ค่ายต้นกล้าศิลปะ

ความรู้สึกที่มีต่อป่าต้นน้ำ

“ป่าไม้และสายน้ำ คือสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกใบนี้”
ฉันเกิดมาจากท่ามกลางป่าใหญ่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ใบหญ้า ที่มีความหลากหลายสีสัน มีสายน้ำลำธาร มีภูเขาล้อมรอบ และมีอากาศที่บริสุทธิ์อุดมการณ์ ฉันคิดว่าโลกนี้ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่งดงามอยู่เสมอ และมีเสน่ห์ อยู่ในตัว โดยเฉพาะสมัยเมื่อก่อน โลกนี้ก็ยิ่งสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะป่าไม้ และต้นน้ำ ที่นับวันมันยิ่งเพิ่มทวีคุณ ด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ที่เขียวขจี และสายน้ำลำธารที่ช่ำเย็นใสบริสุทธิ์ไหลวนเวียนอยู่ในพื้นปฐพีอย่างสวยงาม แถมยังมีสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ที่อาศัยอยู่อย่างสันติและเติมเต็มให้โลกใบนี้ดูมีสีสัน

เมื่อเวลา หมุนผ่านไปหลายพันปี โลกนี้เริ่มมีจุดเปลี่ยนแปลงไปในทางขาดความสมดุลของธรรมชาติอย่างรวดเร็ว โดยสิ่งมีชีวิต (มนุษย์)ได้ทำลายโลก ทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่น การตัดไม้ ทำลายแม่น้ำ และผืนแผ่นดิน อย่างมากมาย สายน้ำและผืนป่า เริ่มเจือจางลดลงไปอย่างมหาศาล

ณ ตอนนี้ธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงเหลือน้อย และยากนักที่บางคนจะได้เห็นและได้สัมผัสกับกลิ่นธรรมชาติ อย่างแท้จริงที่ลึกซึ้ง อย่างอธิบายไม่ถูก บางครั้งฉันได้พบเจอกับธรรมชาติ บางแห่งที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม ฉันมีความรู้สึกรักและประทับใจ จนบางครั้งร้องไห้ และอยากอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอดไป เพราะธรรมชาติ ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด และมีแรงบันดาลใจ ที่จะต่อสู้กับชีวิต และอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ฉันมองแล้ว สวยที่สุด และสวยอย่างตลอดกาล ฉันรักธรรมชาติ และไม่อยากให้ใครไปทำลายความอุดมสมบูรณ์ แต่เวลานี้ โลกแห่งเทคโนโลยีและมนุษย์ทำให้ธรรมชาติขาดหายอย่างมากมาย และเสื่อมอย่างมาก เมื่อมนุษย์เรา ได้ใช้ธรรมชาติไปเราก็ควรฟื้นฟูและรวมกันปลูกป่า ด้วยสองมือของเรา โดยการรักษาน้ำและป่าไม้ ให้คงอยู่คู่กันกับโลกใบนี้ อย่างอุดมสมบูรณ์และสวยงามตลอดกาลนาน


ความรู้สึกหลังค่ายต้นกล้าศิลปะ
เย้เช้าแล้วโว้ยฉันจะได้ไปค่ายป่าต้นน้ำ(ต้นกล้าศิลปะ) แล้วดีใจจังเลยเพื่อนๆ เสียงกระซิบของฉัน ดังอยู่ลึกๆในใจ มันตะโกนออกมาแบบนั้นเมื่อใกล้รุ่งพระอาทิตย์เริ่มทอแสงมายังพื้นโลกฉันและเพื่อนๆต่างคนต่างตื่นเต้น ดีใจกันใหญ่ที่จะได้ไปเข้าค่าย โดยได้ไปเรียนที่ห้องเรียนใหม่ ที่แสนจะเป็นธรรมชาติ ดูดีเป็นที่สุดซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักใฝ่ฝันที่อยากจะเรียนห้องเรียนนี้อยู่ ณ บริเวณท่ามกลางป่าใหญ่วนอุนทยานศรีน่านที่ส่อนความลึกลับน่าค้นหา อันประกอบไปด้วยบรรยากาศที่บริสุทธิ์ มีสิ่งรอบๆข้าง และรอบๆบริวาลต้นไม้ใบหญ้า หมู่นกหมู่สัตว์ต่างๆนานาที่อุดมสมบูรณ์ครบวงจร เวลา 8 โมงตรงทุกคนต่างยกกระเป๋าสำภาระของตนเองไปหาอาจารย์ยุทธภูมิ สุปราการ ที่ใต้ถุนอาคารหลังใหม่สีฟ้าเมื่อมาถึงอาจารย์ ให้เก็บกระเป๋าแล้วเข้าแถวจากนั้นก็เล่นเกม นันทนาการต่างๆซึ่งสนุกมากๆและยังทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างหยุดยั้งไม่ได้เมื่อเสร็จจากกิจกรรม พวกเราทุกคนก็มานั่งนับเลข 1-8 ฉันนับได้เลข 6 ฉันเลยอยู่กลุ่ม 6 ซึ่งมีเพื่อนๆและพี่น่าใหม่ 2 คนที่มาจากต่างจังหวัด ที่น่าตาออกจะเป็นเด็กดี เด็กเรียนซึ่งพี่ๆวิทยากรก็ให้แนะนำตัวในกลุ่ม และตั้งชื่อกลุ่มฉันเลยตั้งชื่อกลุ่มว่า กลุ่มราชพฤกษ์ และสมาชิกภายในกลุ่ม มี 9 คน ประกอบด้วย พี่นิ พี่เอ้ พี่หมูอิ มิ้น น้ำ น้องบุ๋มบิ๋ม น้องต้นข้าว และมัดไหมฉันเอง โดยกลุ่มของฉันมีแต่เด็กเรียน เรียบร้อยทั้งสิ้นไม่ค่อยพูดมากเท่าฉันเลย ก้าวแรกที่ขึ้นรถฉันรู้สึกดีใจเป็นที่สุดและตอนได้เจอคณะวิทยากรเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ฉันเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ ชีวิตฉันต้องเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ในการเข้าค่ายครั้งนี้ เมื่อเริ่มเดินทางออกจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๕๖ จังหวัดน่าน ดู เหมือนกับชีวิตและจิตวิญญาณของฉันเริ่มปล่อยวาง เบาบางลง ความเครียดความกังวล ความทุกข์ต่างๆ เริ่มทิ้งปล่อยว่างไว้ในโรงเรียนชีวิตของฉันเริ่มร่องรอย อยู่ในรถบัสคันใหญ่ที่บรรจุเต็มไปด้วยพี่ๆเพื่อนๆเต็มกันหมด พอเดินทางไปได้สักระยะหนึ่งฉันเริ่มง่วงนอนเพราะว่าเมื่อคืนตื่นเต้นเกินเลยนอนไม่ค่อยหลับ ความง่วงเริ่มเข้าสู่สมองและร่างกายเลยทำให้ฉันต้องง่วงนอนอยู่ในสวนนิทรา อยู่อีกเนินนานเมื่อฉันจะเปิดเปลือกตาขึ้นรถก็หยุดแล่นละหมู่เพื่อนๆพี่ๆ ต่างก็ลงจากรถ เพื่อวิ่งไปดูบรรยากาศที่แสนสวยงาม และบรรยากาศสุดแสนบริสุทธิ์ ภูเขามีแต่สีเขียวขจีเห็นธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้นและตามหุบเขาต่างๆ ก็มีแม่น้ำน่านเสียงนกที่ร้องดังลั้นธรรมชาติมาแต่ยาวไกล และต้นไม้ต่างๆที่มีสีสันหลากหลายสะดุดตา มันช่างงดงามเหลือเกินและเป็นภาพแรกที่สายตาของฉันรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งเห็นความสงบเยือกเย็นของธรรมชาติอย่างแท้จริงโดยมีความรู้สึก ปักป่นของตัวเอง แฝงอยู่ในธรรมชาติ อันมืดมิดด้วยความดีใจประทับใจมากๆเมื่อชมวิวเสร็จทุกคนก็ขึ้นรถต่อเพื่อไปสู่เป้าหมายเมื่อขึ้นรถต่อได้ระยะหนึ่งรถก็หยุดและทุกๆคนในรถก็ลง เพื่อเดินทางต่อไปที่ค่ายป่าต้นน้ำ เท้าของฉันสัมผัสกับพื้นดินธรรมชาติ และจมูกรวมทั้งร่างกาย ทุกส่วนทุกเสี่ยวของฉัน ได้รับบรรยากาศที่บริสุทธิ์ ด้วยความอบอุ่น อิ่มใจมากมายเหลือเกิน เมื่อถึงจุดหมาย (ห้องเรียนธรรมชาติ) ก็มีคณะครูวิทยากรมารอรับและให้วางกระเป๋าและให้มาเข้าแถวตามกลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มไปนั่งบนเสื่อจากนั้นพี่วิทยากร(พี่โบว์) ก็มาพูดคุยเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ภายในสามวันในวนอุทยานแห่งชาติศรีน่านครั้งนี้ แล้วก็มาพูดคุยเกี่ยวกับความสำคัญของค่ายป่าต้นน้ำ และพี่โบว์ ก็แนะนำ ครูเป้สีน้ำศิลปะชื่อดังที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับค่ายป่าต้นน้ำครั้งนี้ซึ่งเริ่มแรกที่ครูเป้มาถึงเวทีนี้ที่ดูเป็นธรรมชาติน่ารักที่สุดครูเป้ก็บอกให้ทุกคนยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีกและสูดลมหายใจอันบริสุทธิ์ที่สักสิทธิ์ ในวนอุทยานศรีน่านนี้ ให้เต็มปอด เต็มร่างกาย ทุกเสี้ยวทุกส่วนควบคู่ไปกับบรรยากาศที่นี่ช่างมีความเห็บหนาว ปัดป่นกับเมฆหมอก เสียเหลือเกิน เพราะอยู่ในพื้นที่สูงและมีธรรมชาติล้อมรอบเยอะแยะเต็มไปหมดพร้อมกับสายลม อันหนนาวๆ เย็นๆ พัดมาอย่างแผ่วเบา ด้วยความวังเวงอย่างไม่รู้จบและยังสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อครูเป้มาให้ความรู้เกี่ยวกับองศิลปะ หรือการสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ ธรรมชาติให้กับพวกเราทุกๆคน ทำให้ฉันได้รู้ และรู้สึกว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในโลกนี้ มหัศจรรย์ อย่างยิ่งและมีความหมายมีประโยชน์ มีคุณค่ามากมาย ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แม้กระทั่งการหายใจที่ครูเป้สอนก็คือการได้รับประโยชน์ จากธรรมชาติ เช่นเดียวกัน กับที่ธรรมชาติ ก็ได้รับประโยชน์จากเรา ซึ่งทุกอย่างในโลกนี้ ต้องมีความพึ่งพาอาศัย ซึ่งกันและกัน ตามสันชาติญาณของธรรมชาติ และครูเป้ยังสอนเรื่องราวมากมายที่เป็นชีวิตของธรรมชาติที่ให้คุณประโยชน์ ต่อมวนสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิดในโลก ซึ่งคำสอนของครูเป้ที่ถูกใจฉันและทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดมากขึ้นโดยสิ่งที่ฉันได้รับจากครูเป้ ที่ฉันชอบและสะท้อนใจ โดยทำให้ฉันมีกำลังใจ มีความสุขคือ การมองพระอาทิตย์ส่องแสงตะวัน แสงแรกมาสู่ตาของเรา ตามองธรรมชาติแบบละเอียดลออการเรียนรู้พัฒนาการ ของต้นไม้ทุกต้นและการเกิดป่าต้นน้ำครูเป้ท่านบอกว่า แสงแห่งแรกของพระอาทิตย์ เป็นแสงที่มีความสุข มีรอยยิ้ม และประทับใจกับธรรมชาติโดยรวมถึงการทำให้เรารักธรรมชาติมากยิ่งขึ้นและเป็นแสงที่เรามองด้วยตาเปล่าได้เป็นอย่างดีโดยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายหรือแสงพระอาทิตย์อาจทำให้ใครบางคนมีแรงบรรดาลใจหรือมีความหวังเกิดขึ้นอีกครั้ง ดั่งคำร้องของครูเป้ที่ว่าพรุ่งนี้ยังมีตะวัน ป่าต้นน้ำเกิดจากต้นไม้ทุกต้น หรือใบหญ้าทุกๆใบต่างคายน้ำออกมาแต่ละหยดเมื่อหยดน้ำต่างๆคายออกมารวมกันก็จะเป็นสายน้ำเล็กๆ เมื่อสายน้ำเล็กๆมารวมกันก็จะได้แม่น้ำสายใหญ่ แล้วก็ไหลไปตามทางอย่างที่ไม่มีวันไหลกลับมาอีกชีวิตของคนเราก็เหมือนสายน้ำสินะสิ่งมีชีวิตทุกๆชนิดในโลกนี้ล้วนแต่มีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงซึ่งต้นไม้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะต้นไม้ต้นน้อยๆที่มันพยายามตะเกียกตะกายให้เทียมกับต้นไม้ต้นอื่นๆและเพื่อให้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบและองค์ประกอบของรถชาติชีวิตค่ายป่าต้นน้ำ ทำให้ได้รับความรู้และความประทับใจทั้งสิ่งใกล้ตัวและไกลตัว ฉันต้องขอขอบคุณอาจารย์ยุทธภูมิ มากๆที่ทำให้มีค่ายนี้เกิดขึ้นทำให้ฉันได้มีโอกาสอยู่กับธรรมชาติที่แสนจะหวงแหนและรักษาไว้และยังมีโอกาสเจอเพื่อนๆที่ต่างจังหวัดอีก ซึ่งดูแล้วในเวลาสามวันนี้ช่างมีค่ามากๆฉันคงไม่มีวันลืมวันธรรมชาติครั้งนี้ ฉันรักธรรมชาติและฉันอยากให้ทุกคนช่วยดูแลรักษาธรรมชาติ ให้อยู่คู่กับโลกของเรา โลกของเราจะได้มีเสน่ห์และสวยงามตลอดนิรันขอบคุณทุกๆรอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมคำสอน