ค่ายต้นกล้าศิลปะ



ความรู้สึกที่มีต่อป่าต้นน้ำ“ป่าต้นน้ำ ..บ้านเรา”

ในทัศนคติของคำว่าป่าต้นน้ำของดิฉันนั้นตีความหมายออกไปได้หลายอย่าง ทั้งความเป็นอยู่ของผู้คนทางตอนต้นของจังหวัด สภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่ารวมไปจนถึงสายน้ำที่ได้หล่อหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และได้ชื่อว่าป่าต้นน้ำในจังหวัดน่านของเราแต่ก่อนนั้นพื้นที่ป่ามีอยู่ร้อยละประมาณ ๔๐ ของพื้นที่ประเทศ แต่น่าสลดใจยิ่งนัก ก็ตอนนี้ทางกรมป่าไม้ได้ประกาศว่าพื้นที่ป่าของจังหวัดน่านได้เหลือเพียงร้อยละ ๒๐ เท่านั้น ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเอง...ต้นไม้หายไปไหน...ป่าไม้ที่ได้อุดมสมบูรณ์ได้ผลิตกระแสน้ำที่เป็นสายหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ ได้เริ่มลดน้อยลง...เพราะอะไรล่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะมนุษย์เราหรอ อาจเป็นมาจากนายทุนได้มาเข้าพื้นที่ของจังหวัดเราแล้วก็ได้สร้างอะไรๆมากมาย ทั้งการสร้างกระแสให้เกษตรกรที่มีรายได้ไม่มากนักได้เกิดรายได้ที่ดีขึ้น มันจึงทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่ามากขึ้น ตัดต้นไม้มากขึ้น หยดน้ำ สายน้ำที่เคยเป็นลำธารเล็กๆก็ได้เหือดหายลงไป เหลือแต่ริองลึกที่มีแต่เศษหิน ซากสัตว์ให้ดูแค่นั้นเอง แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่า “อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?” อาจเกิดหายนะก็ได้ น้ำอาจจะแล้ง จะท่วม จะเป็นอย่างไรในภายภาคหน้า ซึ่งในตอนนี้ธรรมชาติก็ทำให้เห็นแล้วว่า “เกิดปัญหาอะไรบ้างที่เกิดขึ้น” มองได้ชัดเจนในรอบตัวเราก็เข้าใจแล้ว!!!!!!

ดังนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไรเราค่อยว่ากันอีกที แต่!!!ในวันนี้เราจะต้องร่วมมือกันรักษาผืนป่า รักษาผืนน้ำเอาไว้ อย่าให้ใครมาทำลาย ให้เราอยู่แบบวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ต้องหรูหราหรือโอเวอร์จนเกินไป


“พอใจในสิ่งที่ตนมี พอดีในสิ่งที่ตนได้”
..........ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมกัน รักษ์น้ำ รักษ์ป่า รักชีวิตเรา..........



ความรู้สึกหลังค่ายต้นกล้าศิลปะ

หลังจากที่ได้กลับมาจากค่ายต้นกล้าศิลปะ เมื่อวันที่ ๑๖-๑๘ ธันวาคม ที่ผ่านมาทำให้ดิฉันเรียนรู้เรื่องราวมากมายหลายๆอย่าง ทั้งธรรมชาติการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการเรียนรู้สิ่งรอบตัว ธรรมชาติของป่าต้นน้ำได้เกิดการเรียนรู้ ความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ความเฮฮา รู้รักและหวงแหนธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ ต้นไม้และธรรมชาติที่สดชื่นที่ยังคงไว้ซึ่งความงดงามตลอดทุกฤดูกาล ได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า จากที่เคยเห็นว่าต้นไม้ก็คือต้นไม้ ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็เป็นใบไม้ธรรมดาเพียงแค่นั้นแต่พอได้มาเข้าค่ายก็ทำให้รู้ว่าจะเด็ดใบไม้ต้องขออนุญาต ซึ่งทำให้รู้สึกนึกคิด ของการรักษาต้นไม้ไว้เคยเห็นต้นไม้ที่มียางออกมา เขาเคยบอกว่ายางต้นไม้ เปรียบเสมือนน้ำตาของต้นไม้ ก็เหมือนกับเรา เมื่อใครมาทำร้ายร่างกายของเรา เราก็รู้สึกเจ็บเจ็บจนร้องไห้ออกมา ทำให้ดิฉันเอะใจขึ้นมาไม่ควรไปทำลายต้นไม้เพราะต้นไม้ก็มีชีวิตเหมือนเรา ต้นไม้ก็ใช้แรงในการสังเคราะห์ ใช้ออกซิเจนในการหายใจและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในตอนกลางคืนเราก็เป็นเช่นนั้นอีกอย่าง เรายังต้องพึ่งต้นไม้ ในการหายใจ ถ้าขาดตนไม้ไปแล้ว เราจะเอาอากาศที่ไหนหละหายใจ เราไม่ต้องพึ่งถึงออกซิเจนหรอกหรอแต่ทุกวันนี้มีแต่ต้องลำบากอยู่แล้วยังต้องมาแบกถังออกซิเจน อีกคงไม่ไหวหรอก จึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสัจธรรมที่จำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจ ค่ายนี้เปลี่ยนทัศนะคติให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ หลายอย่างครูเป้สีน้ำได้สอนหลักการใช้สีน้ำเปลี่ยนมุมมองในการมองความงามทางด้านศิลปะ ธรรมชาติ โดยมีเทคนิคการใช้ ทั้งแสง วัตถุ เงาบรรยากาศในค่ายรมรื่นและเงียบสงบ ได้อยู่กับธรรมชาติ แตกต่างจากการอยู่ในชุมชนเมือง ที่มีแต่ความแออัด สูดอากาศที่เป็นมลพิษ เมื่อได้อยู่ในค่าย ได้สูดอากาศให้เต็มปอด และสดชื่นมากๆการเข้าค่ายได้เกิดความเข้าใจในธรรมชาติทั้งคนสัตว์และธรรมชาติได้รู้เกี่ยวกับป่าต้นน้ำน่านใต้และวิถีชีวิตของชาวลุ่มน้ำน่านการใช้ชีวิตของคนในกลุ่มอำเภอ กลุ่มตำบล และกลุ่มค่ายระหว่างทางที่ไปค่ายและกลับค่ายทำให้เกิดความสนุกสนานและเรียนรู้รอบๆข้างทางทั้งสองซึ่งเต็มไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ พี่ๆทีมงานที่ค่ายก็ให้ความรู้ที่ดีมาก ได้นำเสนอชุดความคิดของตนเองเพื่อให้คนในกลุ่มได้รู้และนำไปใช้กับการใช้ชีวิตประจำวันและรู้ถึงปัญหาสาเหตุและการอนุรักษ์ป่าไม้เพื่อลดการทำลายป่าไม้ทั้งในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ที่มีป่าไม้เหลือน้อยไปเต็มที ค่ายนี้ดีมากค่ะ เนื่องจากมีสิ่งประทับใจมากกว่าค่ายอื่นๆที่ผ่านมาแปลกแต่ดี ขอบคุณสำหรับโอกาสที่ให้เข้าค่ายนี้