นายชิณกร มียิ่ง : โครงการศึกษารูปแบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบ้านหนองสะมอนเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งหาอยู่หากินของคนชุมชน

ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนห้วยทับทันวิทยาคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (วิทย์ - คณิต)

โครงการศึกษารูปแบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติบ้านหนองสะมอนเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งหาอยู่หากินของคนชุมชน

สัมภาษณ์วันที่ 26 มกราคม 2563

­

­

ถาม อยู่โรงเรียนทำกิจกรรมอะไรบ้าง เป็นเด็กกิจกรรมไหม?

ตอบใช่ครับ ผมเป็นเด็กกิจกรรมเนื่องจากว่ามาตอนปี 61 ผมเคยทำโครงการกับพี่ศูนย์ประสานงานวิจัย ในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้นผมเป็นเด็กเรียนดี ทำเกรดเฉลี่ยแต่ละเทอมได้ 4.00 ตลอด พอเข้าเรียนมัธยมปลายผมรู้สึกเหมือนการเรียนเป็นที่กักขังให้เด็กอยู่ในกรอบความคิด ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าอยู่ในห้องเรียนก็คิดได้แค่นี้ผมอยากหาแนวทางใหม่ๆ ที่ให้เราค้นคว้าตัวเองได้ว่าตัวเองชอบอะไร ชอบทำกิจกรรมแบบไหน ผมจึงมาปรึกษาผู้ใหญ่บ้านหนองสะมอนว่ามีอะไรให้ช่วยได้บ้าง หรือให้ทำอะไรแบบที่ไม่น่าเบื่อ ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้มาทำโครงการฯ ผมจึงจัดตั้งกลุ่ม และเสนอมายังศูนย์ประสานวิจัย

­

ถาม อะไรในโรงเรียนที่น่าเบื่อ มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เด็กวัยรุ่น เรียนดี รู้สึกแบบนั้น?

ตอบคุณครูที่โรงเรียนกดดันนักเรียนมากเกินไป เขาจะดัน เขาต้องการให้เด็กเก่ง เขาต้องการให้นักเรียนทำให้เขาภาคภูมิใจจึงกำหนดเป้าหมายและต้องทำตามเป้าหมาย ผมรู้สึกว่าเป็นการบังคับเด็กมากเกินไป ผมรู้สึกน่าเบื่อ จึงออกมาหากิจกรรมที่ทำแล้วน่าจะสร้างประโยชน์ ได้ดีกว่านั้น พอออกมาทำโครงการก็ได้เห็นอะไรเยอะแยะ ได้รู้จักเพื่อนใหม่หลาย ๆ ทีม มีคนรู้จักเรามากขึ้น


ถามตอนที่ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้านว่าสนใจอยากทำกิจกรรม ไปกับใคร เป็นอย่างไรบ้าง?

ตอบตอนนั้นผมไปคนเดียว ผู้ใหญ่เสนอมาว่ามีกิจกรรมที่น่าจะเหมาะกับผมให้ผมไปหาทีมเพื่อนๆ มาร่วมโครงการด้วย ผมไปหาเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ บ้าน มารวมกลุ่มกัน ช่วยกันระดมว่าตอนนี้ในชุมชนของเรามีปัญหาอะไรบ้าง สถานการณ์ในชุมชนของผม เนื่องจากเป็นชุมชนชนบท เป็นปกติเลยที่จะมีปัญหา ยาเสพติด เด็กและเยาวชนในชุมชนติดสารเสพติดเยอะมาก สามารถเห็นการส่งยาเป็นปกติ คนในชุมชนไม่ค่อยพูดคุย ปรึกษากัน บางครั้งคนในชุมชนยังมีการทะเลาะวิวาท เราไม่มีกิจกรรมที่ทำให้รักใคร่กลมเกลียว สามัคคีกัน ทีมเราเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ร่วมกัน ช่วยกันแลกเปลี่ยนระดมกันออกมา


ถาม หลังจากระดมปัญหา วิเคราะห์ชุมชนแล้ว ทำไมจึงมาเป็นโครงการฯ นี้?

ตอบเนื่องจากที่หมู่บ้านของผมตอนนั้น มีโครงการเข้ามาขุดลอกหนองแสนแสบ เป็นหนองของหมู่บ้าน แต่ก่อนขุดลอกบริเวณรอบๆ หนองมีทรัพยากรมากมาย ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่า พอเขาเข้ามาขุดลอกหนองก็ทำให้ระบบนิเวศรอบๆ หนองเปลี่ยนไป เสื่อมโทรม กลายเป็นที่โล่ง สัตว์ป่าและต้นไม้ก็หายไป พวกผมจึงนำปัญหาตรงนั้นมาทำโครงการในปี 61


ถามพื้นที่ที่ทำการขุดลอกขนาดเท่าไหร่?

ตอบ500 กว่าไร่ครับ เป็นป่าต้นน้ำ เนื่องจากเขาขุดพื้นที่ 2 หนองที่มีพื้นที่ติดๆ กัน มีหนองแสนแสบ กับหนองสร้างจั้น จึงเป็นพื้นที่วงกว้าง ต้นไม้หายไปจำนวนมาก น้ำจากลำห้วยทัพทันมีจำนวนมาก แต่ไม่มีต้นไม่ช่วยชะลอน้ำ ในช่วงฤดูน้ำหลากทำให้น้ำไหลมาตรงและแรง ส่งผลให้น้ำขึ้นมาทำความเสียหายให้กับพื้นที่ทางการเกษตรในหมู่บ้าน และน้ำขึ้นมาถึงตีนหมู่บ้านเกือบขึ้นมาถึงหมู่บ้าน ทั้งๆ ที่ปีก่อนๆ ไม่เคยขึ้นมาถึงขนาดนั้น กลุ่มจึงเสนอทำโครงการฯ นี้ขึ้นมา

­

ถามนำไปเสนอผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?

ตอบผู้ใหญ่บ้านโอเค ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้จัดการธนาคารต้นไม้ของ ธกส. ห้วยทัพทันด้วยครับ


ถามแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างไร เบลล์ทำหน้าที่อะไรในโครงการฯ?

ตอบผมเป็นรองประธานโครงการตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งเป็นประธานปัจจุบันนี้เรียนอยู่วิทยาลัยพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ผมทำหน้าที่ประสานงานกับคนในชุมชนว่าจะมีกิจกรรมการปลูกป่ารอบๆ หนองแสนแสบ ประสานงานกับนายอำเภอห้วยทับทันให้มาเป็นประธานในพิธี ประสานหัวหน้าศูนย์ศิลปาชีพบ้านหนองมือหมู่บ้านข้างๆ หนองสะมอน ประชาสัมพันธ์ให้คนในชุมชนได้รับรู้ หาคนจัดเตรียมสถานที่


ถามผลตอบรับกิจกรรมวันนั้นเป็นอย่างไร?

ตอบ คนในชุมชนตอบรับดีมากครับ หลังจากที่เราทำกิจกรรมเสร็จวันนั้น มีคนมาตบไหล่ผมและบอกว่า “ดีว่ะ ที่ทำแบบนี้ ดีแล้วล่ะทำไปนะ”


ถามมีคนมาบอกแบบนี้คนในทีมรู้สึกอย่างไร?

ตอบทุกคนภูมิใจครับ ภูมิใจว่าอย่างน้อยคนในชุมชนก็ได้เห็นถึงบทบาทของเยาวชนในหมู่บ้านของเขาแล้วว่ามีบทบาทที่จะเป็นกำลังในการพัฒนาหมู่บ้านได้


ถาม ตอนนี้ดำเนินงานมากี่เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือกิจกรรมอะไรบ้าง?

ตอบ70 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ อีก 30 เปอร์เซ็นต์คือ กิจกรรมบวชป่า และการทำรายงานส่ง การจัดทำสื่อวีดีทัศน์


ถามจุดเปลี่ยนของเราเป็นอย่างไร เราเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

ตอบจากแต่ก่อนผมเป็นเด็กเรียน ช่วงมัธยมต้นผมเรียนดีได้ 4.00 ตลอด ทำให้ผมกดดันตัวเอง ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต หลังจากที่ผมทำโครงการ ทำให้ผมรู้จักเพื่อนมากมาย ทำให้ความกดดันของผมจางหายไป ถึงตอนนี้ผมก็ยังมีความกดดันบ้าง จากการทำโครงการนี้ เพราะการทำโครงการก็มีทั้งปัญหาและอะไรหลายอย่าง แต่สำหรับผมคิดว่าเป็นปกติธรรมดาไม่เหมือนตอนเรียน


ถาม อะไรที่ทำให้เบลล์ จัดการความกดดันได้ดีขึ้น?

ตอบคุณครูไม่มาคาดหวังเรามากเกินไปเหมือนแต่ก่อน สมัยก่อนคุณครูจะต้องกดดันผม ส่งผมไปประกวดหลายที่


ถาม การเรียนของเราตกลงหรือเปล่า?

ตอบไม่นะครับ ไม่ถือว่าน้อยนะครับ เกรดเฉลี่ยเทอมที่ผ่านมาได้ 3.76 แต่ผมมีความสุขมากขึ้น และความสุขที่ผมภาคภูมิใจที่สุดคือ ผมทำให้พ่อแม่มีความสุข เพราะแต่การผมเป็นเด็กเรียนผมไม่ได้สนใจพ่อแม่ พ่อแม่เป็นห่วงว่าผมจะทำงานเป็นไหม หรือเข้ากับสังคมได้หรือเปล่า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่รายจ่ายของครอบครัวเยอะ ข้อนี้เป็นจุดเปลี่ยนแรกที่ผมได้กลับใจมาทำกิจกรรม เนื่องจากว่าถ้าผมทำงานทำกิจกรรม ผมสามารถไปคุยกับคนอื่นได้ง่ายรู้จักคนเยอะขึ้น ทำงานทุกวันนี้ผมหาค่าใช้จ่ายได้เงิน หาเงินจ่ายค่าเทอมเอง ค่า WiFi ที่บ้าน ค่าประกันผมก็จ่ายเอง แบ่งเบาภาระพ่อแม่ไปส่วนหนึ่ง


ถามได้รายได้มาจากไหน?

ตอบได้มาจากการเข้าร่วมกิจกรรม การเป็นวิทยากรกับทีมอื่น ๆ ทั้งในศูนย์ประสานงาน และสภาเด็ก เขาเชิญผมไปทำค่ายได้รายได้ชั่วโมงละ 400-500 บาท เป็นกิจกรรมที่ไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ปลูกจิตสำนึกให้เขาค้นพบการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ เปลี่ยนจากแง่ลบเป็นแง่บวก


ถาม แล้วได้แรงบันดาลใจอะไรจากการทำงานนี้?

ตอบแรงบันดาลใจคือพ่อแม่และชุมชน เพราะเราเกิดในชุมชนนี้ ผมภูมิใจที่ได้ทำเพื่อชุมชนนี้ เพื่อแผ่นดินที่เราเกิด ตอบแทนแผ่นดินที่เราเกิด จะได้เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเรา ผมภาคภูมิใจมาตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำโครงการเลย


ถามสนใจการทำเพื่อชุมชนแบบนี้ตอนไหน?

ตอบตอนที่ผมคิดหาวิธี ทำยังไงให้ตัวเองออกจากความน่าเบื่อ พอเริ่มทำโครงการก็หมือนเป็นการค้นคว้าหาตัวเองว่าตัวเองชอบอะไร ผมชอบเรื่องการพูด ชอบในเรื่องการทำกิจกรรม การบริหารงาน อนาคตผมก็ยังคิดว่า ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือการทำงานก็น่าจะมาในทางนี้ เพราะเรามีพื้นฐานมา


ถามเป้าหมายในอนาคตของเราคืออะไร?

ตอบความฝันของผมคืออยากเป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ นักปกครอง


ถามโครงการนี้มีส่วนทำให้ค้นพบตัวเองไหม?

ตอบ ใช่ครับ ผมทำโครงการนี้ จึงได้เข้าไปเป็นประธานสภาเด็กห้วยทัพทัน ได้ทำกิจกรรม ทำให้ผมได้พบว่าผมชอบในเรื่องการพูด การบริหารงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน จากคนไม่กล้าพูด ไม่ค่อยเข้าสังคม แม้แต่ก่อนผมจะเป็นหัวหน้าห้องแต่เป็นผู้นำเพราะเรียนเก่ง แต่ไม่มีความสุข รู้สึกว่าแต่ก่อนเขาหวังผลกับเราแค่เราไปสร้างประโยชน์ ให้เขาได้วิทยฐานะ แต่ก่อนผมไม่รู้เลยว่าผมชอบอะไร เรียนให้ผ่านไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย พูดความจริงแล้วคือการศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่ให้อยู่แต่ในกรอบความคิด กักขังเด็ก แล้วก็สอนอะไรแบบดันๆ ให้เด็กต้องรู้ๆ ต้องเก่งเหมือนประเทศนั้นประเทศนี้ ผมเรียนอย่างไม่รู้วัตถุประสงค์เลยว่าต้องเรียนไปเพื่ออะไร


ถามเพื่อนๆ พูดถึงเราอย่างไรบ้าง ปีนีเป็นปีที่ 2 เบลล์เป็นหัวหน้าโครงการแล้วใช่ไหม?

ตอบ ครับ เพื่อน ๆ บอกว่าผมเป็นคนทำงานเป็น เพื่อนๆ บอกว่าถ้าไม่มีผมก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า


ถามเรามองเพื่อนๆ ในทีมอย่างไรบ้าง?

ตอบผมมองว่าเพื่อนๆ ยังให้ความร่วมยังน้อยอยู่จาก 12 คน เหลือกัน 6 คน แต่ทั้ง 6 คนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เราแบ่งเป็นแต่ละแผนกทั้งจัดสถานที่ บันทึกกิจกรรม ต้อนรับ อำนวยความสะดวก ต่าง ๆ


ถามมีปัญหา หรือมีความขัดแย้งกับเพื่อนๆ ในทีมบ้างไหม?

ตอบมีครับ ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำงานตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ก็ต้องมีขัดแย้ง ไม่ชอบใจบ้าง เพราะเขาไม่ชอบใจที่เราไปสั่งให้เขาทำโน่นนี่ แต่เขาเอาไปพูดทำให้เราเสียหาย ตอนนั้นผมก็ไปปรับความเข้าใจ บอกเขาว่าที่เราทำไปก็ไม่ใช่เพราะว่าผลประโยชน์ของตัวเรา ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อพวกเธอแล้วก็ชุมชนของพวกเรา จากนั้นเราก็เข้าใจกันดี


ถามอะไรยากที่สุดในการทำโครงการ?

ตอบการเขียนโครงการ การเขียนรายงานการศึกษารูปแบบ รูปเล่ม เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะผมไม่เก่งด้านคอมพิวเตอร์ แต่มีคนในทีมเก่ง เราก็จะมาคุยกันว่าต้องรวบรวมข้อมูลอะไร


ถามพี่เลี้ยงมีส่วนสนับสนุนอะไรบ้าง?

ตอบผู้ใหญ่บ้าน (พี่เลี้ยง) ช่วยในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้กับคนในชุมชนได้รับรู้ เรื่องการประสานงานกับผู้ใหญ่ในตำบลและในอำเภอ เรื่องกิจกรรมของโครงการฯ ให้คำปรึกษาเรื่องการทำงาน


ถามแนวคิดการทำงานร่วมกันของ บ้าน วัด โรงเรียนมาจากไหน?

ตอบได้มาจากการปรึกษากับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงถามทีมว่า ภาคีเครือข่ายมีใครบ้าง ตอนแรกผมไม่เข้าใจคำว่า ภาคีเลยด้วยซ้ำ พี่เลี้ยงอธิบายว่า คือคน บุคคล กลุ่มคน หน่วยงานที่จะหนุนเสริมให้เราทำงานได้ ผมจึงเขียนรายการว่ามีใครบ้าง และช่วยกันกับทีมไปประสานงาน


ถามคิดว่าการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของเราคืออะไร?

ตอบผมคิดว่าประสบการณ์ วันนั้นถ้าผมมัวแต่อยู่ในห้องเรียนที่เป็นห้องสี่เหลี่ยม ผมก็ได้แค่นั้น แต่พอผม ออกมาจากจุดนั้นเราได้รู้ประสบการณ์และบทเรียนอะไรที่เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ การเรียนรู้คือการได้ทำ


ถาม อยากพัฒนาเรื่องอะไรอีก?

ตอบอยากฝึกทักษะเรื่องการพูด อยากพูดให้เก่งให้เหมาะสมกับผู้ฟัง มีคำสละสลวยที่เหมาะสม

­

ถามเบลล์เรียบเรียงและถอดบทเรียนตัวเองได้ มีลำดับในการเรียนรู้เป็นช่วงๆ เบลล์คิดว่าได้วิธีการนี้มาจากไหน?

ตอบเรียนรู้มาจากโครงการที่พวกผมทำ ตอนแรกพี่มวลจะให้คิดก่อนที่จะทำโครงการ ตั้งปัญหา หาวิธีการแก้ปัญหา แก้ปัญหาเสร็จแล้วเราก็ต้องมาหาวิธีการจัดการรูปแบบปัญหา และสรุปงาน จากนั้นค่อยมาวิเคราะห์เรื่องเสนองาน เราก็ได้บทเรียนจากตรงนี้แล้วก็ได้ประสบการณ์ตรงนี้ด้วย


ถามเราอยากปรับปรุงตัวเองเรื่องอะไร และอยากให้ชื่นชมตัวเอง?

ตอบข้อเสียของผมคือผมคนอารมณ์ร้อน พูดอะไรออกไปทำให้คนอื่นไม่สบายใจ แล้วเราก็โกรธและเครียดกับตัวเองเพราะคิดว่าสิ่งนั้นไม่ถ้าพูดออกไป ผมชื่นชมตัวเองที่เป็นคนกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าเผชิญปัญหาและหาทางแก้ไข และหาประสบการณ์ให้ตัวเองได้เรียนรู้เสมอ