เยี่ยมบ้านครูใหญ่

“โรงเรียนครอบครัวตำบลตะเคียนเลื่อน”

 

โรงเรียนครอบครัว พื้นที่ตำบลตะเคียนเลื่อน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

นวลทิพย์  ชูศรีโฉม

๕ พ.ค.๕๕

 

            จากถนนใหญ่ไปทางเข้าบ้านพี่คำปัน (นางคำปัน นพพันธุ์ : ครูใหญ่โรงเรียนครอบครัวตำบลตะเคียนเลื่อน) สอง ข้างทางวันนี้ช่างต่างจากวันที่พวกเรามาครั้งก่อน (เมื่อประมาณปลายปีที่แล้วหลังน้ำท่วมใหญ่) ตอนนั้นมีแต่ซากต้นไม้ตายแห้งหลังน้ำลดเต็มไปหมด ผิดกับวันนี้ เริ่มมีสีเขียวจากต้นกล้วย และต้นไม้ต่างๆ นาๆ ที่ชาวบ้านเริ่มนำมาปลูกเพื่อทดแทนต้นไม้ที่ตายไปกับน้ำท่วม  ที่บ้านพี่คำปันก็เช่นเดียวกัน วันนี้ทุกส่วนเต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ถูกปลูกขึ้นมาเพื่อทดแทนของ เก่า เช่น กล้วย ผักหวาน ผักบุ้ง และอีกหลายๆ อย่างๆ ตามหลักของความหลากหลาย ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทีเดียว





            ใต้ร่มกอไผ่ที่แผ่ต้นโน้มเข้าหากัน ใบปกคลุมผืนดินซุ่มน้ำที่เจ้าของบ้านนำมาราดรดเพื่อให้เกิดความเย็นไม่ต่าง อะไรกับห้องติดแอร์ อากาศเย็นได้ใจผู้ไปเยือนจริงๆ แถมมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งคุยกันพร้อมน้ำดื่มเย็นที่พี่คำปันจัดเตรียมไว้ ต้อนรับผู้มาเยือน มีคนที่มาร่วมพูดคุยครั้งนี้ ๔-๕ คน เป็นทีมครูใหญ่และกรรมการโรงเรียนครอบครัวที่พี่คำปันชวนมาร่วมคุยด้วยกับ พวกเรา สรส. (อาจารย์ทรงพล  เจตนาวณิชย์ /ผู้เขียน) ซึ่งไปเยี่ยมเยียนพื้นที่ครั้งนี้อย่างไม่เป็นทางการ  พี่คำปันบอกว่าวันนี้เป็นวันพระใหญ่กรรมการหลายท่านจึงไม่ว่าง แต่เท่าที่เห็นที่มา ๔-๕ ท่านก็ดูจะใหญ่พอแล้ว รวมถึงคุณสายัน กรีธาเวช (ครูใหญ่โรงเรียนครอบครัวตำบลเนินศาลา ตำบลโกรกพระ นครสวรรค์) ก็มาร่วมพูดคุยตามคำเชิญของอาจารย์ทรงพล ที่ตั้งใจจะให้สองพื้นที่มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันด้วยในวันนี้

 

เกษตรคือทางเลือกและทางรอด แต่...

 

      เมื่อพูดคุยกับนักการเกษตร อีกทั้งผู้ไปเยือนก็เป็นผู้ที่สนใจเรื่องการเกษตร ดังนั้นประเด็นการพูดคุยจึงเริ่มด้วยเรื่องเกษตร ซึ่งทั้งเจ้าบ้านและผู้ไปเยือนนั้นมีความคิดตรงกัน คือ “เกษตรคือทางเลือกและทางรอดของคนไทย”  โดย อาจารย์ทรงพลได้เล่าถึงการนำนักเรียน “โรงเรียนบุตรเกษตรกร” ที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี ไปดูงานด้านเกษตรที่จังหวัดนครนายกให้ทุกคนฟัง ประเด็น คือ “ทำอย่างไรเมื่อพาไปดูงานแล้วชาวบ้านนั้นจะนำกลับมาลงมือทำอย่างจริงจัง”  การพูดคุยเรื่องเกษตรครั้งนี้นับว่าจับคู่คุยได้ถูกต้องเพราะผู้เข้าร่วมพูด คุยฐานคือการทำเกษตร ยิ่งพี่คำปันด้วยแล้วเป็นผู้ชำนาญการด้านการเกษตรด้วยวิธีคิดการทำเกษตรแบบ “กิน แจก แลก ขาย” คือ ไม่ปลูกมาก ปลูกไว้กินก่อน เหลือเอาไว้ขาย และกำหนดราคาด้วยตัวเอง จะขายเท่านี้ หากใครกินแล้วบอกว่าอร่อยก็ให้เขามาดูว่าเราปลูกอย่างไร ดูแล้วหากเขามีบุญ เขาคิดได้ เขาก็เอาไปปลูกกิน   

      ที่บ้านพี่คำปัน เป็นศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร ด้วยหน้าที่งานประจำของพี่คำปันคือ “เกษตรตำบล” ด้วยเนื้อที่ประมาณ ๑๐ กว่าไร่ ปลูกไปด้วยทดลองไปด้วย “บางครั้งก็ขาดทุน แต่ได้กำไร กำไรคือความรู้ที่เราจะนำไปบอกชาวบ้าน เราขาดทุนไม่เป็นไรแต่ชาวบ้านนำความรู้ไปใช้แล้วต้องไม่ขาดทุน... เราอยากได้ความรู้เพื่อต่อสู่กับวิกฤติ อาเซี่ยนที่จะเข้ามาเกษตรกรจะปรับตัวอย่างไร จัดการอย่างไร.” พี่คำปันกล่าว

        ปัญหา คือ “ความเชื่อของชาวบ้าน”

      “อย่างไรให้ชาวบ้านปรับเปลี่ยนวิธีคิดแล้วลองสิ่งใหม่”ชาวบ้านเน้นการปลูก ปริมาณเยอะๆ ที่ดินของตัวเองไม่พอก็ไปเช่าพื้นที่คนอื่นทำ ด้วยความเชื่อที่ว่าปลูกเยอะก็ได้เยอะ แต่ขาดการจัดการ

 

      “ทำอย่างไรให้ชาวบ้านที่ไปดูงานแล้วกลับมาคิดมาทำอย่างจริงจัง”

      เป็นประเด็นการพูดคุยที่ใช้เวลาคุยกันอยู่นาน จากการพูดคุย พอสรุปได้ว่า

      เริ่มตั้งแต่การคัดคนที่จะไปดูงาน ต้องเลือกคนที่สนใจจริง ซึ่งจะต้องโยงไปถึงเป้าหมายการชีวิตของเขาด้วยว่า “ความสุขของเขาคืออะไร” จำนวนที่จะพาไปไม่ต้องมากประมาณ ๓-๔ คนก็พอ (เพราะไม่ใช่ไปเที่ยว) ไปเรียนรู้แบบให้ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ ไม่ใช้แค่ไปดูเฉยๆ และเมื่อกลับมาแล้วผู้นำจะต้องทำให้ดูและมีแปลงทดลองเป็นตัวอย่าง และต้องจัดการอย่างต่อเนื่องเหมือนทดลองสิ่งใหม่และทำวิจัยไปในชีวิต และที่สำคัญ ”ใช้รูปแบบของโรงเรียน และมีบันใดการพัฒนายกระดับ”

 

      พี่คำปันได้เล่าถึงนำชาวบ้านทำเกษตรแบบปลดหนี้ “ปลูกน้อย ปลูกหลายๆ อย่าง ใช้การจัดการเข้ามา” ตอนนี้มีตัวอย่างของคนที่ทำแล้วปลดหนี้ได้ แต่มีจำนวนไม่กี่คน ...ฟังแล้วน่าสนใจวันหลังต้องมาเรียนรู้ด้วยแล้ว

      “ใครอยากปลดหนี้ยกมือขึ้น”

      ทำแบบไม้เน้นปริมาณ แต่เน้นการจัดการเข้ามา ติดตามให้กำลังใจ ทำให้เขาไปรอด จากที่เขาทำเยอะ ๆ กลับมาตั้งหลัก ทำน้อยเท่าที่มี ไม่เช่าที่แต่ปลูกให้หลากหลาย

      ตั้งเป้ารายได้ เช่น ปีนี้จะต้องมีรายได้ ๑ แสน

      โจทย์ คือ ๑ แสนจะได้มาอย่างไร

จากนั้นสำรวจทุน มีอะไรอยู่และต้องหาอะไรเพิ่ม ใช้ใจ ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ “ให้เขาวิเคราะห์ให้เขาสรุป และให้เขาเลือกด้วยตัวเอง  

การวัดผลต้องวัดผลเป็นรายเดือน วัดผลจากที่เขาดีขึ้น รายได้ สุขภาพ ความสุข คือตัวชี้วัด

ตั้งราคาผลิตผลเองได้ จุดขายคือ ปลอดสาร รับรองรอดแน่เพราะมีรายได้ทุกวัน ...หากตราบได้เกษตรกรไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเองก็จะอยู่ไม่ได้ ไปไม่รอด

 “เริ่มจากจุดเล็ก ทำแบบมีความรู้ มีการเก็บข้อมูล ทำแบบต่อเนื่อง เรียนแบบไม่มีวันสิ้นสุด ยกระดับการเรียนรู้ เชื่อมโยงกับเป้าหมายชีวิตและเรื่องลูกหลาน”

 

  การพัฒนาลูกหลานโดยใช้การเกษตรเป็นเครื่องมือ

โจทย์สำคัญ คือ “ทำอย่างไรให้เด็กหันกลับมาสนุกเพลิดเพลินกับเรื่องเกษตร”

“ต้องมีพี่พาเรียน เพราะเป็นวัยใกล้เคียงกัน เรียนแบบเล่นไปด้วย เรียนไปด้วย”

“ต้องมีความต่อเนื่อง”

“ผู้ปกครองต้องเข้าใจกระบวนการเรียนรู้”   เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะความคิดของผู้ปกครองคือ “ฉันส่งลูกมาเรียน ไม่ใช้มาปลูกต้นไม้หรือทำเกษตร หากจะเรียนเรื่องเกษตร ฉันสอนเองก็ได้”  น้าน!

 

“โรงเรียนครอบครัว” คือ ความต่อเนื่อง





บอกเล่าการดำเนินงานโรงเรียนครอบครัว

ในการขับเคลื่อน “โรงเรียนครอบครัวของตำบลตะเคียนเลื่อน” นั้นพี่คำปันในฐานะครูใหญ่โรงเรียนครอบครัวตำบลตะเคียนเลื่อนเล่าว่า

      ตอนนี้มีคณะกรรมการโรงเรียนครอบครัวแล้ว ซึ่งมาจากตัวแทน ๑๒ หมู่บ้านครบทุกหมู่โดยใช้ฐานกรรมการของศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร ตำบล ซึ่งเป็นกรรมการที่รู้จักกันมีจิตอาสา รู้จักกันมาทำงานด้วยกัน คุยกันรู้เรื่อง

      กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียน เช่น โรงเรียนวัดวังยาง ที่เป็นหมู่ที่พี่คำปันอยู่ และยังมีพื้นที่โรงเรียนในหมู่อื่นด้วย เช่น โรงเรียนวัดเกาะหงส์ เป็นต้น  ซึ่งตอนนี้โรงเรียนได้คัดกลุ่มเป้าหมายมาให้แล้วระดับหนึ่ง แต่คิดว่าจะต้องคิดใหม่อีกครั้ง

      แผนที่จะทำต่อไปคือ การเข้าไปประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจเรื่อง “โรงเรียนครอบครัว” ในวันปฐมนิเทศนักเรียนของโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจ เหมือนเป็นการประชาสัมพันธ์รับสมัครไปในตัว เป็นการคัดครอบกลุ่มเป้าหมายอีกครั้ง ซึ่งจะเน้นเด็กนักเรียนระดับ ป.๓-ป.๖ เน้นจุดขาย คือ  “การเรียนวิชาชีวิต คือการเรียนเพื่อการเติบโตให้คนเป็นอย่างเต็มคน”  ครูใหญ่โรงเรียนครอบครัวกล่าว

เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายแล้ว จัดเชิญกลุ่มเป้าหมายพร้อมครอบครัวพ่อแม่ผู้ปกครองมาทำความเข้าใจและทำเป้าหมายร่วม “เราจะเน้นการพัฒนาทั้งครอบครัว”

 

ข้อเสนอแนะของผู้ไปเยือน

อาจารย์ทรงพล ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงาน ว่า

      กรรมการโรงเรียนจะต้องคิดเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เพราะเกณฑ์เป็นเงื่อนไขความสำเร็จที่สำคัญเราจะได้วัตถุดิบที่ดีในระดับ หนึ่งที่นำมาพัฒนาต่อไป หากมีไม่เกณฑ์ใครๆ ก็อยากจะฝากลูกเข้ามา อาจด้วยวิธีคิดที่ว่ามีคนช่วยดูแลลุกได้ไม่เป็นภาระตนเอง ดังนั้นควรมีเกณฑ์

“ไม่เน้นปริมาณฯ เน้นเรื่องใจ ทำน้อยแต่ทำเชิงประณีต จัดการได้ เราต้องหวังผลให้เกิดความสำเร็จ”

      ข้อควรระวังคือ วิธีคิดของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มองว่า สิ่งที่เราชวนทำเป็นภาระ เสียเวลาทำมาหากินเขา ทางแก้คือ เราจะต้องสื่อสารทำความเข้าใจ กาให้ผู้เกี่ยวข้องรับรู้ภาพรวม รู้บทบาทหน้าที่ เน้นให้เขามีส่วนร่วม ซึ่งการมีส่วนร่วมของพ่อแม่คือ เน้นให้เขามีส่วนช่วยที่บ้าน ช่วยสังเกตลูก สอนลูกในวิถีชีวิต ให้มีความถี่ ความต่อเนื่อง เดือนหนึ่งอาจจะนัดมาพบกันเพื่อช่วยกันประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของลูก

      ตัวจักร ตัวเชื่อมที่สำคัญ คือ “นายหมู่” คือ รุ่นพี่ชั้นมัธยมต้น ถึงมัธยมปลายที่ไปเรียนข้างนอก เพื่อมาเป็นครูผู้ช่วย “พี่พาน้องเรียน” เพราะเด็กคุยกับเด็กรู้เรื่อง และพาเล่นสนุก กรรมการต้องคิดเกณฑ์คัดเลือกนายหมู่ เช่น พาน้องเล่นได้ มีใจรักที่จะทำกิจกรรม อยากจะพัฒนาตนเอง เมื่อได้นายหมู่มาแล้วจะต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เขาจะทำนั้นเป็นประโยชน์ กับชีวิต โยงกับเป้าหมายชีวิตเขาอย่างไร

กรรมการต้องคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีนักเรียนกลุ่มเป้าหมายว่า กิจกรรมที่เราจะพาทำเป็นการช่วยเสริมช่วยเหลือโรงเรียนอย่างไร

กลุ่มที่น่าสนใจมีอยู่ ๓ กลุ่ม คือ (๑) กลุ่มเยาวชน ซึ่งเรียนรู้จากฐานการเรียนรู้ (๒) กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง เรียนรู้เรื่องฐานอาชีพ และ (๓) กลุ่มผู้สูงอายุ กิจกรรมของเด็กสามารถเชื่อมร้อยกับกลุ่มผู้สู่อายุได้ เช่น เด็กคนไหนอยากเป็นพยาบาล แล้วความเป็นพยาบาลจะมาเชื่อมกับผู้สูงอายุอย่างไร เป็นต้น

ที่สำคัญ คือ การทำงานจะต้องใช้ข้อมูล ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลนายหมู่ ข้อมูลผู้ปกครอง นักเรียน เพื่อนำมาออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ซึ่ง พ่อแม่ผู้ปกครองก็เป็นครูได้





      การพูดคุยกันครั้งนี้ น่าจะเปิดประโยชน์หลายสถานในกาลเดียว ทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องงานก็คงได้แนวทางการทำงานต่อ ส่วนเรื่องชีวิตสำหรับผู้มาเยือนคงจะมองเห็นเส้นทางชีวิตที่จะดำเนินไปใน เส้นทางการเกษตรอย่างชัดเจนมากขึ้น  แต่ละฝ่ายทั้งเจ้าบ้านและผู้มาเยือนดูจะคุยกันถูกคอทีเดียว เพราะจบการพูดคุยแล้วเจ้าบ้านได้มีน้ำใจต้อนรับด้วยอาหารกลางวันที่สุดแสนจะ อร่อยที่ลงมือช่วยกันทำเอง ข้าวกล้องสุขภาพหุงร้อนๆ น้ำพริกปลาทอด ห่อหมก และผิดลวกชนิดต่างๆที่เก็บจากสวนมาสดๆ ตบท้ายด้วยมังคุดรสชาติดีคัดเก็บมาต้อนรับคนที่ไปจากเมืองกรุง ปลอดสารพิษแต่เต็มไปด้วยสารอาหาร ขอบคุณเจ้าบ้านและท่านผู้ร่วมวงพูดคุย

ไว้ครั้งหน้าพวกเราจะมาเจอกันอีกนะ. โรงเรียนครอบครัวตะเคียนเลื่อน”.

 

ผู้ร่วมพูดคุย :

  ทีมพื้นที่ตะเคียนเลื่อน : คุณคำปัน นพพันธุ์ /คุณสนิท  บุญศิลป์ /คุณสุรัตน์  แซ่ตัน / คุณปลิว  จันทร์ทองคำ /คุณสมบัติ  ทองอ่อน

  ทีมพื้นที่เนินศาลา : คุณสายัน  กรีธาเวช

  ทีม สรส. : อาจารย์ทรงพล  เจตนาวณิชย์ /คุณนวลทิพย์  ชูศรีโฉม

 

การดำเนินงานโครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ของเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น (๔ ภาค)

สนับสนุนโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)