดังมาจากไหน หาอยู่พักหนึ่งก็ไม่เจอก็เลยนั่งพัก ทันใดนั้นก็เจอต้นสียงครับ อยู่ที่เท้าผมนี่เองมันเป็นก้อนหินที่เขาสร้างขึ้นมาแล้วด้านในก็ใส่ลำโพง ไว้ จากนั้นเราก็ลงมาขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปจุดถัดไปครับ นั้นก็คือพระธาตุดอยสุเทพ……….

ณ ที่แห่งนี้ผมมีเวลาน้อยมากครับ เพราะรถของผมจะเป็นรถคันสุดท้าย มันทำให้เรามีเวลาน้อยที่สุด จึงต้องเร่งทำเวลา โดยการขึ้นลิฟต์ไปยังพระธาตุ แทนการเดินครับ นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันครับที่เคยขึ้นลิฟต์แบบนี้ บอกตามตรงเลยครับว่าผมกลัวมากๆๆ แทบจะไม่อยากจะหันกลับไปมองด้านหลังเลยครับ จากนั้นเราก็ขึ้นไปถึงพระธาตุ ก็ได้มีโอกาสขึ้นไปนมัสการ แล้วเดินเวียน 3 รอบเพื่อขอพร พรที่ผมขอนั้นมี 3 ข้อครับ
1.ขอให้พ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย น้องสาว ตัวผม รวมทั้งญาติๆ ตลอดจนคนที่ผมรัก แล้วคนที่รักผม จงมีตึความสุขความเจริญ ปลอดภัยจากศัตรูหมู่มารเป็นต้น
2.ขอให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต ได้ทำงานที่ดีๆ เป็นที่รักของคนอื่นๆ แล้วก็คิดหวังสิ่งใดสมปรารถนา
3.เป็นคำมั่นสัญญาที่ผมได้สัญญากับพระธาตุดอยสุเทพไว้ว่า ผมจะรักเขาเสมอแล้วจะรักจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากที่จะมีวันนั้นวันที่เรารักกัน แต่ผมก็จะซื่อสัตย์แล้วก็ภักดีในความรักที่มีให้เขา แม้ว่าวันนี้เขาอาจไม่เคยรับรู้ว่าผมรักเขามากก็ตาม….. T_T
ไม่อยากพูดถึงประเด็นนี้เลยครับ พุดกี่ครั้งก็อยากจะร้องไห้……..หลังจากนมัสการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินถ่ายรูปตามจุดต่างๆ แล้วก็ลงมาขึ้นรถ เดินทางไปยังร้านอาหาร พิษณุโลก ซึ่งเป็นร้านอาหารแบบบุพเฟ่ มื้อละ 69 บาทครับ มีอาหารให้เลือกมากมายครับ ผมว่าคุ้มมากเลยครับ ใครผ่านไปลองแวะทานดูนะครับ หลังจากทานอะไรเสร็จเราก็เดินทางต่อไปยัง ศูนย์ผลิตร่มบ่อสร้าง แล้วก็ต่อไปยังร้านขายเครื่องหนัง sk ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียวครับ จากนั้นก็กลับไปยังที่พักเพื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนที่จะลงมาขึ้นรถเพื่อนเดินทางไปทานอาหารเย็นครับ


การทานอาหารเย็นในวันนี้ ถือได้ว่า ผมได้เดินทางมาถึงเชียงใหม่แบบมากขึ้นทีเดียวครับ เพราะอาหารที่เราไปทานกันนั้นเป็นร้านอาหารสไตล์ล้านนา ที่ถือได้ว่าใครมาถึงเชียงใหม่หากไม่ได้ทาน ขันโตก ถือว่ามาไม่ถึงเลยทีเดียว สิ่งที่ผมประทับใจนั้นก็คือ ร้านที่เป็นเรือนไทยประดับตกแต่งอย่างวิจิตร มีการแสดงที่หาชมได้ยาก อาหารที่จัดเป็นแบบพื้นเมือง รวมทั้งการบริการที่ดี ซึ่งมื้อนี้ราคาแค่ คนละ 150 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆเลยครับ ซึมซับความเป็นล้านนาได้เต็มที่ทีเดียว ก็ขอแนะนำนะครับว่าหากใครได้ไปแอ่วเหนือขอให้ลองแวะไปดูนะครับ ที่คุ้ม 12 ปันนาขันโตก…………

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว อาจารย์ก็ให้รถพาพวกเราไปทิ้งที่ เชียงใหม่ไนท์พลาซ่า เพื่อเดินเที่ยวที่สำคัญคือซ้อบรรดาของฝากต่างๆจากเมืองเชียงใหม่ ผมแล้วก็เหล่าแก็งค์ 5 หนุ่มบอยแบนด์ พวกเราเดินเที่ยวกันอย่างสนุกสนานได้ของฝากมากมาย โดยเฉพาะเสื้อผ้า เป็นที่น่าสังเกตนะครับว่าที่เชียงใหม่ไนท์พลาซ่านี้ เขาจะไม่ติดป้ายราคากันครับ ทำให้พวกผมไม่ค่อยที่จะเข้าไปซื้อเพราะกลัวว่ามันจะแพง แต่พอถามไปก็ไม่แพงอย่างที่คิด ผมคิดว่าเขาคงจะใช้วิธีนี้เพื่อขายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในราคาที่แตก ต่างจากคนไทย มั้งครับ เลยไม่เขียนราคาติดไว้ เพราะฉะนั้นหากใครไปอย่าลืมไปถามราคาดูนะครับ เดี๋ยวจะพลาดโอกาสดีๆไปนะครับ
หลังจากช็อปเสร็จแล้วเราก็กลับโรงแรมกันครับ ก็เหมารถสองแถวกลับกันครับ โดยมีสองสาวเข้ามาเพิ่ม นั้นคือไฟว์กับบิ๋มเพราะมัวแต่เดินอ้อร้ออยู่ อิอิ เพื่อนๆในกลุ่มก็เลยทิ้งซะครับ เมื่อมาถึงห้องก็จัดแจกอาบน้ำแล้วก็รีดผ้า 5 ตัวครับ ไม่ใช่ของผมทั้งหมดหรอกครับ แต่เป็นของคุณเพื่อนสุดที่รักทั้ง 5 เพราะมันเป็นหน้าที่ของผมซะแล้วครับ หากเราเดินทางไปด้วยกัน รีดไปเรื่อยๆก็เริ่มที่จะง่วงแล้วครับ เพราะมัน เกือบตีสองแล้ว คืน นี้เราพักกันสามคนเหมือนเดิมครับ เป็นอีกหนึ่งคืนที่ฝังลึกในความทรงจำของผม ที่ไม่มีวันที่จะลืม ผมนอนมองแล้วก็อมยิ้มอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหลับตาแล้วก็หลับไปในที่สุด

ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแล้วก็ยิ้มไปเรื่อยๆ อิอิ อย่าคิดว่าผมบ้านะครับ แต่มันมีความสุขจริงๆ จากนั้นก็ลงมาทานข้าวครับ วันนี้ผมแต่งกายด้วยชุดชาวเหนือเลยครับ เพราะซื้อเอาไว้เมื่อคืน ชอบมากๆๆเลยครับ ดูแล้วเรียบๆง่ายๆดีครับ ที่สำคัญใส่แล้วสบายตัวด้วย ก่อนขึ้นรถก็ถ่ายรูปกันครับ เพราะบรรยากาศในโรงแรมสบายมากเลยครับ เสร็จแล้วก็ขึ้นรถ เดินทางไปยังจังหวัดสุโขทัยต่อครับ ระหว่างทางก็แวะหาห้องน้ำกันอีกครับ เพราะเพื่อนในรถสองคน นั้นคือผักกาด กับ นู๋ใหม่ เขาปวดฉี่จึงต้องหาห้องน้ำแบบฉุกเฉิน แต่ทว่าน่าสงสารจริงๆครับเพราะห้องน้ำก็ช่างอยู่ไกลเหลือเกิน พอถึงปุ๊บรถเปิด ทั้งสองก็รีบพุ่งตัวออกจากรถเลยทีเดียวครับ ระหว่างเดินทางก็หลับไปบ้างอะไรบ้างครับ………..

ประมาณบ่ายสามครับ เราก็เดินทางมาถึงจังหวัดสุโขทัย พอเริ่มเข้าสู่แหล่งโบราณสถานก็เริ่มรู้สึกถึงความขลังขึ้นทันทีเลยครับ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอ่ะครับ ใครที่เคยแวะไปก็จะรู้สึกเหมือนกับผมเลยครับ เราไปถึงก็ไปแวะที่อาคารสำนักงานครับ ทางวิทยากรท่านก็บรรยายให้ฟังถึงทำเลที่ตั้งตลอดจนภูมิประเทศโดยรอบสุโขทัย จากนั้นเราก็แวะไปยังวัดศรีชุมครับ ซึ่งผมพูดตรงๆว่าผมชอบวัดนี้มากเลยครับ อาจเป็นเพราะตำนานพระพูดได้มั้งครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า
"วัดศรีชุม" คำว่า "ศรี" มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า "สะหลี" ซึ่งหมายถึง ต้นโพธิ์ ดังนั้นชื่อ ศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นั้นว่า "ฤๅษีชุม" วัดศรีชุมนั้น สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ว่า "เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้...............มีพระอจนะ มีปราสาท" พระประธานในมณฑปจึงมีชื่อว่า "พระอจนะ" ในสมัยอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองแครง ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง ( สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการของพระองค์ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง และได้มีการมาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมืองเชลียง และด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบไม่อยากรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหาร โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ และพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้ที่วัดศรีชุมแห่งนี้ และพระนเรศวรยังได้มีการทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นที่วัดแห่งนี้ด้วย
นี้อาจจะเป็นตำนานที่สะท้อนให้เห็นว่า อย่างไรแล้วก็ตามสังคมของไทยนั้นไม่สามารถแยกออกจากพระพุทธศาสนาได้ จึงทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในดินแดนเหล่านี้ทุกยุคทุกสมัย หลังจากอิ่มเอมในมนต์ขลังของวัดนี้แล้ว เราก็นั่งรถต่อเพื่อไปขึ้นรถรางครับ ระหว่างนั่งบนรถรางเจ้าหน้าที่ก็บรรยายไปเรื่อยๆครับ พอขับไปได้สักพักรถก็เกิดดับขึ้นมา ทุกคนก็ งง ตามๆกันครับว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยทราบว่าน้ำมันหมด อิอิ มีงี้ด้วย พวกผมแล้วก็เพื่อนๆก็เลยถือโอกาสในการแวะถ่ายรูปกันตามสบายเลยครับ ประมาณยี่สิบนาที เจ้าหน้าที่ก็เอาน้ำมันมาเติมครับ รถก็แล่นออกไปได้ตามปกติ หลังจากเวียนครบแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป ก่อนเดินทางกลับ เราก็แวะถ่ายรูปให้คุ้มกับการเดินทางมายังยุคสุโขทัย ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์รุ่นแรกๆของไทย



เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อไปยัง จังหวัดพระนครศรีอยุทธยาครับ ระหว่างทางก็หิวมากๆๆๆครับ อาจารย์บอกว่าเราจะไปแวะทานข้าวที่นครสวรรค์ พอไปถึงร้านก็ดันปิดซะอีก พวกผมก็หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้ทานจนได้ครับ ทานเสร็จก็ขึ้นรถเดินทางต่อครับ นานมากกว่าจะถึงที่พักใน อยุทธยา สักประมาณเที่ยงคืนได้ครับ เราก็ถึงที่พัก ก็จัดการแบ่งห้องแล้วก็ไปนอนกันหลังจากเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน แต่ผมก็ยังแวะออกไปหาอะไรกินที่เซเว่นครับ เพราะมันหิว อิอิ จากนั้นก็ขึ้นมานอนครับ คืนนี้ผมนอนกับเจ้าลานน้อยครับ………
ตื่นเช้ามาก็ทำภารกิจเช่นเดิมครับ คือรีดผ้าให้คุณเพื่อน จากนั้นก็เก็บกระเป๋าเดินทางต่อ อิอิ เสียดายมากเลยครับ ได้นอนไม่คุ้มเลย อิอิ แม้โรงแรมจะดูเก่าแต่ก็โอเคนะครับ ลองแวะไปดูนะครับ ที่อยุทธยาริเวอร์ไซค์ ทานข้าวอะไรเสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อไปยัง โบราณสถานจังหวัดพระนครศรีอยุทธยาครับ การเดินทางไปในครั้งนี้ เราได้เดินทางไปยังวัดพระศรีสรรเพชร ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สำคัญของพระนครศรีอยุทธยา ภาพแรกที่ผมเห็นคือ ภาพความชำรุดทรุดโทรมแล้วก็ร่องรอย ของความเสียหายอย่างมาก จำได้ว่าตอนประถม คุณครูเคยให้ท่องบทกลอนบทหนึ่งซึ่งมีใจความที่สลดใจมากเลยครับ เท่าที่จำได้นะครับประมาณว่า “ครั้งหนึ่งทัพพม่ามาตี กรุงศรีอยุทธยาแตกพ่าย พม่าเผาวัดวอดวาย ทำลายโบราณสถาน โบสถ์เคยสวยสดงดงาม เหมือนความเป็นไทยไม่มี……..” อะไรประมาณนี้ แต่รู้แค่เพียงว่าเห็นภาพแล้วมันหดหู่ใจจริงๆนะครับ แต่อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่นั้นแหละครับว่าเหตุผลที่กรุงศรีอยุทธยาแตกนั้น จะโทษว่าเป็นความผิดของพม่าไม่ได้ เพราะอันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะคนไทยขาดซึ่งความสามัคคี จึงไม่สามารถที่จะปกปักรักษาประเทศนี้ได้ อย่างที่เขาบอกว่า ประวิติศาสตร์นั้นจะเป็นตัวบ่งบอกความเป็นอยู่ในสังคม ซึ่งในเมื่อมีประวัติศาสตร์ให้เห็นแล้ว ผมเองก็ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นเกิดขึ้นในสังคม ฟังไปเรื่อยๆก็เริ่มที่จะอินแล้วก็มีอารมร่วมนะครับ อยากจะเหมารถไปตีพม่าซะประมาณนั้น อิอิ แต่ก็ได้แค่คิดแหละครับ เพราะปัจจุบันพม่าก็เป็นเสมือนบ้านพี่เมืองน้องของเรา ที่สำคัญจะเปิดประชาคมอาเซียนกันแล้วก็ดีๆกันไว้เนี้ยแหละครับ อบอุ่นดี 555
เดินชมความเป็นโบราณสถานไปเรื่อยก็เหลือบไปเห็นวัตถุโบราณชนิดหนึ่ง สงสัยจะเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ครับ ก็เลยเข้าไปดูอย่างสนใจจึงได้ขอสันนิฐานว่า น่าจะไปเครื่องดื่มในสมัยนั้นซึ่งสร้างโดย เจ้าพระยาอิชิตัน ซึ่งบนวัตถุได้บ่งบอกหลักฐานไว้ อิอิ เห็นแล้วเซ็งครับ ทำไมคนเราถึงมักง่ายกันจังเลยรับ รู้ทั้งรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งโบราณ ที่ควรดูแลรักษา แค่ขยะในมือยังทิ้งเกลื่อนกลาด น่าจับแล้วก็ตัดมือทิ้งเหมือนกฎหมายต่างประเทศจริงๆ…หุหุ

พอเที่ยงเราก็เดินทางต่อไปยังวัดไชยวัฒนาราม วัดนี้สวยมากเลยครับ ดูมีมนต์เสน่ห์ดีครับคล้ายๆกับยุคสุโขทัยเลยทีเดียว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาครับ ก็แวะกันถ่ายรูปอย่างน่าประทับใจครับ ก่อนที่รถจะพาเราไปยังวัดหน้าพระเมรุครับ เพื่อไปชมความงามของวัดอีกทั้งแวะรับประทานอาหารกลางวันครับ เสร็จแล้วก็เดินทางกลับมุ่งหน้าสู่จังหวัดสงขลา แต่ทว่าผมเองถูกรบเร้าจากเพื่อนๆแล้วก็น้องๆในการให้เป็นตัวแทนไปคุยกับ อาจารย์ว่า อยากจะแวะตลาดน้ำอัมพวา ผมก็เข้าไปคุยครับ แล้วอาจารย์ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ แหม่พวกเธอนิหน๊า จะเอากันให้คุ้มเลยเชียว น่าเขกหัวจริงหัวหน้าเนี้ย เออๆๆ ตามนั้นแวะก็แวะ” ผมอมยิ้มแล้วก็เดินออกมาด้วยความดีใจ แล้วก็แจ้งข่าวดีให้กับเพื่อน

ก็เดินทางไปถึงอัมพวาประมาณ สี่โมงกว่าๆครับ เรามีเวลาประมาณชั่วโมงครึ่งในการเดินเที่ยว พอลงรถปุ๊บก็รีบแยกย้ายกันเลยครับ กลุ่มผมก็เหมือนเดิมครับ 5 คนครบตามจำนวน มีฟอง แล้วก็อาจารย์อัศศิริ เพิ่มมา 2 คนครับ เราเดินเล่นๆพุดคุยไปอย่างสนุกสนานแวะถ่ายรูปแล้วก็ซื้อของฝาก ก่อนที่จะแวะมานั่งทานอาหารด้วยกันครับ มื้อนี้อิ่มแต่เงินอยู่ครบครับ เพราะอาจารย์อัศศิริ เป็นเจ้ามือครับ มากับอาจารย์ครั้งนี้อาจารย์เป็นกันเองมากเลยครับ สนุกแล้วก็หัวเราะด้วยกันตลอด ส่วนอาจารย์ฐากรณ์ แล้วก็อาจารย์อดิศร ทั้งสองท่านนั้นแวะลงที่ กทม. เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ได้มาสนุกกันกับพวกผม อิอิ หลังจากทานอะไรเสร็จแล้วก็รีบขึ้นรถครับแล้วก็เดินทางกลับ

การเดินทางกลับในครั้งนี้ผมไม่ได้นั่งบนที่นั่งหรอกครับ เพียงแต่อยากไปนั่งที่บันใด เพราะอยากเห็นบรรยากาศยามค่ำคืนรอบตัว ระหว่างทางก็แวะ ร้านพ่อเข่งขนมหม้อแกงครับ เพื่อซื้อของฝากกัน หลังจากนั้นก็ขับมาเรื่อยๆ จนมีเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่นายพีท แล้วก็สาวครับ ทั้งสองปวดฉี่มาก แต่ทว่าบริเวณนี้ไม่มีห้องน้ำเลยครับ เพราะมันปิดหมดแล้ว จึงต้องทนเกือบชั่วโมงได้ครับ เห็นหน้านายพีทตอนปวดฉี่แล้วก็อดขำไม่ได้ครับ น่าสงสารจริง จนในที่สุดก็มาแวะที่ปั้ม ก่อนเข้าสู่เขตจังหวัดชุมพรนิดหนึ่งครับ
จนเข้าสู่จังหวัดชุมพรครับ ผมเห็นปุ๊บก็ตกใจมากเลยครับ เพราะมีหมอกหนาแน่นมาก มากกว่าเชียงใหม่ซะอีก จนคนขับรถหันมาบอกกับผมว่า ขับยากจังน้องหมอกเยอะจริงๆ ผมก็เริ่มกลัวครับ ในขณะที่เพื่อนๆหลายคนหลับเป็นตายเลยครับ เพราะมันมองไม่เห็นทางเลยครับ ประมาณว่าหมอกหนามากๆ แต่ก็พยายามชวนพี่คนรถคุย เพราะแกบอกกับผมว่าวันนี้ทั้งวันแล้วไม่ได้นอนเลย ผมก็เริ่มกลัวครับ กลัวแกจะกลับ จนกระทั่งรถมาถึง ร้านอาหารคุณสาหร่าย ซึ่งถือว่าเป็นจุดจอดรถที่ใหญ่มากทีเดียวครับ พี่คนขับก็ลงไปล้างหน้าล้างตา ผมก็ลงไปหาอะไรกินครับ เพราะหิวอีกแล้ว อิอิ เสร็จแล้วก็รีบขึ้นรถต่อครับ แล้วก็โทรหาแม่ครับ ให้ออกมาเอาของฝาก ซึ่งในขณะนั้นรู้ไหมครับ ว่าผมอยากจะแวะลงที่บ้านมากๆๆเลยครับ เพราะอยากนอนกับแม่สักอาทิตย์ แต่ก็ไม่กล้าครับ เพราะเป็นห่วงเพื่อนๆมาก จึงทำได้แค่เพียงแวะเอาของฝากให้แม่ ที่ผมตั้งใจซื้อมาจากเชียงใหม่ แล้วก็สถานที่อื่นๆ ที่ได้แวะเที่ยวครับ ก็เหมือนเดิมครับ วิ่งลงไปกอดแม่ หอมแก้ แล้วน้ำตาก็ไหล แม่บอกว่าตั้งใจเรียนนะ แล้วก็ปีใหม่นี้กลับบ้านนะแม่คิดถึง ผมก็พูดอะไรไม่ออกครับ กอดแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะกอดได้ ก่อนจะปล่อยแม่ถามว่า แล้วเพื่อนๆล่ะ ผมก็บอกไปว่าหลับหมดแล้วครับ แม่บอกว่าแม่อยากเจอ ผมก็น้อยใจเพื่อนอีกนิดหนึ่งครับ ตามประสาคนขี้น้อยใจ ว่าอุตส่าชวนแล้วนะเนี้ย แต่เขาคงไม่ไหวจริงๆ หุหุ
ขึ้นรถปุ๊บก็บันทึกการเดินทางชิ้นนี้ต่อ แล้วก็พูดคุยกับนายหัวไปเรื่อยๆ นายหัวก็ไม่รู้ไปคึกมาจากไหนครับ ชวนผมคุยเยอะมากเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องแฟน ไม่รู้นึกไรอยู่ดีๆแกก็ถามว่า เองมีเมียยังว่ะ ผมก็นั่งยิ้มแล้วก็ขำในใจ จึงตอบไปว่า ยังครับ อยากเรียนให้จบก่อน แล้วแกก็เล่าเรื่องของแกให้ฟังว่าแกมีเมียมาแล้ว 6 คน สวยๆทั้งนั้น แล้วก็หันมาบอกผมว่าเวลาจะจีบสาวน่ะต้องจีบแบบนี้อะไรประมาณนั้น แล้วยังสอนอีกว่าจะดูอย่างไรว่าเขายังซิงอยู่ โอ้ยๆๆๆ ต่างๆนานา ผมก็นั่งขำอยู่ในใจ อยากจะตอบไปว่า “อ่า…เอ่อ พี่ครับ …. อืม คือว่า………” เฮ้อๆๆ ไม่พุดดีกว่า อิอิ
หลังจากหัวเราะได้ไม่นาน ก็กลับมาคิดเล่นๆว่า การเดินทางในครั้งนี้คุ้มค่ามากเลยครับ 3,300 บาท แรกกับความรู้ประสบการณ์ ความทุกข์ แล้วก็ความสุข ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน หากมีโอกาสราก็ควรจะใฝ่คว้ามันไว้……ความหนาวจากสองข้างทาง บวกกับความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้ากับการเดินทาง ในที่สุดผมก็เผลอหลับไป พร้อมกับบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อันจะเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำของผม “เรื่องราวแห่งความรัก ความผูกพัน และมิตรภาพ”