ค่ายต้นกล้าศิลปะ


ความรู้สึกที่มีต่อ ป่าต้นน้ำ


ป่าไม้และน้ำได้ให้ความรักแก่เราให้ความอบอุ่นแก่เรา ป่าต้นน้ำอยู่ตามที่ต่างๆแต่มันสามารถให้ความรักแก่เราได้ดังนั้นเราต้องให้ความรักแก่ป่าต้นน้ำด้วยเพราะถ้าเราได้แต่รับความรักจากป่าต้นน้ำ แต่เราไม่เคยให้ความรักแก่ป่าเลย เราได้แต่ทำลายป่าต้นน้ำไปจนไม่เหลืออะไร ถึงตอนเราคงไม่เหลืออะไรเหมือนกัน ดังนั้น เราต้องให้ความรักซึ่งกันและกัน ต้นไม้ให้ลมหายใจแก่เรา เราก็ต้องให้ลมหายใจแก่ต้นไม้ เช่นกัน ในป่าต้นน้ำมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย มีทั้งนก กระต่าย และอีกหลายอย่าง นกก็คอยร้องเพลงเพาะๆให้เราฟังทุกเช้า.....
หนูรักต้นไม้ แม่น้ำ ที่คอยให้ความสุขแก่หนู.....
ช่วยกันรักษาป่าต้นน้ำนะค่ะ
ป่าไม้ของฉัน....


ความรู้สึกหลังค่ายต้นกล้าศิลปะ

เป็นค่ายที่หนูคิดว่าเป็นค่ายธรรมดาค่ายหนึ่งแต่หนูก็รู้สึกดีใจที่ได้เข้าค่ายนี้หลังจากที่หนูไปเข้าค่าย ทำให้ความคิดและความใฝ่ฟันของหนูเปลี่ยนไป ทำให้หนูรักธรรมชาติ อยากอยู่กับธรรมชาติ ทุกครั้งที่หนูได้อยู่กับธรรมชาติ ได้วาดภาพศิลปะหนูรู้สึกว่าหนูมีความสุขมากเพื่อนๆของหนูบอกว่า หนูไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้มและเฮฮากับคนอื่นเขาและหนูไม่เครียดหรอ แต่หนูก็ตอบว่าไม่เครียดเฉยๆ เวลาที่หนูได้วาดภาพ หนูมักวาดภาพเกี่ยวกับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และค่ายนี้นี่เองทำให้หนูเปลี่ยนมุมมองของหนู ไปครึ่งหนึ่งที่เราไปเข้าค่ายต้นกล้าศิลปะ เราอาจมองเห็นต้นหญ้าที่ข้างถนน ก็สวยไปหมด แต่ก็คือความจริงเพราะระหว่างที่อยู่ในค่ายหนูก็ลองสังเกตดู ต้นหญ้าที่ผาชู้ก็สวยจริงๆทำให้หนูรู้ว่าการที่ได้อยู่กับต้นไม้ เป็นสิ่งดีมากๆทุกครั้งที่หนูเห็นพ่อแม่และคนอื่นตัดต้นไม้ ทำให้หนูหดหู่มาก หนูก็ต้องเอากับมาคิดว่าหนูจะทำยังไง ให้พ่อแม่ของหนูไม่ตัดต้นไม้ แต่หนูก็คิดไม่ออก พอนานเข้า ๆ หนูก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ค่ายนี้สอนให้หนูรู้ว่า ป่าไม้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีค่ามหาศาล เพราะถ้าไม่มีป่าไม้ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ที่ผ่านมาหนูคิดว่าศิลปะเป็นแค่การเรียนวาดภาพ เรียนเกี่ยวกับทัศนธาตุ สีแต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่คำว่าศิลปะกว้างและลึกมากในการดำรงชีวิตประจำวันของเราก็มีศิลปะทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นศิลปะหมด ตอนที่อยู่ในค่ายก็ได้ไปดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าซึ่งบ้านของหนูก็อยู่บนเขาบนดอย แต่หนูก็ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย ถ้าพูดถึงทะเลหมอก หนูก็เคยเห็นบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่สวยเท่าที่ผาชู้นี่ และในตอนเช้ามืดซึ่งเราหลับอยู่แต่เราก็ได้ยินเสียงดนตรี เสียงเพลงเบาๆ เพราะๆในตอนเช้า และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้สัมผัสกับอากาศหนาวๆ สายลมเย็นๆ ทำให้เราได้รับออกซิเจนจากต้นไม้ และให้คาร์บอนไดออกไซกับต้นไม้ การที่ได้เข้าค่ายในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นความโชคดีของหนู หนูไม่คิดเลยว่าค่ายนี้จะมีประโยชน์มากขนาดนี้ เพราะทำให้หนูได้ค้นพบตัวตนของหนู และสิ่งที่หนูภาคภูมิใจมากที่สุดคือ จักยานของครูเมย์ ที่วาดติดไว้ที่เสื้อของหนู หนูคิดว่าถ้าหนูตีความว่าเป็นจักรยานคันหนึ่งที่เก่าๆแต่ก็มีค่าเพราะว่า จักรยานไม่ใช้น้ำมันเราก็สามารถใช้ได้ตลอดเวลาคือหนูคิดไปในอนาคตว่า เราก็ต้องไปเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น จักรยานคันนี้ก็เปรียบเสมือนกับขาทั้งสองขาที่เคยนำพาเราไปในทางที่ดีๆ เป็นความประทับใจที่อยู่ลึกหนูไม่สามารถเขียนอธิบายออกมาได้ เวลาที่ฟังครูเป้พูดเหมือนกับครูเป้กำลังพูดให้เราเป็นคนที่อ่อนโยน ซึ่งเวลาที่ครูเป้ พูดอย่างนี้เป็นคำพุดที่อ่อนโยนมาก ครูเป้สอนว่าต้นไม้ต้นเดียวก็มีค่า เพราะต้นไม้หนึ่งต้น คายน้ำหนึ่งหยดพันต้นก็คายน้ำพันหยด กลายเป็นลำธารเล็กๆ ซึ่งสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้ต้นไม้ที่เราปลูกไว้ ถ้าไม่ตายเราไม่มีวันลืม หนูอยากปลูกต้นไม้ อยากปลูกป่าให้โลกของเราเป็นสีเขียว เป็นโลกแห่งความสงบและที่สำคัญหนูอยากให้ทุกคนปลูกป่าในใจของแต่ละคนก่อนให้งอกขึ้นมาจากใจให้ทุกคนมีความศรัทธาต่อป่าต้นน้ำ กล่าวถึงการแสดงรอบกองไฟ เป็นการแสดงที่แสดงถึงการรักป่า ความสามัคคีเป็นการแสดงที่สนุก ตลกด้วย และอาหารในแต่ละมื้อก็อร่อย ของว่างก็อร่อยเวลานอนก็อุ่น ดังคำคมที่ว่ากินอิ่มนอนอุ่น การดำรงชีวิตอยู่ในค่ายเป็นระยะเวลาสองคืนสามวันนับเป็นการดำรงชีวิตที่สบายๆ ไม่ต้องอะไรมากๆถึงเป็นเพียงเวลาสั้นๆก็มีความหมายและมีค่า คุณครูพี่ๆทุกคน มาจัดค่ายให้พวกหนูเป็นคนใจดีมากๆเลย คอยให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีหนูขอขอบคุณคุณครูที่ทำให้มีค่ายนี้เกดขึ้นให้หนูได้เรียนรู้ค่ะ ศิลปะเป็นตัวนำทางชีวิตทำให้หนูได้พบสิ่งใหม่ๆอย่างมากมายทำให้หนูไม่เดียวดายไม่เหงาทำให้หนูเห็นความจริงของชีวิต เห็นทางที่จะก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและยิ้มได้อย่างมีความหวัง