
“เรียนรู้รากเหง้า” กับเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา
การพัฒนาสังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้วิถีชีวิตที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่าย เป็นครอบครัว ชุมชน มีการพึ่งพาตนเอง เปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย มีวิถีแบบใหม่ที่เน้นการแข่งขันและการบริโภคเป็นหลัก เด็กและเยาวชนเริ่มห่างจากวิถีภูมิปัญญาท้องถิ่น มาเรียนรู้วิชาในห้องเรียน โดยมีเป้าหมายห่างไกลจากอาชีพเดิมของพ่อแม่ ต่างมุ่งหวังเข้าไปอยู่ในระบบราชการ บริษัท ธนาคาร หรือระบบธุรกิจ ไม่ใช่การสืบต่ออาชีพหรือความรู้ ภูมิปัญญาบรรพบุรุษ ทั้งยังได้รับการปลูกฝังทัศนคติให้ไม่อยากทำนา ทำไร่ เลี้ยงควาย ทอผ้า จักสาน หรืองานที่ใช้แรงกายเลี้ยงชีพ แต่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ซื้อกินซื้อใช้ ซึ่งคิดว่าสะดวกสบายกว่า
นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ หัวหน้าโครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา อธิบายว่า ด้วยแนวคิดที่ถูกปลูกฝัง ประกอบกับอิทธิพลของสื่อ เด็กเยาวชนรุ่นใหม่จึงไม่อยากอยู่ในชุมชน และถึงอยู่ก็ทำอะไรไม่เป็น ทั้งที่พ่อแม่ทำงานหนักสายตัวแทบขาด แต่ลูกๆ ดิ้นรนเข้าไปทำงานในเมือง ไปสมัครเป็นลูกจ้าง เช่าบ้าน ซื้ออยู่ซื้อกินในเมือง สภาวการณ์เช่นนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา จึงเกิดขึ้นเพื่อร่วมคลี่คลายวิกฤตการณ์ของเยาวชน โดยเริ่มจากการรับอาสาสมัครเยาวชนที่ต้องการกลับบ้านเกิดหรือกลุ่มเยาวชนที่ต้องการทำงานเพื่อบ้านเกิดของตัวเอง จัดกระบวนการเรียนรู้การสืบสานภูมิปัญญาที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาร่วมกัน
ทำให้เยาวชนได้ศึกษาเรียนรู้ชุมชนของตนเอง จากที่เคยคิดว่าหมู่บ้านตัวเองล้าสมัย สู้ในเมืองไม่ได้ ก็เริ่มรู้จักชุมชนตนเองลึกซึ้งขึ้น รู้ว่าชุมชนตัวเองมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เริ่มรู้ที่มาของตัวเองและตระกูล เห็นคุณค่าความรู้ภูมิปัญญาของชุมชน และเกิดความภาคภูมิใจในชุมชนบ้านเกิดของตัวเอง แต่พบว่าเมื่อเยาวชนกลับมาอยู่บ้านในช่วงแรกๆ เพื่อพูดคุยกับคนในชุมชนและศึกษาข้อมูลชุมชน มักจะถูกพ่อแม่มองว่าเป็นคนไม่มีทางไป และยังถูกกดดันด้วยว่า “อุตส่าห์ส่งเรียนหนังสือ พ่อแม่ลำบากลำบน เรียนจบแล้วไม่ไปหางานหาการทำอีก กลับมาอยู่บ้านทำไม” เยาวชนต้องอดทนพูดคุย ทำความเข้าใจกับคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง รวมทั้งพิสูจน์จากการปฏิบัติ จนเห็นผลงานจึงยอมรับ และภาคภูมิใจในลูกตัวเอง
“ที่สำคัญในกระบวนการศึกษาของเยาวชน ที่ไปเรียนรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อครู แม่ครู ยังเป็นการทำให้ผู้อาวุโส ครูภูมิปัญญา ที่มีความห่วงใยเยาวชนลูกหลานและอยากถ่ายทอดความรู้ให้อยู่แล้ว เกิดการเปลี่ยน แปลงตัวเอง จากที่เคยมีความรู้สึกห่อเหี่ยว ว้าเหว่ ไร้คุณค่า ก็เกิดพลังขึ้นมา รู้สึกตัวเองมีคุณค่า และร่วมสนับสนุนเยาวชนสืบสานภูมิปัญญาอย่างเต็มที่ จนสามารถนำไปปฏิบัติ หรือใช้ในชีวิตประจำวันได้” หัวหน้าโครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา กล่าว
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ปะปะ หรือหนาน ประธานกลุ่มเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา บ้านหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เล่าถึงกิจกรรมการเรียนรู้ภายในท้องถิ่นว่า ในครอบครัวผู้หญิงจะช่วยแม่ทำอาหาร เก็บของป่า หาฟืน ทอผ้า เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ส่วนผู้ชายไปช่วยพ่อทำนา ทำสวนชา ทำไร่หมุนเวียน เลี้ยงควาย จักสาน สำหรับงานส่วนรวมทุกคนจะช่วยกัน ทั้งการดูแลป่า ดับไฟป่า งานโรงเรียน งานประเพณี พิธีกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน
ทั้งนี้ช่วงเวลาการเรียนรู้จะแตกต่างกันออกไป เช่น เรียนจักสานในวันพระ เพราะทุกคนได้หยุดในวันพระ โดยการจักสานถือเป็นภูมิปัญญาที่โดดเด่นของชาวปกาเกอะญอ ที่ผู้ชายทุกคนควรสืบทอด ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มเยาวชนได้ฝึกจักสาน ไปพร้อมๆ กับการเขียนบันทึกขั้นตอนการเรียน เพื่อใช้สอนรุ่นน้องที่สนใจต่อไปด้วย ส่วนบทธา (บทเพลง หรือบทสำหรับร้อง) และอื่อธา (บทขับร้องที่เป็นคำสอนในงานประเพณีต่างๆ)ส่วนใหญ่จะเรียนในช่วงเกี่ยวข้าว เพราะไม่มีข้อห้าม ร้องได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ แต่บางบทก็ร้องได้เฉพาะพิธีกรรม เช่น บทธาในพิธีศพ ก็ต้องไปเรียนในบ้านที่มีการจัดพิธีศพ ซึ่งจะมีการร้องบทธากันนับร้อยบท ตลอดทั้งคืนเป็นช่วงๆ เพื่อส่งดวงวิญญาณผู้ตาย
บางครั้งกลุ่มเยาวชนก็เดินทางไปศึกษาเรียนรู้เรื่องในเมือง ตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งเขาบอกว่า แอร์เย็นจนหนาว คนซื้อของกันเป็นว่าเล่น แม่ค้าพ่อค้าขายของมากมายในห้าง คนเดินไปเดินมามากมายแต่ไม่รู้จักกัน อาหารก็แพง น้ำก็ต้องซื้อกินขวดละ 10 บาท ในห้างเปิดไฟสว่างจ้า บันไดเลื่อนขึ้นลงใช้ไฟฟ้าทุกอย่าง คงจะเปลืองมาก แตกต่างกับที่หมู่บ้านแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ประธานกลุ่มเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา บ้านหินลาดใน ยังบอกด้วยว่า เราต้องให้ความสำคัญกับการรู้จักตัวเอง ถ้าปกาเกอะญอไม่รู้จักความเป็นคนปกาเกอะญอ ก็จะทำให้ขาดรากฐาน ขาดหลักยึดในชีวิต ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง นอกจากนี้ต้องมองความสำคัญของชุมชนที่ตนเองอยู่ให้รอบด้าน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว เช่น ชุมชนสามารถดูแลรักษาป่า จัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของชุมชนได้ ก็ต้องอธิบายให้คนภายนอกได้เข้าใจด้วย และบอกได้ว่าในป่ามีอะไรบ้าง เกื้อกูลกับวิถีชีวิตของคนอย่างไร
นายชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช ผู้ประสานงานโครงการเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา 4 ภาค กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันเด็กและเยาวชนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้กับชุมชน ซึ่งมีประมาณ 30 กลุ่ม หรือราว 500 คน ปรับ เปลี่ยนทัศนคติอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเลือกที่จะอยู่บ้าน ทำงานพัฒนาชุมชนของตนเอง เข้าไปมีบทบาทเป็นผู้นำชุมชน และประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบปลอดสารพิษ หรืองานหัตถกรรม แทนการออกจากหมู่บ้านไปทำงานรับราชการ หรือเป็นลูกจ้างตามโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัท ร้านค้าในเมือง
ต่างตระหนักดีว่าหมู่บ้านของตนเองมีประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตมากกว่าในเมือง ทั้งยังได้อยู่ร่วมกับพ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อนบ้าน ที่พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ต้องเช่าบ้าน ไม่ต้องซื้อกินทุกอย่าง ดังนั้นแม้จะมีรายได้น้อยกว่าการออกไปทำงานต่างถิ่น แต่เมื่อมองในภาพรวมก็ถือว่าคุ้มค่ากว่าทุกๆ ด้าน เยาวชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างสบาย หากมีความพอเพียง รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
นับเป็นการสร้างค่านิยมใหม่สวนกระแสบริโภคนิยมที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และขยายผลสู่เยาวชนในวงกว้างมากขึ้น เพราะแต่ละปีมีเยาวชนที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศนับแสนคน แต่ภาคราชการ และธุรกิจ กลับรองรับคนได้น้อยลง โอกาสการได้งานทำจึงลดลงเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องน่าวิตกว่าเยาวชนเหล่านี้จะทำอย่างไร และไปอยู่ที่ไหน หลังจากจบการศึกษา?
สำหรับกลุ่มเยาวชน ที่สนใจอยากเข้าร่วมเรียนรู้เครือข่ายเยาวชนสืบสานภูมิปัญญา สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่นายชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช โทรศัพท์ 0-2437-9445 หรือเว็บไซต์ www.seubsan.net