“เมล็ดพันธุ์” แห่งการสืบสานชนเผ่าอ่าข่า

­

“เมล็ดพันธุ์” แห่งการสืบสานชนเผ่าอ่าข่า

    “อ่าข่า” เป็นชนเผ่าที่จัดอยู่ในกลุ่มประชากรอันดับ 4 ของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ตาก จำนวน 95,000 กว่าคน และหากมองในภาพกว้างของทวีปเอเชีย ก็จะพบว่าอ่าข่าอาศัยอยู่ในเขต 5 ประเทศด้วยกัน คือ จีน พม่า ลาว เวียดนาม และไทย ซึ่งมีจำนวนประชากรรวมกันประมาณ 2.3 ล้านคน ซึ่งชนเผ่าอ่าข่า ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการอนุรักษ์และสืบสานพิธีการประเพณีมาช้านาน แต่ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่นิยมบริโภควัตถุ ทำให้ชนเผ่าที่ดำรงวิถีชีวิตท่ามกลางธรรมชาติและความพอเพียง สอดคล้องกับระบบนิเวศ เกิดความเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ขาดความเข้าใจต่อวัฒนธรรมของตนเอง ขาดจิตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

   นายไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก ผู้อำนวยการสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่า เชียงราย บอกว่าปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มี 6 ด้านด้วยกัน คือ 1.ปัญหาทางเศรษฐกิจ เกิดความยากจนมากขึ้น การผลิตไม่พอกิน อาหารมาจากตลาดเคลื่อนที่บนรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ ที่มาจอดถึงหน้าบ้าน ชาวบ้านแค่หุงข้าวไว้รอ มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากบนพื้นที่สูงเข้าสู่เมือง ขณะที่ทักษะความรู้น้อย ทำให้ถูกกดค่าแรง 2. ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ไม่มีเอกสารสิทธิในที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน และมีข้อจำกัดด้านสถานะบุคคล 3.ปัญหายาเสพติดกับสุขภาพมากขึ้น 4. ปัญหาสิ่งแวดล้อม ใช้สารเคมีมาก ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งพบว่าแทบไม่มีครอบครัวใดไม่ใช้สารเคมีในการทำเกษตร ซ้ำบางครอบครัวยังปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว มีการบุกรุกป่าด้วย 5. ปัญหาเด็ก เยาวชน ที่ได้รับอิทธิพลจากสื่อ และมุ่งทำตามแฟชั่นของคนในเมืองใหญ่ๆ จนละเลยความเชื่อ และวัฒนธรรมของตนเอง ปัญหาสุดท้าย คือการทำข้อมูลเกี่ยวกับทางราชการ และข่าวสารของชนเผ่าที่ออกสู่สาธารณะ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง

    “สิ่งที่ทางสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่า เชียงราย คำนึงถึงตลอดก็คือจะทำอย่างไรให้ชนเผ่ายังคงมีอัตลักษณ์ พิธีกรรม ประเพณี เพื่อให้การสืบสานชาติพันธุ์ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการเรื่องราวของอ่าข่า ก็คงจะกลายเป็นเพียงตำนานที่ผู้คนกล่าวขานถึงเป็นครั้งคราว เพราะชนเผ่าอ่าข่าจะถูกดูดกลืนในทุกๆ ด้าน จากสังคมภายนอก จนไม่สามารถดำรงวิถีแบบชนเผ่าของตนไว้ได้” ผู้อำนวยการสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่า เชียงราย อธิบาย

    “การศึกษา” จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำที่มีความรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และทำให้มีสิทธิ มีสถานะพลเมืองไทยตามกฎหมาย เพราะคนอ่าข่าให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเด็กคือเมล็ดพันธุ์ของชนเผ่า ที่จะงอกงามเติบโตขึ้นในอนาคต เริ่มจากการตั้งศูนย์เพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชนเผ่าอ่าข่า จ.เชียงราย ในปี 2524 และจัดโครงการเพื่อชีวิตเด็กและเยาวชนอ่าข่า ประเทศไทย ให้ทุนการศึกษา พร้อมเปิดบ้านพักให้เด็กอ่าข่าที่เข้ามาเรียนหนังสือมีที่พักอาศัย แต่เนื่องจากค่านิยมในการเรียนหนังสือในยุคนั้นยังมีน้อย ผู้ปกครองส่วนใหญ่มองไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา มุ่งให้เด็กช่วยทำงานในครอบครัวมากกว่า จำนวนเด็กที่เข้ามาอาศัยในบ้านพักยุคเริ่มต้นจึงมีแค่ 15-16 คน

    กระทั่งในช่วงหลังๆ ทางสมาคมฯ ได้เข้าไปทำกิจกรรมในชุมชนมากขึ้น เช่น การนำผู้อาวุโสมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องสุขภาพ สมุนไพร หรือการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน รวมทั้งด้านความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี มีการส่งเสริมอาชีพ ทำให้ผู้ปกครองเริ่มเปลี่ยนทัศนคติและส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนหนังสือมากขึ้นจนต้องมีการคัดกรอง และเช็คข้อมูลเบื้องต้นจากทางครอบครัว ชุมชน เพื่อให้เด็กที่ได้รับความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาและที่พักอาศัย มีคุณสมบัติตามที่ทางสมาคมกำหนดไว้ เช่น เป็นเด็กกำพร้า มีปัญหาทางสังคม พ่อแม่ถูกจับคดียาเสพติด หรือติดเอดส์ มีฐานะยากจน ไม่มีโรงเรียนในชุมชนรองรับเด็ก รวมทั้งเด็กที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน และอีกส่วนหนึ่งที่สมาคมคัดเลือกไว้ คือกลุ่มเด็กเก่ง หัวดี

    ความต้องการที่มากขึ้น ทำให้บ้านพักถูกขยายไปสร้างที่ อ.แม่จัน อีกแห่งหนึ่ง และให้เด็กเล็กในระดับประถมศึกษาเข้าไปอาศัยอยู่ ส่วนบ้านพักที่อยู่ในเมืองสำหรับเด็กโต ที่กำลังเรียนระดับมัธยม อาชีวศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กในโครงการเพื่อชีวิตเด็กและเยาวชนอ่าข่า ประเทศไทย จะมีกิจกรรมแตกต่างจากเด็กทั่วไป คือนอกจากเรียนหนังสือตามปกติแล้ว ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ต้องเรียนรู้กิจกรรมตามหลักสูตรท้องถิ่นอ่าข่าด้วย เช่น การสร้างความรู้ด้านสุขภาพ การรักษาความสะอาด สุขอนามัย การเกษตร ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ หัตถกรรม ทำกับข้าว การแปรรูปอาหาร ขนม การฝึกอบรมด้านวัฒนธรรม การละเล่น การเล่านิทาน การพัฒนาความเป็นผู้นำ ทักษะการช่วยเหลือตัวเอง การเรียนรู้วิถีชีวิตชนเผ่า วิธีการระดมทุน ความรู้เรื่องสิทธิ มีการจัดประชุม หรือทัศนะศึกษา เพื่อพูดคุยหรือศึกษาเกี่ยวกับพิษภัยต่างๆ ตามกระแสสังคม อาทิ เกม อินเตอร์เน็ต โลกร้อน สารเคมี ฯลฯ

    ผู้อำนวยการสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่า เชียงราย กล่าวต่อไปว่า ถึงขณะนี้เมล็ดพันธุ์ของอ่าข่า ได้ผลิดอกออกผลมาหลายรุ่นแล้ว เด็กที่จบการศึกษา และผ่านกระบวนการของทางสมาคมฯ ส่วนใหญ่กลับเข้าไปทำงานพัฒนาในชุมชนของตนเองอย่างมีคุณภาพ และมีความตระหนักถึงคุณค่าวิถีชีวิต อัตลักษณ์แห่งชนเผ่า หลายคนเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็น อบต. หรือแกนนำหมู่บ้าน บางคนก็กลับเข้าไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบพอเพียง เน้นผลิตเพื่อเป็นอาหารยังชีพ โดยลดการใช้สารเคมี และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติแวดล้อมอื่นๆ ลง มีการฟื้นฟูวิถีชีวิต ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ของอ่าข่า ทำให้ความหวังของการดำรงอยู่แห่งเผ่าพันธุ์อ่าข่ายังคงโชติช่วง แม้ว่าจะยังหลงเหลือคนอ่าข่าที่ไม่รู้หนังสือในหมู่บ้าน แต่นับวันจำนวนคนรุ่นใหม่ที่รู้หนังสือ ได้รับการศึกษาทั้งตามแบบอย่างอ่าข่า และแบบคนไทย จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    ด้านนายธนพล เฌอหมื่อ นักศึกษาฝึกงานในโครงการเพื่อชีวิตเด็กและเยาวชนอ่าข่า ประเทศไทย ของสมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอ่าข่า เชียงราย เล่าว่ารู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือและพัฒนาคนอ่าข่าด้วยกัน ประกอบกับที่ผ่านมาเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางสมาคมฯ ให้ทุนการศึกษาเรียนแพทย์แผนไทยบัณฑิต จากวิทยาลัยการแพทย์พื้นบ้าน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และหลังจากเรียนจบในปีนี้ เขาจะสามารถสอบใบผู้ประกอบโรคศิลปะ ได้ถึง 4 แขนง คือ เวชกรรมไทย ผดุงครรภ์ เภสัชกรรมไทย กับนวดแผนไทย จึงอยากถ่ายทอดความรู้เหล่านี้สู่คนอ่าข่า จะได้ยกระดับคุณภาพชีวิต และมีสุขอนามัยที่ดีขึ้น

    “ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำงานกับทางสมาคมฯ แต่หลังจากได้อยู่อาศัยในบ้านพัก ก็ทำให้ซึมซับระบบการทำงาน ที่มีความผูกพันกันเหมือนเครือญาติ และพบว่าชนเผ่าอ่าข่ายังล้าหลังในหลายๆ ด้าน เช่น ไม่มีการแพทย์ที่ทันสมัย เมื่อเจ็บป่วยหนักเกินกว่าจะรักษาพยาบาลด้วยยาพื้นบ้าน ก็ต้องเดินทางไกลเพื่อเข้ามารักษาตัวในเขตพื้นราบ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ขณะที่ด้านกฎหมาย ก็ขาดทนายความ หรือคนรู้กฎหมาย ที่จะคอยช่วยเหลือในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิทั้งในที่ทำกิน และสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ในการให้ความรู้เด็กรุ่นใหม่ หากครูเป็นคนอ่าข่า แต่มีวิทยฐานะตามที่ทางกระทรวงศึกษาธิการรับรอง ก็จะเป็นผลดีแก่เด็กและชุมชนยิ่งขึ้น เพราะคนอ่าข่าจะรู้จักวิถีชีวิต และจารีตประเพณีแบบอ่าข่าได้ดีกว่าคนพื้นราบเข้าไปสอน” นายธนพล กล่าว

    ถึงวันนี้ ทุกคนจึงต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาชนเผ่าของตัวเองให้ยั่งยืน เพราะถ้าอ่าข่าไม่ตื่นตัวช่วยเหลือกัน ไม่พัฒนาไปด้วยกัน ในอนาคตคำว่า “อ่าข่า” อาจเป็นแค่ตำนานคำเล่าขาน ว่าเคยมีคนอ่าข่า เคยมีวิถีชีวิตอ่าข่า มีประเพณี ความเชื่อ มีวัฒนธรรม แต่ไม่มีชนเผ่าอ่าข่า ปรากฏสู่สายตาชาวโลกต่อไป.