เวทีความคิดจาก: ศูนย์การเรียนรู้บ้านดินและพลังงานทดแทน
Aoh Omicute
ศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานทดแทน ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 ภายใต้การช่วยเหลือของ กรมพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน หรือ พพ.จากการที่โรงเรียนสัตยาไสเป็นศูนย์การเรียนรู้ในด้านคุณธรรมควบคู่การ เรียน มุ่งเน้นการสร้างคนดีเหนือสิ่งใด จนทำให้มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านอื่นๆ ขึ้นมานั้นยังจะเป็นประโยชน์เพิ่มเติมให้กับคณะเยี่ยมชมอีกด้วย
     


ศูนย์การเรียนรู้บ้านดินและพลังงานทดแทน

จากการที่โรงเรียนสัตยาไสเป็นศูนย์การเรียนรู้ในด้านคุณธรรมควบคู่การเรียน มุ่งเน้นการสร้างคนดีเหนือสิ่งใด จนทำให้มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านอื่นๆ ขึ้นมานั้นยังจะเป็นประโยชน์เพิ่มเติมให้กับคณะเยี่ยมชมอีกด้วย

โรงเรียนสัตยาไส เป็นโรงเรียนประจำที่เน้นการสอนควบคู่กับหลักคุณธรรม ทำเลตั้งอยู่กลางสภาพแวดล้อมด้วยธรรมชาติ ปลูกข้าว และผลิตของใช้ขึ้นใช้เองภายในโรงเรียน อยู่อย่างพอเพียงและพึ่งตนเองได้และยังเป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาดูงานในหลายด้าน อาทิเช่น ศูนย์การเรียนรู้บ้านดินด้านพลังงานทดแทน ศูนย์การเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง  ยุวเกษตร การทำเกษตรอินทรีย์ นาโยน  การผลิต

น้ำดื่มน้ำใช้ การฝึกสมาธิ การผลิตน้ำยาล้างจาน สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างห้องน้ำ ยาสมุนไพร ทางโรงเรียนได้จัดสร้างบ้านดินขึ้นมา เพื่อเรียนรู้เรื่องพลังงานทดแทน การพึ่งตนเอง ประกอบไปด้วย การเรียนรู้ 8 ด้านในขั้นต้น ดังนี้
 

  1. การผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ สำหรับบ้านดิน

  2. การปลูกพืชผักลอยน้ำสำหรับรับประทาน

  3. การปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์

  4. การกลั่นและกรองน้ำ สำหรับบริโภคและอุปโภค

  5. การหุงข้าวด้วยเตาแสงอาทิตย์

  6. การผลิต โบคาฉิ บอล บำบัดน้ำเสีย

  7. ฐานจักรยานปั่นไฟ

  8. นิทรรศการพลังงานทดแทน


กิจกรรมทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสำคัญหลัก คือ การจัดการเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้เวลาเกิดเหตุอุทกภัย เน้นการพึ่งพาตนเองและเอาตัวให้รอดจากภาวะวิกฤต  ซึ่งบางนวัตกรรมนั้น สามารถที่จะใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุอุทกภัย  และเป็นการประหยัดพลังงานด้วยเช่น การหุงข้าวด้วยเตาแสงอาทิตย์  เป็นต้น  ความรู้นวัตกรรมต่างๆของศูนย์การเรียนรู้นี้เมื่อสร้างเสร็จแล้ว และได้มีผู้เข้าเยี่ยมชม ก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ยิ่งเวลาผ่านไป องค์ความรู้ที่ให้และได้รับ ยิ่งถูกต่อเติมและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เกิดประโยชน์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับ บริบทท้องถิ่นของตนเองต่อไป