นางสาวณิชนันทน์ ทรัพย์ศิริ
นักเรียน โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ฯ กรุงเทพฯ
ตำแหน่งที่ได้รับในโครงการต่างๆ
ประวัติและผลงาน

การสนับสนุนของที่บ้านและงานอาสาในชีวิตประจำวัน
พูด ถึงที่บ้านให้ฟังว่า ตอนไปทำจิตอาสาที่โรงพยาบาลเด็ก กลับมาก็เล่าให้คุณตาฟัง คุณตาก็บอกด้วยความเป็นห่วงหลานว่า ไปทำไมเดี๋ยวจะไปติดเชื้อเอา เรายังดูแลตัวเองไม่ได้เลย  แตงโมก็บอกว่าเต็มใจช่วยเขา ไม่เป็นไรหรอก ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ซึ่งมีอาชีพรับราชการกลับบอกว่าดีแล้วที่ได้ไปช่วยเหลือ เรามีโอกาสมากกว่าควรจะช่วยเหลือเขา แต่การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างนี้ พ่อแม่ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยมากเหมือนกัน



พูด ถึงกิจกรรมจิตอาสานี้ มีโอกาสให้ทำในชีวิตประจำวัน แตงโมเล่าว่าตอนที่เขาจัดงานวันพ่อที่ถนนราชดำเนิน (ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2552) มีซุ้มของกระทรวงการคลัง กลุ่มของน้องๆโรงเรียนสายน้ำผึ้งเดินผ่านซุ้มก็ถูกเรียกไปช่วยขายของ ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่เมื่อมีพี่คนหนึ่งขอร้อง ก็เลยช่วยถือป้ายเชิญชวนให้ประชาชนให้มาซื้อของ ตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน



ประสบการณ์และความประทับใจ
แตงโมบอกว่า ประทับใจที่ได้ไปสอนน้องวาดรูป ตอนนั้นตัวเองวาดรูปส่วนเพื่อนคนอื่นไปเล่นคอมเล่นลูกโป่งกับน้อง เมื่อมีน้องๆเข้ามาถามว่าพี่วาดอะไรสอนให้หนูวาดหน่อย แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว เราอาจจะให้ความสุขเขาไป เขาอาจไม่สุขเท่ากับที่เราตั้งใจให้ก็ได้ เราอาจไม่ได้ความสุขกลับมาเต็มร้อยเหมือนที่ให้เขาไป แต่ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองจากการได้แบ่งปัน ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นจาก เดิมที่เป็นคนใจร้อนมากๆ การมาทำงานแบบนี้ได้มีโอกาสฝึกตัวเองว่าต้องใจเย็นไว้ อย่างเช่นตอนชวนน้องเล่น ตอนแรกน้องเขาเงียบไม่พูดอะไร ชวนเล่นก็ไม่พูด  เราก็ต้องใจเย็นๆ มีสติมากขึ้น อย่างเช่น น้องจุรินทร์ ตอนแรกเข้าไปเขาจะเงียบๆ พอเราทำโน่นทำนี่ เช่น วาดรูป เขาก็จะสนใจและเริ่มพูดมากขึ้น เหมือนเขาไว้ใจเรา  หรืออย่างกรณีน้องออมที่เพิ่งผ่าตัดหลังมา มีครั้งหนึ่งที่เขาตกเก้าอี้  รู้สึกว่าน้องเขาเจ็บ แต่เราเองกลับตกใจและรู้สึกสงสารน้องเขามาก เหมือนเจ็บแทน 




อะไรที่ได้เรียนรู้มากขึ้น
แตงโมบอกว่าได้เรียนรู้เยอะอธิบายไม่ถูก แต่สามารถยกตัวอย่างให้ฟังได้จากการสังเกตตัวเองที่มีความเป็นระเบียบและละเอียดลออมากขึ้นแต่ ก่อนถูกที่บ้านดุเอาบ่อยว่าหัดมีความละเอียดลออบ้างสิ การไปทำกิจกรรมจิตอาสาในโรงพยาบาลทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น ต้องเก็บของให้น้อง ทั้งๆที่บ้านเราไม่รู้จักการเก็บข้าวของให้เรียบร้อยเลย นอกจากนี้ทักษะอื่นๆ เช่น ได้เรียนรู้การพับกระดาษ จากที่ไม่เป็นเลย ก็ได้ฝึกหัดและเรียนรู้ที่จะเอามาใช้ประโยชน์ การไปสัมผัสประสบการณ์ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะตอนที่น้องต้องเข้าผ่าตัดหลังและพักฟื้น แตงโมก็พยายามให้น้องนั่ง ให้น้องเดิน   (ไม่นอนกับที่อย่างเดียว) ระหว่างเดินก็ช่วยถือถุงน้ำเกลือให้ด้วย ทำให้แตงโอยากเรียนรู้และฝึกหัดการดูแลคนป่วยเพิ่มมากขึ้น เช่น ช่วยพยาบาลทำแผลให้น้องๆ




ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แตงโมบอกว่า ตัวเองนอกจากรู้จักการให้มากขึ้นเช่นเดียวกับเบล ก็มีการแบ่งเวลา มีสมุดบันทึกเวลา เพราะเป็นคนขี้ลืมจึงต้องจดไว้ทุกอย่าง จากนิสัยที่เป็นคนอยากเอาชนะ จะทำก็จะทำให้ได้อยู่แล้ว การมาทำจิตอาสายิ่งทำให้แตงโมมีแรงกระตุ้นมากขึ้น มีการวางแผนการเรียนโดยติวการสอบวาดภาพเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้เวลาว่างน้อยลง แต่ถ้าเราแบ่งเวลาไว้แล้ว เมื่อเห็นว่าว่างก็จะไปโรงพยาบาลเลยทันที แต่ถ้าไม่ว่างก็ต้องทำใจไม่ไป แม้ใจจะอยากก็ตาม เพราะแตงโมคิดว่าการเรียนก็สำคัญที่สุด 



การ จัดการเวลาของแตงโม มีตัวอย่างคือเวลาครูให้งานหรือการบ้านก็จะทำทันที ทำให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น  เวลาที่แบ่งไปทำกิจกรรมจิตอาสานั้นคุ้มค่า เพราะเราได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์  ได้แบ่งปันให้ความสุขให้น้องๆที่โรงพยาบาลเด็ก ได้ใช้ความสามารถและจุดเด่นในการวาดภาพของตัวเองไปสอนวาดภาพให้น้อง ทำให้แตงโมเข้าใจน้องมากขึ้น เพราะภาพช่วยสื่อความรู้สึก เช่น ความเครียด ความกดดันที่น้องได้รับอยู่ 




จิตอาสากับวัยรุ่น
แตงโม คิดว่าจิตอาสากับวัยรุ่นเป็นแบบกึ่งๆ จะเกี่ยวหรือก็ได้ไม่เกี่ยวข้องก็ได้ บางคนอาจชอบบางคนอาจไม่ชอบก็ได้ วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอาจคิดเรื่องแฟน แต่วัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งอาจคิดถึงความสุขคนอื่นแต่วัยรุ่นส่วนนี้ไม่ค่อยคิดเรื่อง (จิตอาสา) นี้กัน