ค่ายต้นกล้าศิลปะ



.
ความรู้สึกที่มีต่อ ป่าต้นน้ำ

สำหรับหนูแล้ว ความสำคัญ ของคำว่า .....”ป่าต้นน้ำ”
สำหรับหนูป่าต้นน้ำมีความสำคัญมากต่อวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์เราในแต่ละวันซึ่ง “น้ำ” นั้นมีความสำคัญและประโยชน์มากกับเรา เช่น เราจะกินอาหารสักมื้อหนึ่งถ้าไม่มีน้ำ เราก็ประกอบอาหารกินไม่ได้ ดังนั้นเราต้องพึ่งพาน้ำแล้ว ส่วน “ป่าไม้” นั้น ทุกครั้งที่เราหายใจเข้านั่นแหละแสดงว่าเราได้รับลมหายใจที่คลายออกจากต้นไม้แล้ว และเมื่อเราหายใจออก ต้นไม้ก็จะรับลมหายใจออกของเรา เข้าสู่ต้นไม้ ซึ่งก็จะทำให้เรากับต้นไม้นั้นอยู่รอด เพราะเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราจึงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
ในเมื่อเรารู้ถึง คุณค่า เวลา ประโยชน์ ความสำคัญอันล้ำค่าของคำว่า “ป่าต้นน้ำ” นี้แล้ว เราจะมัวรออะไรอยู่คะ เรามาร่วมมือกันอนุรักษ์ “ป่าต้นน้ำ” กันเถอะ ที่แสนจะงดงามแล้ว ยังจะช่วยค้ำจุนให้เราได้มีชีวิตต่อไป ได้เป็นวันๆ มาร่วมกันต่อต้านร่วมด้วยช่วยกันมาค่อยๆเปลี่ยนมุมมองของคนที่พยายามที่จะคอยแต่ทำลายป่าต้นน้ำ ของเราให้หมดไปเรื่อยๆให้มามีมุมมอง มุมคิด เหมือนเราหลายๆคนด้วยเถิดเมื่อเรารักใครสักคนหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วใครคนนั้นก็ย่อมส่งมอบความรักกลับมาให้เรา เหมือนกับต้นไม้กับเรา เมื่อเรารักต้นไม้ ต้นไม้ก็จะรักเรา แต่เมื่อใดที่เราคิดจะทำลายต้นไม้ เมื่อนั้นแหละต้นไม้ก็จะทำลายเราเหมือนกัน......ความสำคัญของ”ป่าต้นน้ำ”ถ้าจะให้บรรยายไม่มีวันหมด


ความรู้สึกหลังค่ายต้นกล้าศิลปะ
สำหรับความรู้ มุมมองมุมคิด และความประทับใจหลังค่ายป่าต้นน้ำ ในนานมานี้วันที่ ๑๖-๑๘ ธันวาคม สำหรับข้าพเจ้าแล้วความรู้ที่ฉันได้รับจากค่ายนี้คือการได้วาดรูป ไม่ว่าจะเป็นทั้งการวาดภาพด้วยดินสอ EE และการวาดภาพโดยใช้สีน้ำครูเป้ได้ให้ความรู้มากมาย และมีคำพูดคำพูดหนึ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุด ครูเป้พูดว่า เราทุกคนมีความหมาย คำพูดคำพูดนี้ อาจดูไม่สำคัญกับใครหลายๆคน แต่กับใครอีกหลายคนที่เห็นความสำคัญกับคำพูดนี้ และข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะตลอดมาหนูมีความคิดเสมอว่า หนูเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่มีความหมายเลย แต่หลังจากที่ได้เข้าค่ายป่าต้นน้ำ มันทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่า ถึงแม้ฉันจะไม่มีความหมาย ในสายตาของคนหลายๆคน แต่ฉันก็มีพ่อแม่ ทุกคนในครอบครัว และสำคัญมากที่สุด คอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ไม่ว่าจะทุก จะสุข จะยากอย่างไร พวกเธอก็ไม่เคยทิ้งฉัน ก็เหมือนนิทานที่ครูเป้ได้เล่า ให้กับพวกเราทุกคน คือเรื่องดอกไม้ไร้ชื่อ มีอยู่ว่า เจ้าดอกไม้นี้ มีความงามมากที่สุดในป่าใหญ่แห่งนี้ และมีดอกเดียวในผืนป่าแห่งนี้ด้วยไม่ว่าใครก็อย่ามาอุ้มมาหอม เพราะนอกจากจะสวยงาม ประจับตาแล้ว ยังมีกลิ่นที่ชวนให้มาหาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในป่าใหญ่แห่งนี้ก็มารุมหาเจ้าดอกไม้นี้ทุกๆวัน เจ้าดอกไม้มีความรู้ไม่มากเพราะเจ้าดอกไม้ไม่มีเพื่อน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่ดีมากๆ เขาก็คือหยดน้ำค้างที่หยดมาจากบนอากาศหยดน้ำนี้อยู่บนอากาศ เขามีความรู้มากมาก และเขาก็มาหาเจ้าดอกไม้ทุกๆเช้า ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น มาส่องแสงสว่าง ให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่ดำรงอยู่ในผืนแผ่นดินแห่งงนี้ เขาก็มีความรู้มากมายมาเล่าให้เจ้าดอกไม้ฟัง ดังนั้นเจ้าดอกไม้จึงมีความรู้ มากด้วยเช่นกันที่เจ้าผีเสื้อ ชอบมาหาเจ้าดอกไม้ และสรรพสิ่งอื่นๆ ที่ชอบมาหาเจ้าดอกไม้ทุกวัน เนื่องจากมาชื่นชมในความงดงาม แบบที่ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้แล้ว และเขาก็ไม่ได้มาเพื่อดูดดมเกสร อันหอมหวานของเจ้าดอกไม้เลย แต่พวกเขามาหาเจ้าดอกไม้ เพื่อที่จะมาฟังเจ้าดอกไม้เล่าเรื่องต่างๆ ให้กับพวกเขาได้ฟังกัน แต่มาวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่คาดคิดคาดฝัน น้ำท่วมในผืนป่าแห่งนี้อย่างรวดเร็ว ในพริบตาจนในที่สุดป่าแห่งนี้ก็มืดไปหมด มีแต่น้ำพวกสรรพสัตว์สิ่งทั้งหลาย ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอด โดยไม่สนใจเจ้าดอกไม้ เจ้านกก็บินหนีไป ผีเสื้อก็พากันบินหนีไปหมด เหลือแต่เจ้าดอกไม้ ที่ต้องจมอยู่ใต้น้ำแห่งนี้ ไม่มีใครจะมาหาอีกเลย แต่เจ้าดอกไม้ ก็ยังเหลือหยดน้ำค้าง ที่เป็นเพื่อนที่ดีของเจ้าดอกไม้ที่ไม้เคยทิ้งเจ้าดอกไม้ไปเลยไม่ว่าจะเจอปัญหานานาผีเสื้อก็พากันบินหนีจนมาเจอกับดอกไม้ดอกไม้หนึ่งซึ่งเป็นดอกไม้ธรรมดาทั่วทั่วไปเจ้าผีเสื้อก็ได้ไปสูดหอมดอกไม้นั้นและแล้วเจ้าผีเสื้อก้รู้สึกว่าเจ้าดอกไม้ดอกนี้ไม่สวยงามไม่หอมชดชื่นเมื่อกับดอกไม่ที่อยู่ในผืนดินป่าใหญ่ผีเสื้อเอ่ยขึ้นมาว่าเจ้าดอกไม้นี้ไม่หอมหวานเหมือนดอกไม้เพื่อนฉันเลยแล้วเจ้าดอกไม้นั้นก็ถามผีเสื้อว่าเจ้าชื่ออะไรเจ้าผีเสื้อก็บอกว่าฉันชื่อผีเสื้อแล้วเธอล่ะฉันชื่อดอกเข็มแล้วดอกไม้เพื่อนของเจ้าล่ะเขาชื่ออะไรหรอพอดอกไม้ถามถึงเรื่องดอกไม้สวยงามหวานแล้วเจ้าผีเสื้อก็คิดได้ว่า เออ เขาชื่ออะไรล่ะ สำหรับฉันฟังนิทานจบแล้วรู้สึกโศกเศ้าใจเหลือเกินทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปสำหรับฉันทำให้คิดได้ว่าถึงแม้ฉันจะไม่ได้งดงามไม่หอมหวานไม่ชดชื่นเหมือนเจ้าไม้ไพรไม่ได้มีความรู้มากมายแต่ฉันก็มีอยู่อย่างเดียวคือเวลาที่ฉันล้มหรือพบเจออุปสรรค์ฉันก็ยังมีพ่อแม่เพื่อนของฉันที่ค่อยช่วยเหลือพยุงฉันให้ลุกขึ้นมายืนตรงได้และคุณครูที่ฉันนับถือมากที่สุดคือ ครูยุทธภูมิ สุปราการ คุณครูท่านนี้ฉันได้ ยกให้เป็นคุณครูดีในดวงใจ ของหนูเลยค่ะเพราะคุณครูท่านนี้ให้ได้มากกว่าแค่คำว่าครูทุกครั้งที่หนูได้มาฟังคุณครูพูดกับพวกหนูมันทำให้หนูได้มองเห็นอนาคตข้างหน้าเลยค่ะแต่กลับกันกับฉันที่มองอนาคตของตัวเองที่มองไม่เห็นอะไรเลย และมันทำให้หนูเกิดความรู้สึกที่คุณครูเคยบอกหนูว่ายิ่งรู้มากก็กลัวมากเหมือนกับการที่เราว่ายน้ำอยู่ใต้น้ำเราต้องหลลับตาเสมอเหตุที่ต้องหลับตานั้นเพราะมีสิ่งสกปกอยู่มากมายหากเราลืมตาขึ้นเราอาจจะเจอมันที่อาจทำร้ายเราได้แต่เราก็พยายามลืมตาแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาใต้น้ำจนในที่สุดเราลืมตาใต้น้ำต้องอดทนกับสิ่งสกปรกที่กำลังจะเข้าตาเพื่อจะมองเห็นกับแสงสว่างที่อยู่บนผิวน้ำและปลายทางที่เราจะก้าวไปเพื่อที่จะพบเจอกับแสงสว่างและปลายทางที่แท้จริงปลายทางนั้นคือความสำเร็จในชีวิตนั้นเองแสงสว่างคือพลังงานในตนเองพลังงานสำหรับฉันมันคือสิ่งที่จะสามารถทำให้เรากล้าเดินเผชิญหน้ากับอุปสรรค์และความมืดมิดที่จะมาเยี่ยมเราในเวลาไหนก็ไม่รู้เมื่อพลังหรืแสงสว่างในตัวเราดับไปความมืดมิดก็ได้มาเยือนเราอย่างรวดเร็วสำหรับมุมมองของฉันน่าจะเป็นอย่างนี้ค่ะเราต้องมีความกระตือรือร้นในการดำรงชีวิตอยู่ให้มากว่านี้ฉันอาจเป็นคนคนหนึ่งที่อาจมีความหมายกับเขาไม่มากก็น้อยในสายตาของพวกเขาค่ะใช้เทคนิคการวาดภาพ