ระพีเสวนาครั้งที่ 2 รวมพลังชุบชีวีวิถีเกษตรกรรมแบบไทย "ไท"

ท่าม กลางวิกฤติด้านการเกษตร ผู้คนมากมายเลือกที่จะละถิ่นฐานและอาชีพเกษตรของครอบครัวเพื่อเข้าแสวงหา ความศิวิไลซ์ในตัวเมือง ทว่ายังมีคนกลุ่มเล็กๆ เลือกที่จะเดินย้อนกระแส และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเกษตรบนผืนแผ่นดินไทย ยังเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นวัฒนธรรม และเป็นความหวังของผู้คนในชาติ ...

 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2552 ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ “โครงการระพีเสวนา : การเรียนรู้เพื่อความเป็นไท” โดยความร่วมมือของมูลนิธิระพี -กัลยา สาคริก มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สถาบันอาศรมศิลป์ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดงานระพีเสวนา ครั้งที่ 2 เรื่อง “ภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทยไท” ขึ้น เพื่อเป็นเวทีสนทนา แลกเปลี่ยน และเผยแพร่แนวคิดและวิถีชีวิตของครูภูมิปัญญาต้นแบบด้านการพึ่งพาตนเองบนฐาน อาชีพเกษตรของไทย พร้อมทั้งเป็นเวทีแสดงเจตนารมณ์ของเยาวชนนักการเกษตรรุ่นใหม่ที่ปราวณาตนรับ ไม้ต่อเพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยด้านการเกษตร โดยมีผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการและการเกษตร ตลอดจนสื่อมวลชน เข้าร่วมงานกว่า 500 คน
เวทีระพีเสวนา ครั้งที่ 2 เรื่อง “ภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทยไท” เริ่มต้นด้วยการกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงานโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช รองประธานคณะกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล การร้องเพลงประสานเสียงของคณะนักศึกษาบัณฑิตศึกษา สถาบันอาศรมศิลป์ โรงเรียนรุ่งอรุณ โดยมี ศ.ระพี สาคริก ร่วมสีไวโอลิน และกล่าวปฐมกถาเปิดงาน ซึ่งมีใจความกระตุ้นเตือนให้เกษตรกรไทยรู้สึกรักและหวงแหนผืนแผ่นดินไทยว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องหันกลับมามองกระบวนการเรียนรู้ของภาค เกษตร ที่เป็นรากฐานหยั่งลึกถึงแผ่นดิน เกษตรกรรมไม่ใช่เป็นเพียงแค่อาชีพ แต่เป็นวัฒนธรรมและหน้าที่ต้องคอยดูแลรักษาแผ่นดิน
การ จัดเวทีระพีเสวนาในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นว่า กระบวนการเรียนรู้ของคนไทยยังไม่สามารถสร้างคนให้หยั่งรากถึงแผ่นดิน ขณะนี้เกษตรกรไทยกลายเป็นแรงงานรับจ้าง ที่ดินหลุดมือไปเป็นของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะหากสิ้นแผ่นดินเมื่อใดก็เท่ากับเป็นการสิ้นชาติ ดังนั้นการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกในระยะยาว จะต้องแก้ที่ “การศึกษา” ซึ่งหมายถึงกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้คน ให้รู้เท่าทันสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญคือขอให้ทุกคนทำเรื่องเล็กๆ ให้ได้ นั่นคือทำสิ่งดีๆ และทำอย่างจริงจัง

 

จากนั้น ศ.เสน่ห์ จามริก ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษกล่าวถึงการศึกษาเพื่อความเป็นไทว่า จะ ต้องทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษาได้ พร้อมกันไป ซึ่งที่ผ่านมา สังคมไทยนับตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อเข้าสู่การศึกษาที่ทันสมัย ได้ก่อให้เกิดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำในเรื่องระบบโครงสร้าง ที่สัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การเรียนรู้เพื่อความเป็นไทจึงมีคำถามว่า เป็นความเป็นไทของใคร อย่างไร เพื่ออะไร อันนำไปสู่การใช้สติปัญญาและหาแนวทางในการผลักดันให้เกิด
มรรคผลต่อไป
ขณะที่เวทีจุดประกายความคิดและประสบการณ์บนวิถีเกษตรกรรมพึ่งตนเอง สมณะเสียงศีล ชาตวโร จากกลุ่มสันติอโศก เล่าถึงชุมชนชาวอโศกว่า เป็น ชุมชนที่ทำเกษตรอินทรีย์ พบว่าสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ทั้งนี้ฝากไว้ว่าจากการที่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศมักเป็นผู้มีการศึกษา น้อย จึงจำเป็นต้องหมั่นค้นคว้าหาความรู้และเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมทั้งต้องศึกษาดูงานที่ผู้อื่นทำแล้วประสบความสำเร็จเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และประยุกต์ใช้ความรู้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนรักธรรมชาติ ใส่ใจการดูแลรักษาดิน มีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง และต้องรู้จักตนเอง

ด้าน ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ เจ้าของสวนธรรมเกษตร เล่าถึงประสบการณ์บนวิถีเกษตรกรรมพึ่งตนเองบ้างว่า หลังจากที่เขาลาออก

 

 

จาก อาชีพรับราชการมาเป็นชาวนา พบว่าสุขภาพของเขาและของมารดาดีขึ้นมาก ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและภาคภูมิใจในผลสำเร็จ อีกทั้งพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นแนวคิดตามที่ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม มีความเชื่อว่าการวางรากฐานที่มั่นคงแก่ชีวิตคือการทำเกษตรที่พึ่งตนเองได้ อันจะทำให้สังคมโดยรวมเติบโตมากขึ้น

ส่วน ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ แสดงทรรศนะว่า ขณะ นี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนไปสู่วิถีการเกษตรแบบใหม่ เพื่อให้หลุดพ้นจากวิกฤตินี้ ที่แม้ว่าจะมีจำนวนไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีพลัง และจะเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่นักเกษตรกรรมกลุ่มอีกอื่นๆ ต่อไป

 

ถัด จากนั้นเป็นเวทีถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้นำเกษตรกรรมพึ่งตนเอง โดยนายชัยพร พรหมพันธุ์ เกษตรกรดีเด่นจากสาขาอาชีพทำนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประจำปี 2538 กล่าวว่า สำหรับตัวเขา เมื่อเปลี่ยนวิถีการผลิตจากเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีมาเป็นการทำเกษตรอินทรีย์ แล้ว พบว่าเขามีผลผลิตดีขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี แต่ต้องหมั่นบำรุงรักษาดิน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีรายได้ สามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามลำดับ จนปัจจุบันเป็นชาวนาที่มีเงินเหลือเก็บปีละนับล้านบาทอย่างน่าเหลือเชื่อ อันเป็นผลมาจากความขยันตรากตรำทำงานล้วนๆ
ส่วนนายธงไชย คงคาลัย ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้เกษตรสมดุล สวนธงไชย –ไร่ทักสม เล่าว่า เขา ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตรใหม่ จากที่เคยทำฟาร์มปศุสัตว์ทั้ง ปลา ไก่ และสุกร จนเป็นหนี้สิน 50 ล้านบาท แต่เมื่อได้นำภูมิปัญญาดั้งเดิมด้านการเกษตรจากพ่อแม่มาเป็นแนวทางการเกษตร ใหม่ ทำให้เขาสามารถปลดหนี้สินทั้งหมดได้ โดยเชื่อว่าทางออกของปัญหาภาคเกษตรกรรมของไทย เกษตรกรต้องยึดมั่นในพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
การรักษาภูมิปัญญาดั้งเดิม และการรักษาป่าไม้อันเป็นต้นกำเนิดของทรัพยากรการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ไว้ให้ได้
นอก จากนี้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในงานระพีเสวนาครั้งที่ 2 ยังมีเวทีสืบสานภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทยไท: จากปราชญ์ถึงเยาวชน โดยครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นจากจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ปัญหาของเยาวชนทุกวันนี้ ได้รับผลพวงมาจากระบบการศึกษา ที่ไม่สามารถบ่มเพาะหรือสร้าง “คน”ให้มีคุณภาพและมีความสุขได้ เกิดคำถามว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ทุกคนในประเทศช่วยกันดูแลลูกหลานให้มี คุณภาพ มีจิตสำนึกที่ดี และมีความสุข

อย่าง ไรก็ดี ยังดีที่สังคมไทยยังมีเกษตรกรรุ่นใหม่ที่อาสารับไม้ต่อภูมิปัญญาด้านการ เกษตรของไทยไม่ให้สูญหาย นายสมพร ทองเพิ่ม เยาวชนในโครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) โดยการสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล กล่าวว่า เขารู้สึกภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรปลูกและขายกล้วยหอมในอำเภอ
ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งทำให้เขาได้เวลาทั้งชีวิตกลับคืนมาเป็นของตนเอง เวลาในชีวิตของเขาไม่ต้องตกเป็นของนายจ้างที่เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ รับเงินเดือนเป็นสิ่งตอบแทน แต่ทำให้เขาไม่มีความสุข พร้อมกันนั้น การเลือกมีชีวิตบนวิถีการเกษตรยังทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง เพราะการปลูกและขายกล้วยหอมทำให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าในอดีต ที่เคยทำงานประจำอย่างมาก

เช่นเดียวกันกับนายยุทธศักดิ์ ยืนน้อย เยาวชนในโครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ยอมรับว่า ใน อดีตเขาเคยอายที่ครอบครัวทำอาชีพเกษตรกรรม อายที่มีพ่อแม่เป็นเกษตรกร และเชื่อว่าการเรียนสูงๆ จะทำให้เขามีอาชีพที่ดีกว่าการเกษตรได้ อย่างไรก็ดีเมื่อไม่มีงานรองรับ ทำให้เขากลับบ้านมาทำการเกษตรกับครอบครัว ทั้งยังได้เข้าทำงานเป็นเจ้าที่เผยแพร่ด้านเกษตรอินทรีย์ให้แก่สหกรณ์การ เกษตรยั่งยืนแม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ได้รู้จักการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเขานำมาใช้เพื่อชำระหนี้สินของครอบครัว จนปัจจุบันเขาและครอบครัวสามารถปลดหนี้สินได้ทีละเปลาะ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น และตัวเขาเองยังตั้งใจยึดอาชีพเกษตรกรไปตลอดชีวิต

 

ขณะ ที่ น.ส.ชุติพร มะธิปิไขย เยาวชนที่ได้เรียนรู้วิถีการเกษตรจากบุคคลต้นแบบคือ พ่อผาย สร้อยสระกลาง ศูนย์เรียนรู้ทักษะชีวิตบ้านสวนไร่นา จังหวัดบุรีรัมย์ บอกว่า ตลอด เวลา 5 วัน 4 คืนที่ได้ทำกิจกรรมเรียนรู้วิถีการเกษรจากพ่อผาย ทำให้รู้ว่าโลกของผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ซึ่งเยาวชนสามารถปลูกผักชีวภาพเพื่อการพึ่งพาตนเองได้ นอกจากนั้น พ่อผายมีวิธีการสอนที่สนุกไม่แตกต่างจากการเล่น ที่ประทับใจมากคือ กิจกรรมถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เช่น การร้องหมอลำ ซึ่งบางอย่างไม่สามารถหาดูได้แล้วในปัจจุบัน

ส่วน น.ส.อำพรรณ ถนอมวรกุล เยาวชนที่ได้เรียนรู้วิถีการเกษตรจากบุคคลต้นแบบคือ แม่อุ้ยเลย์ซ่า แซ่วาง โรงเรียนแม่ริมวิทยาคม

 

 

จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เธอ รู้สึกประทับใจการทำลายผ้าม้งที่ปกติแม่จะทำให้เธอสวมใส่ แต่เธอไม่เคยมีโอกาสทำลายผ้าเองมาก่อน เมื่อมาเรียนรู้การทำลายผ้าม้งจากแม่อุ้ยเลย์ซ่า จึงรู้ว่าการทำลายผ้าม้งยากมาก และค่อนข้างใช้เวลา ทำให้ย้อนมานึกถึงตัวเองที่แม่จะทำเสื้อที่ทำจากผ้าม้งให้ใส่ปีละ 2 ชุด เธอจึงรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้สวมใส่ผ้าม้ง และในความเป็นม้งของเธอ

โดยจากตัวอย่างของเยาวชนด้านการเกษตรรุ่นใหม่ข้างต้น นายประยงค์ รณรงค์ เจ้าของรางวัลแมกไซไซประจำปี 2547 กล่าวว่า รู้สึก ภูมิใจที่เยาวชนคนรุ่นใหม่ หันมาสนใจอาชีพการเกษตร เชื่อว่าเป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรี และเป็นนายของตนเอง ขณะเดียวกันยังสามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนเองได้โดยไม่ต้องเป็นลูกจ้าง ใคร และไม่ต้องอายใครว่าเป็นลูกเกษตรกร เชื่อว่าหากเรายึดหลักวิถีความพอเพียง เกษตรกรก็จะ “ไม่โง่ ไม่จน และไม่เจ็บ” แน่นอน

ทั้งนี้ ก่อนปิดเวทีระพีเสวนาครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการโดยอาจารย์อำนวย จั่นเงิน รองประธานมูลนิธิระพี –กัลยา สาคริก
ยังมีการเปิดเวทีสะท้อนความคิดเห็นโดยนายโชคดี ปรโลกานนท์ เจ้าของสวนลุงโชค ซึ่งให้ข้อคิดว่า เกษตรกร ควรนำความรู้ที่เรียนมาคิดวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ ทั้งยังจะต้องมีความกล้าเปลี่ยนแปลง และจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้อย่างประสบความสำเร็จ ส่วนนางศิริพร โชติชัชวาลย์กุล เจ้าของสวนฝากดิน ฝากว่า เกษตรกรไม่ควรพร่ำบ่นกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่เลือกเรียนรู้จากสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นและนำมาใช้โดยการลงมือทำในทันที

เรียก ได้ว่าตลอดทั้งงานระพีเสวนา ครั้งที่ 2 เรื่อง “ภูมิปัญญาวิถีชีวิตไทยไท”ทำให้ผู้ร่วมงานได้เกิดการแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจด้านการเกษตรซึ่งกันและกัน โดยถ้วนหน้า และอย่างมิรู้ลืมเลยทีเดียว.