การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) แกนนำเยาวชนเพื่อวางแผนพัฒนาพื้นที่ในโรงเรียนให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำ โรงเรียนชะแล้นิมิตวิทยา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

เพิ่มพันธุ์ปลา เพิ่มการเรียนรู้

โครงการสร้างแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำด้วยวิธีธรรมชาติ

รู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกศิษย์มาก และคิดว่าสิ่งที่เด็กๆ ทำมาตลอดได้บรรลุสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ “จิตสาธารณะ” จากการเสียสละลงมือทำโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมปัจจุบันที่ต้องการ “พลเมือง” เข้ามาช่วยกันดูแลชุมชนสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่

ทำไมปลาจึงน้อยลง และปลาหายไปไหน? คือคำถามที่กลุ่มเยาวชนจากโรงเรียนชะแล้นิมิตวิทยา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เกิดความสงสัยเมื่อพบว่าปลาหลายชนิดที่เคยกิน กลับหาซื้อไม่ได้ที่ตลาดใกล้บ้าน ยิ่งกว่านั้นราคายังแพงขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่บริเวณนี้อยู่ในพื้นที่ทำประมงแถบทะเลสาบสงขลา แล้วทำอย่างไรจึงจะมีปลาไว้กินเหมือนเดิม เป็นคำถามคาใจที่รอวันหาคำตอบ “บอกตรง ๆ ตอนนั้นไม่สนใจ ไม่อยากทำโครงการเลย แค่อยากให้มีปลามากเหมือนเดิม เคยเห็นรุ่นพี่ทำแล้วรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ทั้งจดบันทึก เก็บข้อมูล น่าจะยาก แต่ครูก็พูดชักชวนจนพวกเราตกลงทำในที่สุด”

ฝันจะคืนความอุดมสมบูรณ์ของฝูงปลา

ในอดีต ชุมชนชะแล้มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันสัตว์น้ำเริ่มลดจำนวนลง เนื่องจากการจับปลาผิดวิธี และสารตกค้างจากการทำนากุ้งที่ส่งผลต่อน้ำและปลา แต่ด้วยความสงสัย ทำให้ นิ-เสาวลักษณ์ ศรีประสิทธิ จูด-สงกรานต์ ทวยภา แนน-นริสา รัตนคำ และ ฟ้า-อุบลวรรณ เหมวรรโณ ชวนกันไปค้นหาคำตอบ 

“พวกเราไปถามแม่ค้าว่าทำไมถึงมีปลาน้อยลง เขาบอกว่าหาไม่ได้ เลยต้องขายแพงด้วย พวกเราจึงคุยกันในกลุ่มเพื่อน และมาปรึกษาคุณครู ครูก็แนะนำว่าถ้าอยากหาคำตอบก็ให้เข้ามาทำโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา บอกตรง ๆ ตอนนั้นไม่สนใจ ไม่อยากทำโครงการเลย แค่อยากให้มีปลามากเหมือนเดิม เคยเห็นรุ่นพี่ทำแล้วรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ทั้งจดบันทึก เก็บข้อมูล น่าจะยาก แต่ครูก็พูดชักชวนจนพวกเราตกลงทำในที่สุด”

เป็นที่มาของโครงการสร้างแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำด้วยวิธีธรรมชาติ โดยโจทย์ที่ตั้งไว้คือ “จะทำอย่างไรให้ปลาเพิ่มจำนวนมากขึ้น” ทีมงานและครูอุไรวรรณ อุทัย ที่ปรึกษาโครงการ จึงร่วมกันคิดหาทางเพิ่มจำนวนปลา และเห็นว่าการนำปลามาอนุบาลก่อนปล่อยคืนทะเลสาบสงขลา เป็นวิธีที่พวกเธอสามารถทำได้ดีที่สุด เพราะหลังโรงเรียนมีสระน้ำธรรมชาติที่สามารถเชื่อมออกไปสู่ทะเลสาบสงขลาและแหล่งน้ำอื่น ๆ ได้ และน่าจะมีอาหารเพียงพอให้ปลากิน เพราะทีมงานมีเวลาให้อาหารปลาในวันจันทร์ถึงวันศุกร์เท่านั้น ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่สามารถมาโรงเรียนได้ เนื่องจากบ้านอยู่ไกล 


 แสวงหาความรู้

ก่อนลงมือสร้างแหล่งอนุบาลให้ปลา ทีมงานได้ทำความเข้าใจกับ “บ้าน” ตามธรรมชาติของปลาก่อน ว่าต้องมีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ทั้งลักษณะทางกายภาพ คุณภาพของน้ำ ความสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร ชนิดของปลา และสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ ซึ่งข้อมูลที่ค้นพบคือ แหล่งน้ำในโรงเรียนมีความอุดมสมบูรณ์ สภาพบ่อมีขนาดกว้าง และพบปลาหลายชนิด เช่น ปลาช่อน ปลานิล ปลาหมอ ปลาดุกนา ปลากระดี่ ปลาตะเพียน เป็นต้น

เมื่อศึกษาสภาพแวดล้อมแล้ว จึงร่วมกันคัดเลือกพันธุ์ปลาที่จะนำมาอนุบาล โดยใช้ค่า pH ของน้ำประกอบการตัดสินใจ ค่า pH ของแหล่งน้ำในโรงเรียนที่วัดได้ 5-6 ทีมงานจึงค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และสอบถามชาวบ้านที่ทำประมงว่าควรเลี้ยงปลาชนิดใดที่เหมาะกับสภาพน้ำ

นิบอกว่า เราไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ จึงไปสอบถามจากชาวประมงและชาวบ้านว่าพวกเราควรเลี้ยงปลาชนิดใด ได้ค้นจากอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่คิดว่าควรมีการตรวจทานข้อมูลอีกครั้ง การสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านที่เขาอยู่มานานและมีความชำนาญในพื้นที่น่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง จนได้คำตอบว่าปลาที่น่าจะเลี้ยงรอดมี 2 ชนิดคือ ปลานิลและปลาตะเพียน แต่ก็ยังไม่มั่นใจ จึงสอบถามไปที่สำนักงานประมงจังหวัดอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกัน

พวกเธอจึงทำเรื่องขอพันธุ์ปลาทั้งสองชนิดจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด สงขลา โดยบอกถึงวัตถุประสงค์และความตั้งใจในการทำโครงการดังกล่าว ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ได้ลูกปลาทั้ง 2 ชนิดมา กว่า 1 พันตัว “ทีมงานวางแผนประชาสัมพันธ์โครงการ ผ่านการจัดนิทรรศการในงานเปิดโลกทะเลสาบสงขลา ที่จัดขึ้นบริเวณใกล้ ๆ โรงเรียน ทั้งนี้เพื่อให้ชาวประมงที่จับปลาแบบผิดวิธี เกิดจิตสำนึก โดยตระหนักว่า ขนาดเด็กอย่างพวกเธอ ยังคิดจะอนุรักษ์ แล้วชาวประมงที่เป็นผู้ใหญ่ทำไมไม่ช่วยกันอนุรักษ์บ้าง” 

หลังจากหาแหล่งอนุบาล และหาพันธุ์ปลาได้แล้ว ทีมงานทราบมาว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปลาลดจำนวนลงคือการจับปลานอกเขตกั้นที่กำหนด ซึ่งมีปลาตัวเล็กกำลังเติบโตอาศัยอยู่ ส่งผลให้การขยายพันธุ์ของปลาลดลง และอาจสูญพันธุ์ในที่สุด เพื่อให้ปลาในชุมชนกลับมามีจำนวนมากเหมือนเดิม ทีมงานจึงวางแผนสื่อสารความรู้ดังกล่าว และประชาสัมพันธ์โครงการในงานเปิดโลกทะเลสาบสงขลา ที่จัดขึ้นบริเวณใกล้ ๆ โรงเรียน เพื่อให้ชาวประมงที่จับปลาแบบผิดวิธีเกิดจิตสำนึก ตระหนักว่า “ขนาดเด็กอย่างพวกเธอ ยังคิดจะอนุรักษ์ แล้วชาวประมงที่เป็นผู้ใหญ่จะทำอะไรได้บ้าง” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก 

จูดเล่าต่อว่า ทีมงานจัดนิทรรศการแสดงภาพ และเนื้อหาเกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำ พร้อมอธิบายแผนการทำโครงการ จัดสมุดเยี่ยมให้ผู้เข้าชมเขียนแสดงความคิดเห็นที่มีต่อกิจกรรม ซึ่งก็มีหลายความเห็นที่ชื่นชอบ แต่ภาพรวมการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจ เพราะไม่มีผู้เยี่ยมชมซุ้มคนใดสนใจเข้ามาสนับสนุนการทำงาน แค่ดูแล้วผ่านเลยไป และกลุ่มเป้าหมายในโครงการที่ตั้งไว้คือผู้ใหญ่ในชุมชนอาจเป็นไปได้ยาก 


สู้ไม่ถอย

แม้จะพลาดเป้า แต่ไม่ท้อ ทีมงานกลับมาวางแผนใหม่ ปรับกลุ่มเป้าหมายจากชาวบ้านในชุมชนมาเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนจำนวน 30 คนแทน เพราะหมายใจว่าเมื่อน้องได้เข้ามาซึมซับเรื่องการอนุรักษ์พันธุ์ปลาแล้ว อาจนำกลับไปถ่ายทอดต่อให้ผู้ปกครองรับรู้ แต่ที่คาดหวังลึก ๆ คือ อยากให้น้อง ๆ เข้ามาเป็นแนวร่วมช่วยจัดกิจกรรม เช่น สำรวจพื้นที่ และเตรียมสถานที่สำหรับอนุบาลสัตว์น้ำ 

นิบอกว่า พอทำครั้งแรกแล้วไม่ได้ผล ก็คุยกันว่าไม่เป็นไร ทำใหม่ก็ได้ พอคิดจะทำใหม่จึงชวนทีมงานทั้งหมดมาสรุปบทเรียนการทำงานร่วมกันว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน ทุกคนต่างบอกว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะยากเกินไป เปลี่ยนมาทำในโรงเรียนจะดีไหม ใช้เด็กเป็น “เครื่องมือ” กระตุ้นผู้ใหญ่อีกที ซึ่งทุกคนต่างเห็นตรงกัน จึงวางแผนชักชวนน้องๆ ในโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม โดยเล่าเกี่ยวกับโครงการให้น้องฟังว่า พวกเราเคยทำอะไรมาบ้าง กำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร ให้น้องรับรู้ พร้อมเชิญชวนว่าถ้าใครสนใจก็มาเข้ามาร่วมได้เลย

ผลที่ได้รับแทบจะไม่ต่างจากครั้งแรก มีรุ่นน้องเพียง 4-5 คนเท่านั้นที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเต็มใจ นิ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ยอมรับว่าเธอแอบคิดจะถอยเหมือนกัน แต่ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ผู้นำ หากเธอไม่ทำแล้วเพื่อนคนอื่นจะเดินงานต่ออย่างไร เมื่อประเมินแล้วเห็นว่าภาระงานที่ต้องทำทั้งหมดกับจำนวนคนที่มีอยู่คงไม่สามารถทำให้โครงการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ จึงขอร้องให้น้องคนอื่นๆ มาช่วยจัดเตรียมสถานที่ อาทิ ถางป่า ทาสี ปักธง เขียนป้าย จนกระทั่งบ่อปลาเสร็จสมบูรณ์ พร้อมต้อนรับเหล่ามัจฉาตัวน้อย ๆ

ลูกปลานับพันตัวเดินทางมาถึงในที่สุด แบ่งเป็นปลานิล 540 ตัว ปลาตะเพียน 520 ตัว ทีมงานจัดแจงปล่อยปลาทั้งหมดลงบ่อ ก่อนที่จะกลับมาพบว่า ปลากว่าพันตัวได้อันตรธานหายไปสิ้น จึงพากัน วิเคราะห์ว่าลูกปลาน่าจะโดนปลาตัวใหญ่กินจนหมด หรือไม่ก็หากินเองไม่ได้จนอดตาย เพราะปลาที่พวกเธอได้มามีขนาดเล็กมาก แม้ความผิดหวังจะมาเยือน แต่ทีมงานก็ไม่ท้อ เดินหน้าเลือกปลาเอง 1,000 ตัว ครั้งนี้เลือกปลาขนาด 2 เซนติเมตร ซึ่งใหญ่กว่าครั้งแรก แล้วนำมาอนุบาลใต้อาคารเรียนก่อน เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย โดยแบ่งเลี้ยงเป็น 3 บ่อ และแบ่งเวรคอยให้อาหารเช้า กลางวัน เย็น ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วบันทึกผล ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ปล่อยให้หากินเองเช่นเดิม พร้อมทั้งสังเกตความเปลี่ยนแปลงของขนาด ผลสรุปคือปลาสามารถอยู่รอด และทดลองนำปลาส่วนหนึ่งไปเลี้ยงที่บ้าน โดยให้อาหารชนิดเดียวกับที่ให้ที่โรงเรียน พบว่าปลาอยู่รอดเช่นกัน และโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นปลาตัวอื่นที่เลี้ยงในธรรมชาติก็น่าจะอยู่ได้

2 เดือนผ่านไปเมื่อปลาได้ขนาดที่สามารถไปอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติได้จึงย้ายปลาทั้งหมดไปบ่อใหญ่ เมื่อถึงเวลาให้อาหารเห็นปลาขึ้นมากินอาหารเพียง 2-3 ตัว จากปลาจำนวนนับพัน ทีมงานคาดเดาว่าปลาเหล่านั้นอาจว่ายออกทะเลไปแล้ว เพราะบ่อที่เลี้ยงเป็นคูน้ำตามธรรมชาติ ยิ่งฝนตก ยิ่งว่ายออกง่าย หรือไม่ก็ถูกปลาใหญ่กินเป็นอาหาร


ปลา...พาเปลี่ยนแปลง

แม้ความสำเร็จของโครงการนี้จะอยู่ที่การทำบ่ออนุบาลสัตว์น้ำที่สามารถใช้เพาะพันธุ์สัตว์น้ำก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อเพิ่มจำนวนปลาในชุมชน ทีมงานทุกคนยอมรับว่าสิ่งที่ทำยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะบ่อน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบ ตนยังหาวิธีการกำหนดเขตอนุบาลปลาที่เล็กลงเพื่อดูปริมาณปลาที่รอดชีวิต พร้อมออกสู่ทะเลสาบต่อไป

แต่หากวัดที่การเรียนรู้ เหล่านักอนุบาลสัตว์น้ำฝึกหัดก็ได้เรียนรู้ไม่น้อย จากจุดเริ่มต้นที่ไม่อยากทำโครงการ แต่อยากเพิ่มจำนวนปลาให้คนในชุมชนที่พวกเธออาศัยอยู่ ได้ “บ่มเพาะ” ความวิริยะ อุตสาหะ ค้นหาและตรวจสอบข้อมูลความรู้ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งยังพยายาม “ก้าวข้าม” ปัญหาอุปสรรคทั้งจากผู้ใหญ่และน้อง ๆ ในโรงเรียนที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ รวมถึงการต้อง “ทำใจ” เมื่อครั้งปลากว่าพันตัวที่ปล่อยลงสู่บ่อเลี้ยงทั้ง 2 ครั้ง สูญสลายหายไปในพริบตา ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวทีมงานได้ไม่น้อย นิสะท้อนว่า เธอรู้สึกเหนื่อยกับการทำโครงการมาก และยังค้างคาใจที่ทำไม่เสร็จ เพราะไม่รู้ว่าปลาหายไปจากบ่อหรือออกไปยังแหล่งน้ำอื่นได้อย่างไร แต่ก็ภูมิใจที่ได้ทำเพื่อสังคม สิ่งที่ได้เรียนรู้จริง ๆ คือวิธีทำงาน ทั้งการทำงานกับเพื่อน และการทำงานกับบุคคลภายนอก

“หลังทำโครงการ คิดได้ว่าเราไม่ควรดูถูกความสามารถของตัวเอง เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินจะทำ เหมือนการทำโครงการนี้ที่ตอนแรกก็หวั่นใจว่าจะทำได้ไหม แต่เมื่อลงมือทำ เราก็ทำได้ แม้จะยังไม่ดีก็ตาม ยิ่งนิสัยนั้นเปลี่ยนไปมาก มีความกระตือรือร้น รู้จักรับผิดชอบ ด้วยภาระที่ต้องเป็นหัวหน้านำพาทีมงานไปให้ถึงเป้าหมาย ที่สำคัญคือใจเย็นมากขึ้น”

ซึ่งแนนยืนยันว่า เมื่อก่อนนิมีนิสัยจริงจัง ค่อนข้างเครียด และเถียงแบบไม่ฟังใคร จนเธอไม่กล้าแกล้งหยอกเล่น แต่ตอนนี้นิหันมารับฟังเพื่อนมากขึ้น และนำเพื่อนทำงานได้ ื

ฟากแนนกับจูด เพื่อนๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อก่อนทั้งคู่ติดโทรศัพท์มือถือมาก คนหนึ่งอยู่กับเกม อีกคนหนึ่งอยู่กับเฟซบุ๊ก แต่พอเข้ามาทำโครงการ ก็เริ่มช่วยเพื่อนทำงาน รู้จักรับผิดชอบ ซึ่ง จูด บอกว่า “ตอนแรกเพื่อนบังคับให้วางโทรศัพท์ก่อน คือพอจะหยิบขึ้นมา เขาก็เรียกให้ช่วยคิดงาน จนตอนนี้วางโทรศัพท์เองแล้ว เพราะอยากช่วยเพื่อนทำงาน”

ส่วนฟ้าสาวเรียบร้อย ที่นิบอกว่า เมื่อก่อนฟ้าจะอยู่แต่บ้าน ไม่ยอมออกไปไหน แต่เมื่อเข้ามาทำโครงการฟ้ากล้าพูดแสดงความคิดเห็น และกลายเป็นคนกระตุ้นเพื่อนให้รีบทำงาน ฟ้าจึงเปิดใจพูดกับเพื่อนว่า สาเหตุที่เมื่อก่อนเธอไม่พูด เพราะเพื่อน ๆ ไม่เคยรับฟัง ทว่าการทำโครงการนี้เมื่อเพื่อน ๆ รับฟังเธอมากขึ้น เธอจึงกล้าแสดงความเห็นออกมา

“สิ่งที่ครูหวังอีกอย่างคือ อยากให้เด็กมีจิตสาธารณะ เพราะเด็กสมัยนี้มองแต่หน้าจอโทรศัพท์ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ไม่เอื้อเฟื้อใคร จนบ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัว พอเด็กมาทำกิจกรรมก็เหมือนไปดึงเขาออกจากโลกเดิม ให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น” 


ผู้สร้างโอกาสการเรียนรู้

ครูอุไรวรรณ อุทัย ที่ปรึกษาโครงการ บอกเล่าแนวคิดที่ต้องการให้เด็ก ๆ ลุกขึ้นมาทำโครงการเพื่อส่วนรวม เนื่องจากสมัยเรียนเราเคยทำกิจรรมมาก่อน จึงรู้ว่าการทำกิจกรรมมีข้อดี คือทำให้เด็กได้มิตรภาพ เกิดทักษะต่าง ๆ และมีกระบวนการคิด ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ตอนนี้เขาอาจคิดว่าจะทำทำไม วันหยุดนอนอยู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ แต่เราคิดว่านี่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก เขาอาจไม่รู้คุณค่าในวันนี้ แต่วันหน้าเขาจะรู้ซึ้งถึงกระบวนการที่เขาได้เรียนรู้จากการลงมือทำ “สิ่งที่ครูหวังอีกอย่างคือ อยากให้เด็กมีจิตสาธารณะ เพราะเด็กสมัยนี้มองแต่หน้าจอโทรศัพท์ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ไม่เอื้อเฟื้อใคร จนบ่มเพาะนิสัยเห็นแก่ตัว พอเด็กมาทำกิจกรรมก็เหมือนไปดึงเขาออกจากโลกเดิม ให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น”

ครูอุไรวรรณบอกต่อว่า แม้จุดเริ่มต้นจะมาจากเธอที่ “กระตุกต่อมคิด” ให้เด็กรู้สึกอยากทำ แต่เธอจะไม่ชี้นำ ทำหน้าที่แค่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ระหว่างการทำงาน เสริมความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำโครงการ ทั้งความรู้จากครู และไปเรียนรู้เพิ่มเติมกับองค์กรภายนอก หรือคอยกระตุ้นให้งานขยับในช่วงที่การดำเนินงานหยุดนิ่ง เนื่องจากเด็ก ๆ หัวหมุนกับทั้งการเรียน การสอบ และการทำกิจกรรม จนจัดตารางเวลาชีวิตไม่ถูก

ครูยอมรับว่าการทำงานนี้เป็นภาระที่นอกเหนือจากงานหลัก แม้จะทำให้เธอเหนื่อยเพิ่ม แต่สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นมีค่ามากกว่าความเหนื่อย “ถ้าเราไม่ทำงานนี้ คงสบายกว่า เพราะไม่ใช่งานในหน้าที่ ไม่ต้องเหนื่อยเพิ่ม แต่ความสบายนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับลูกศิษย์หรือสังคมเลย สบายแค่ตัวเรา เราเป็นครูต้องเสียสละ ต้องช่วยสังคม แม้เป็นเพียงส่วนน้อยนิดก็ยังดี ที่สำคัญการทำโครงการยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างเรากับเด็กที่มากกว่าการสอนในชั้นเรียนด้วย”

เมื่อการทำงานเดินทางมาถึงขั้นสุดท้าย พร้อมบทสรุปที่ว่านักเรียนของเธอไปไม่ถึงฝันในการมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ทว่าครูอุไรวรรณก็ยืนยันหนักแน่นว่า เธอรู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกศิษย์มาก และคิดว่าสิ่งที่เด็กๆ ทำมาตลอดได้บรรลุสิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือ “จิตสาธารณะ” จากการเสียสละลงมือทำโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมปัจจุบันที่ต้องการ “พลเมือง” เข้ามาช่วยกันดูแลชุมชนสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่

จากคำถามปนคำบ่นว่า “ปลาหายไปไหน ทำไมปลาถึงราคาแพง ไม่ค่อยมีปลากิน” นำมาสู่กระบวนการค้นหาสาเหตุ กระทั่งคิดเพิ่มจำนวนปลาด้วยการอนุบาลก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ แม้ความจริงที่ทีมงานพบเจอจะพลิกผันไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ผลสำเร็จของทีมงานก็สามารถวัดได้จาก “การทำงานเป็นทีม” ที่ต่างเรียนรู้ เข้าใจ และรับฟังกันมากขึ้น รวมถึง “หัวใจ” ของทีมงาน ที่เห็นปัญหาส่วนรวมเป็นภาระส่วนตน อาสาเข้ามาหาทางแก้ไขเพื่อให้พันธุ์ปลาหายากให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เติมเต็มระบบนิเวศในทะเลสาบสงขลาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์


โครงการ : สร้างแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำด้วยวิธีธรรมชาติ

ที่ปรึกษาโครงการ : ครูอุไรวรรณ อุทัย โรงเรียนชะแล้นิมิตวิทยา

ทีมงาน : นักเรียนโรงเรียนชะแล้นิมิตวิทยา

( เสาวลักษณ์ ศรีประสิทธิ ) ( สงกรานต์ ทวยภา ) ( นริสา รัตนคำ ) ( อุบลวรรณ เหมวรรโณ )