­

พื้นที่เทศบาลตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ประกอบไปด้วย 19 หมู่บ้าน มีประชากรราว 9 พันคน ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลัก บางส่วนออกไปทำงานในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง

คนที่ยังอยู่ในพื้นที่คือเด็กและผู้สูงอายุ...

เมื่อครอบครัวไม่ครบองค์ประกอบจึงตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ครอบครัวแหว่งกลาง” ที่พ่อและแม่ ทิ้งลูกให้อยู่กับปู่ย่าตายายอย่างลำพัง

และเมื่อคนสองวัย สื่อสารกันคนละภาษา เด็กจึงไร้ที่พึ่ง จึงไปรวมกลุ่มกัน บ้างหนีเรียน บ้างตั้งวงดื่มเหล้า และมีไม่น้อยที่ยกพวกตีกัน

แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเทศบาลตำบลเมืองแกจะมีกิจกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนค่อนข้างเด่นชัด เช่น จัดโครงการช่วงปิดภาคเรียนแล้วจ้างเยาวชนมาทำงาน ส่งเสริมให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อสังคมและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการทำความสะอาดชุมชน โดยจ้างเป็นรายวันเพื่อนำเงินที่ได้ไปแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ รวมทั้งจัดค่ายนำเด็กหัวโจกในชุมชนไปอบรมค่ายคุณธรรม นอกจากนั้นยังสนับสนุนกิจกรรมของสภาเด็กและเยาวชน เช่น การจัดงานลอยกระทงปลอดเหล้า เป็นต้น

แต่การจัดกิจกรรมในช่วงที่ผ่านมาเป็นการจัด “กิจกรรมเพื่อกิจกรรม” ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการพัฒนาเด็กไปในทิศทางใด

ปลัดสุรศักดิ์ สิงห์หาร

ปลัดสุรศักดิ์ สิงห์หาร-1

เรื่องของ “เด็ก” จึงไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง

กระทั่งปี 2556 เกิดโครงการพัฒนาเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (4 ภาค) ระยะที่ 2: หลักสูตรนักถักทอชุมชน เพื่อพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ภายใต้ความร่วมมือของสถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สุรศักดิ์ สิงห์หาร ในฐานะปลัดเทศบาลตำบลเมืองแกเห็นว่า หลักสูตรดังกล่าวน่าจะช่วยให้การทำงานพัฒนาเด็กและเยาวชนของเทศบาลฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงส่งเจ้าหน้าที่ อบต. 4 คนเข้ารับการอบรมหลักสูตรนักถักทอชุมชน

นายเผด็จ ยั่งยืน รองปลัดเทศบาลเมืองแก

นายเผด็จ ยั่งยืน รองปลัดเทศบาลเมืองแก

เผด็จ ยั่งยืน รองปลัดเทศบาลตำบลเมืองแก หนึ่งในทีมนักถักทอชุมชน เล่าว่า ที่ผ่านมาเทศบาลตำบลเมืองแกมีแผนงานเพื่อเด็กมากมาย แต่เป็นงาน “เชิงรับ” รอให้เด็กๆ ของบประมาณสนับสนุนจากเทศบาล และแผนส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักไปที่เรื่องของเด็กโตเท่านั้น ทีมจึงหารือและวิเคราะห์กันใหม่ว่า ยังมีเด็กและเยาวชนกลุ่มใดที่เทศบาลยังไม่เคยมีแผนการดำเนินงานก็พบว่าเป็นกลุ่มเด็กเล็ก จึงคิดต่อว่าหากจะจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนากลุ่มเด็กเล็กประเด็นที่ควรทำคือเรื่องอะไร

“ตอนแรกได้ข้อสรุปว่าจะทำเกี่ยวกับปัญหาเด็กก้าวร้าว พูดไม่เพราะ พยายามหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรและแก้ไขได้อย่างไร ด้วยการเปิดเวทีระดมความคิดเห็น มีผู้ปกครอง ครูจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และนักจิตวิทยาจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น โดยนักจิตวิทยาได้แสดงความเห็นว่า พฤติกรรมและอาการเหล่านั้นของเด็กไม่ใช่ปัญหารุนแรง เป็นพฤติกรรมปกติที่มักจะเกิดขึ้นตามช่วงวัย ซึ่งไม่นานอาการเหล่านั้นก็จะหายไปเอง”

แต่สิ่งที่พบในที่ประชุมคือ เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่จะอยู่กับปู่ย่าตายาย บางครั้งทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด จึงเป็นต้นเหตุของปัญหาเด็กก้าวร้าว พูดไม่เพราะ มีพัฒนาการไม่เหมาะสมกับช่วงวัย จึงนำแนวคิดนี้ไปหารือกับ กมลรัตน์ สุขแสวง “หมอเอ๋” พยาบาลประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเมืองแก ซึ่งเคยผ่านการทำโครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กและเยาวชนในพื้นที่มาแล้ว

กมลรัตน์บอกว่า ที่ผ่านมาเราทำงานส่งเสริมพัฒนาการ IQ EQ ของเด็กมาโดยตลอด จึงนำโครงการกอดกินเล่นเล่าของสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิตมาพัฒนาเป็น “หลักสูตร” ให้เหมาะสมกับเด็กในพื้นที่ โดยมองว่าถ้าจะส่งเสริมพัฒนาการเด็กต้องทำให้ครบถ้วนตั้งแต่เรื่องอาหารการกินตลอดจนสายสัมพันธ์ในครอบครัว


จากนั้นทีมนักถักทอชุมชนและวิทยากรจึงร่วมกัน “แปร” ชุดความรู้ “กอดกินเล่นเล่า” เป็นฐานกิจกรรม 3 ฐานคือ ฐานกินเกิดจากแนวคิดท่าการที่เด็กจะเติบโตแข็งแรงมีพัฒนาการที่ดีได้นั้นโภชนาการอาหารมีส่วนสำคัญมาก และการช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองหยิบจับอาหารก็จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไปพร้อมกัน ส่วนฐานเล่นก็คิดว่าหากเด็กมีของเล่นที่เหมาะสมกับช่วงวัยน่าจะเสริมพัฒนาการได้ ซึ่งของเล่นจากภูมิปัญญาพื้นบ้านก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้อย่างดีและยังไม่สิ้นเปลืองเงินอีกด้วย ส่วนฐาน “กอดและเล่า” หมายถึง “การกอด” สามารถสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กได้ผสานกับการเล่านิทานก็ช่วยเสริมสร้างทักษะและจินตนาการได้ดีเช่นกัน และเมื่อถึงวันจัดกิจกรรม พ่อแม่ผู้ปกครองกว่า 30 คนมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เผด็จเล่าว่า ก่อนที่จะเป็นกิจกรรมแต่ละฐาน ผู้เกี่ยวข้องเช่นครู นักถักทอชุมชน และที่ปรึกษา ต้องมาวิเคราะห์กันว่าแต่ละฐานจะเอาอะไรมาใช้ เช่น ฐานกิน ซึ่งส่วนใหญ่เด็กมักจะไม่กินผักก็มีการเสนอว่า น่าจะนำผักมาชุบแป้งทอด โดยให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกระบวนการทำด้วย เช่น ให้เด็กได้หยิบจับผักแต่ละชนิด สังเกต ดม และชิม ทุกอย่างสามารถเสริมสร้างทักษะให้เขาได้หมด ถ้าเขาได้ลงมือทำ ส่วนฐานกอดกับเล่านั้นเราได้เชิญปราชญ์ชาวบ้านมาช่วยเล่านิทานปรัมปราให้เด็กฟังเพิ่มความแปลกใหม่และสนุกสนานสลับกับผู้ปกครอง

ฐานกิน

ฐานกิน 

ส่วน การกอดค่านิยมไทยสมัยก่อนปู่ย่าตายายมักคิดว่าการกอดลูกหลานมากๆ จะเป็นการโอ๋มากไป ทำให้เด็กเลี้ยงยาก แต่ความจริงแล้วการกอดลูกหลานอย่างใกล้ชิดจะเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงภายในจิตใจของเด็ก ทำให้เขาเติบโตจากข้างในของเขาเอง ส่วนฐานเล่นผู้ปกครองก็จะนำของที่หาได้ทั่วไปอย่างก้านกล้วย ก้านหมาก ฝาน้ำอัดลม หรือกระป๋องแป้งใช้แล้วมาประดิษฐ์เป็นของเล่นโดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของแพงๆ แถมยังได้ความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ที่น่าห่วงคือปัจจุบันนี้ผู้ปกครองมักไปทำงานนอกบ้านไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกหลานจนบางทีก็หลงลืมไปว่าการพาลูกหลานเล่น 5 -10 นาทีก็สามารถเสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กได้แล้ว

ฐานกอดและเล่า

ฐานกอดและเล่า

ฐานกอดและเล่า

ฐานกอดและเล่า

ยายดำ บุญมี ประเจริญ อายุ 54 ปี แกนนำผู้ปกครอง วิทยากรประจำฐานเล่น เล่าว่า อยู่ที่บ้านยายต้องเลี้ยงหลานสามคน เพราะพ่อแม่เขาเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ เวลาไปตลาดแต่ละครั้งหลานก็มักจะร้องงอแงให้ซื้อของเล่นให้ แต่ราคามันแพงจึงไม่ค่อยได้ซื้อ หลายครั้งที่หลานงอน เพราะความไม่เข้าใจ ยายเลยมาร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ มาช่วยกันทำของเล่นให้หลาน เดี๋ยวนี้เวลาหลานบอกว่าอยากได้รถของเล่น ยายก็ไปเก็บกระป๋องแป้งที่หมดแล้วมาเจาะแล้วติดล้อให้หลานเล่น เขาดีใจมาก บางครั้งเห็นเขาเอาไปอวดเพื่อนด้วย

แม่หงา คำแสน ลักขษร อายุ 33 ปี แกนนำผู้ปกครอง บอกว่า ลูกเป็นคนไม่กินผักเลย ถ้าเจอจะเขี่ยออกทันที พยายามหลายวิธีก็ไม่ยอมกิน พอได้มาร่วมกิจกรรมฐานกิน ก็ได้เทคนิคใหม่ๆ ไปใช้คือการทำผักชุบแป้งทอดให้ลูกกินเหมือนขนม เขาก็สนุกที่ได้ทำกินเอง เดี๋ยวนี้ถ้าเขาเห็นแม่ทำอาหารจะรีบวิ่งมาหา ถามว่าแม่ทำอะไร อยากช่วยทำ เราก็จะแบ่งเศษผักให้เขาได้ลองหยิบจับเล็กน้อย หรือบางครั้งก็เอากระทะหรือหม้อที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้ลูกเล่น เขาก็จะมองว่าแม่ทำอะไรแล้วก็ทำตาม อย่างน้อยก็ฝึกการสังเกตให้เขาได้ เดี๋ยวนี้เห็นได้ชัดเลยว่าลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีขึ้น บางวันถ้าครูที่โรงเรียนสอนอะไร เขาจะกลับบ้านมาสอนแม่บ้าง สอนพี่บ้าง หรือบางครั้งก็ไปสอนพ่อ จากที่เมื่อก่อนนั่งดูการ์ตูนอย่างเดียว ใครจะทำอะไรเขาก็ไม่สน ตอนนี้เห็นว่าลูกเป็นเด็กร่าเริงขึ้นมากก็ดีใจ เพราะเด็กร่าเริงแสดงว่าเขาพร้อมจะเรียนรู้ตลอดเวลา และถ้าศูนย์ฯ จะจัดกิจกรรมต่อไปอยากให้นำเรื่องการรำ หรือการแสดงมาสอนจะได้ฝึกความกล้าแสดงออกให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ

ยายเทียน สายเทพ อายุ 46 ปี แกนนำผู้ปกครอง เล่าว่า ปกติเล่านิทานให้หลานฟังทุกคืนอยู่แล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอนเขาจะไม่ยอมนอน แต่พอมาร่วมกิจกรรมนี้ยายก็มีนิทานเรื่องใหม่ๆ ไปเล่าให้หลานฟัง มีเทคนิคใหม่ๆ มาใช้เล่านิทานมากขึ้น พูดถึง 3 ฐานกิจกรรม ยายชอบทั้งหมด ยายว่ามันควบคู่กันไปหมด เพราะเวลาที่เราเล่นด้วยกัน กินด้วยกัน เราก็มีความสุข แล้วเราก็เล่าให้เขาฟังเวลาเล่าเราก็กอดเขาไปด้วย เดี๋ยวนี้ยายก็มีเทคนิคใหม่เพราะหลานจะห่วงเล่น กินข้าวช้า ยายจึงเล่านิทานให้ฟังตอนกินข้าว บางครั้งก็เล่านิทานผัก บางครั้งก็เล่านิทานท้องร้องเสียงดัง เพราะเด็กไม่ยอมกินข้าว เขาก็จะกลัวแล้วก็รีบกิน ไม่อมข้าวแล้ว

อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ กิจกรรม “กอด-กิน-เล่น-เล่า” จะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเครือข่ายผู้ปกครองจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านเมืองแกทำหน้าที่เป็นวิทยากรประจำฐาน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาเป็นวิทยากรตามความสามารถและทักษะของแต่ละคน และในส่วนของศูนย์เด็กเล็กอีก 4 ศูนย์ ที่ในเบื้องต้นส่งเจ้าหน้าที่ร่วมกิจกรรมเพื่อเป็นการเรียนรู้ ก็กลับไปพัฒนาศูนย์ของตนเองต่อไป

วันนี้ผลของจัดกิจกรรม “กอด-กิน-เล่น-เล่า” เริ่มขยายไปในวงกว้าง ไม่เพียงแต่เทศบาลเมืองแกเท่านั้นที่ได้รับ “ประโยชน์” ของกิจกรรมนี้เต็มที่ ภาคีเครือข่าย ผู้ปกครอง และคนในชุมชนต่างได้รับ “ประโยชน์” จากกิจกรรมนี้กันถ้วนหน้า