เรื่องเล่าบุญกฐิน...เยาวชนชาวดินบ้านโคกกลาง
วราภรณ์ หลวงมณี และศักดา เหลาเกตุ
“ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว พึงให้กรานกฐินแก่ภิกษุชื่อนี้เพื่อกรานกฐิน นี่เป็นญัตติ
ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว พึงให้กรานกฐินแก่ภิกษุชื่อนี้เพื่อกรานกฐิน ท่านรูปใดเห็นด้วยกับการให้ผ้ากฐินนี้แก่ภิกษุชื่อนี้เพื่อกรานกฐิน ท่านรูปนั้นพึงนิ่ง ท่านรูปใดไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วง
ผ้ากฐินนี้อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุนี้เพื่อกรานกฐิน สงฆ์เห็นด้วย เพราะเหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าขอถือความนิ่งนั้นเป็นมติอย่างนี้”
ข้อความข้างต้น เป็นคำประกาศที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแนวทางไว้ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ที่เรียกว่า ญัตติทุติยกรรมวาจา คือ การตั้งเรื่องหรือญัตติขึ้น จากนั้นก็ลงความเห็นรับรู้ร่วมกัน โดยมีพระเถระที่ฉลาดเป็นผู้ดำเนินการประชุม หรือ ภาษาพระเรียกว่า สวดกรรมวาจา 1 ครั้ง หากไม่มีภิกษุรูปใดทักท้วงก็เป็นการลงมติเห็นชอบร่วมกัน เป็นอำนาจของสงฆ์ ที่พระทุกรูปต้องถือปฏิบัติ
บุญกฐินครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ผู้เขียนได้ศึกษามากขึ้น แม้จะเคยไปร่วมทอดกฐินหลายครั้ง แต่การรับรู้ของเราก็ไม่ได้เห็นความสำคัญที่มากไปกว่าการทำบุญกิริยาอย่างอื่นแต่อย่างใด ครั้งนี้ผู้เขียนต้องศึกษาลึกขึ้นเพื่อนำมาบอกเล่าและจัดกระบวนการให้กับเด็กๆ การศึกษาครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นวิธีการแก้ปัญหาของของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้กระทำอย่างรอบคอบ มีเรื่องเล่าว่า พระภิกษุชาวเมืองปาฐา 30 รูป พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ไปไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงพักจำพรรษาที่เมืองสาเกต ออกพรรษา


แล้วพากันเดินกรำฝนกรำแดด มีจีวรเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน พอไปถึงแล้วก็เข้าเฝ้า พระองค์ทรงเห็นความลำบากของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้รับผ้ากฐินได้ ในขณะเดียวกันก็ทรงตระหนักถึงการไม่ให้ขัดพระวินัยที่ได้ทรงตั้งไว้เดิม (การถือผ้าในจำนวนที่จำกัดเพื่อลดความอยากและการสะสม) อานิสงส์ที่ทรงกำหนดไว้ก็อยู่ในระยะเวลาที่จำกัด และกระทำได้เฉพาะพระสงฆ์บางรูปที่มีคุณสมบัติเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ถือว่า
เหมาะสมที่จะรับเงื่อนไขพิเศษนั้น ไม่ใช่ใครก็ได้ พระองค์ทรงกำหนดที่ว่า ภิกษุผู้ควรรับผ้าองค์กฐินต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน และมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 รูป ภิกษุผู้ควรรับผ้าองค์กฐิน ได้แก่ พระเถระให้ผู้ใหญ่ในสงฆ์ เป็นผู้มีจีวรเก่ากว่าเพื่อน หรือเป็นผู้ฉลาดสามารถที่จะทำกรานกฐินให้ถูกต้องได้ โดยในเบื้องต้นทรงมีพระพุทธานุญาตพร้อมกับทรงแสดงอานิสงส์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาแล้ว กรานกฐิน ภิกษุทั้งหลายผู้กรานกฐินแล้วจะได้อานิสงส์ 5 อย่าง คือ 1. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา 2. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ 3. ฉันคณะโภชนะได้ 4. ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามความต้องการ 5. พวกเธอจะได้จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น


ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอผู้กรานกฐินแล้วย่อมได้อานิสงส์ 5 อย่างนี้แล”
จากการที่ผู้เขียนได้สืบค้นทั้งจากตำราและฟังผู้รู้ในชุมชน ทำให้เห็นราย ละเอียด และเรื่องราวอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับ “บุญกฐิน” ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของแกนนำเยาวชนที่เป็นพี่เลี้ยงจะต้องทำความเข้าใจ และย่อยเรื่องราวเหล่านี้ให้เข้าใจได้ง่าย พวกเราเลือกใช้คำสั้นๆ เพื่อให้พวกเขาจำได้ พร้อมกับใช้วิธีการทวนหลายรอบประกอบเข้าไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังได้พาไปพบกับของจริง และได้ฟังเรื่องราวที่สืบทอดกันมาของชาวบ้าน เรื่องราวอาจสอดคล้องบ้างหรือแตกต่างกันไปบ้างในบางตอน เพราะเรื่องราวเหล่านั้นได้ถูกนำไปผูกร้อยกับวิถีปฏิบัติ ความคิด และความเชื่อ เพื่อสื่อกับชาวบ้านทั่วๆ ไปที่ยังมีความเชื่อที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น การผสมกลมกลืนกันแบบนี้จึงทำให้พระพุทธศาสนายังอยู่คู่สังคมไทยได้อย่างเหนียวแน่น พวกเราชาวดินในฐานะผู้จัดกระบวนการเรียนรู้จึงจำเป็นที่ต้องทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นและเข้าใจทั้ง 2 แบบนี้ด้วย
พวกเราเริ่มต้นด้วยการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อนำพาน้องๆ ให้รู้จักคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง ดังเช่น คำว่า กฐิน คำนี้ มาจากภาษาบาลีแปลว่า ไม้สะดึง หรือ กรอบไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อประโยชน์ในการตัดเย็บ ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า กฐิน ใช้ใน 2 ความหมาย คือ 1. เป็นชื่อผ้า และสังฆกรรม หรือ พิธีกรรมของสงฆ์ 2. เป็นชื่อการทำบุญของชาวพุทธ โดยมีผ้าเป็นสื่อกลาง กล่าวคือ กรณีแรก กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายพระสงฆ์ให้เป็นกฐิน ภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ ผ้าฟอกสะอาด ผ้าเก่า ผ้าบังสุกุล (ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) หรือผ้าที่ขายตามท้องตลาดก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์หรือเป็นพระภิกษุสามเณรก็ได้ จากนั้น พระสงฆ์จะต้องทำสังฆกรรม หรือขั้นตอนพิธีทางสงฆ์ มีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง และอนุโมทนากฐินเป็นขั้นตอนสุดท้าย กรณีที่สอง กฐิน เป็นชื่อของบุญกิริยา หรือ การทำบุญ ด้วยการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ 3 เดือน เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่ขาดหรือจะขาด
การทำบุญถวายผ้ากฐิน นิยมเรียกกันว่า ทอดกฐิน หมายถึง ทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์ เมื่อกล่าวคำถวายจบแล้ว พระสงฆ์ก็รับว่า สาธุ พร้อมกัน เจ้าภาพจะต้องนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์เฉยๆ ไม่ประเคนด้วยมืออีก ดังนั้น กิริยาที่นำผ้าไปวางไว้นั้น จึงนิยมเรียกกันสืบๆ มาว่า ทอดกฐิน การทอดกฐินเป็น กาลทาน มีเวลาจำกัด คือ การถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน มีเงื่อนไขที่ต้องให้ความสำคัญทุกขั้นตอน จึงถือว่าหาโอกาสทำได้ยาก
หลังจากพวกเราปูพื้นฐานเกี่ยวกับงานบุญกฐินกับน้องๆ เรียบร้อยแล้ว เราก็ชวนน้องๆ เดินไปบ้านเจ้าภาพที่ตั้งกองกฐิน ซึ่งเจ้าภาพในปีนี้ตั้งใจที่จะทอดกฐินเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับแม่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และเมื่อไปถึงพวกเราก็ได้ขอให้พ่อสวัสดิ์ ซึ่งเป็นมัคทายกวัด และเป็นผู้รู้ในชุมชนได้เป็นคนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุญกฐินฉบับชาวบ้าน (บ้านโคกกลาง) ให้พวกเราได้เรียนรู้ พ่อสวัสดิ์เล่าว่า


มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นคนตระหนี่อย่างเหนียวแน่น ไม่เคยทำบุญกุศลใดเมื่อเวลาที่มีชีวิตอยู่เลย มุ่งแต่เก็บสะสมทรัพย์สินเงินทองซ่อนไว้ มิให้ใครรู้ สถานที่ซ่อนทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ที่หัวสะพานท่าน้ำหน้าบ้านตน ครั้นต่อมาเศรษฐีได้สิ้นชีวิตลง ขณะที่จิตใจเป็นห่วงถึงทรัพย์ที่ซ่อนไว้ ทำให้ไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติ จระเข้อดีตเศรษฐีระลึกชาติเก่าของตนได้ รู้สึกทรมานกับชีวิตที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ได้ไปเข้าฝันภรรยาและลูกให้ไปขุดสมบัติเอาไปทำบุญ ภรรยาและลูกได้ไปขุดสมบัติจัดเป็นองค์กฐินเพื่อจะนำไปถวายวัดในฤดูทอดกฐิน ฝ่ายจระเข้อดีตเศรษฐีก็ดีใจ ว่ายน้ำตามขบวนเรือแห่กฐิน แต่เนื่องจากวัดอยู่ไกล จระเข้หมดแรงว่ายน้ำต่อไปไม่ไหว ภรรยาและลูกจึงให้ช่างวาดรูปจระเข้ใส่ธงไปแทน เมื่อทอดกฐินเสร็จ ภรรยาก็อุทิศส่วนกุศลให้ว่า บัดนี้เศรษฐีผู้ล่วงลับได้เอาทรัพย์มาทอดกฐินถวายพระแล้ว ขณะนั้นจระเข้ก็จะโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ พอทอดกฐินเสร็จ พระอนุโมทนาให้พรจบ จระเข้นั้นก็มุดน้ำหายไปเลย ทุกวันนี้ก็เลยมีธรรมเนียมอันนั้นขึ้นมา จระเข้คาบดอกบัวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการทอดกฐิน
ส่วนรูปนางสุวรรณมัจฉา พบแต่เพียงเล่าว่า ใช้ประดับเพื่อนำทางเบิกทางในทางน้ำ และเรียกผู้คนให้มาร่วมงานกัน แต่มีผู้อธิบายโดยอิงหลักธรรมว่า เป็นปริศนาจากธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านกล่าวถึงภัยของภิกษุใหม่ โดยยกอุปมากับสิ่ง 4 ชนิด คือ 1. วังวน (กามคุณ 5 ความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) 2. คลื่นลม (คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ถ้าทนคำสั่งสอนไม่ได้ก็เหมือนกับเรือที่ล่มลงกลางทะเลวัฏสงสาร) 3. จระเข้ (ความเห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ไม่ปฏิบัติธรรม) 4. ปลาร้าย (เพศตรงข้ามที่จะมาเอาไปกินเสียก่อนที่จะบรรลุมรรคผล) เขาก็เลยสร้างรูปนางมัจฉาขึ้นที่จะทำให้ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถตั้งอยู่ในพรหมจรรย์

พ่อสวัสดิ์เล่าเพิ่มเติมว่า “องค์กฐิน” ต้องมีส่วนที่เป็นบริขาร 8 เป็นบริขารที่จำเป็นขาดไม่ได้ คือ 1) ผ้าสังฆาฏิ 2) ผ้าจีวร 3) ผ้าสบง 4) ผ้าประคตเอว 5) ผ้ากรองน้ำ 6) บาตร 7) มีดโกน และ 8) เข็ม ส่วนบริขารได้แก่เครื่องใช้สอย เช่นผ้าปูนั่ง ผ้าอาบน้ำ ผ้าห่มหนาว เสื่อ หมอน ถ้วย โถ โอ จาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีก็ได้ถือว่าไม่ห้าม

นอกจากการเรียนรู้เรื่องราวของงานบุญกฐินแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนจะละเลยไม่ได้ก็คือ การช่วยงานบุญ แม้บุญกฐินครั้งนี้จะมีเจ้าภาพ แต่คนในชุมชนก็ยังคงมาช่วยเหลือกันเหมือนกับเป็นงานวัด ทั้งการเตรียมกองบุญ การเตรียมสถานที่ อาหารและเครื่องดื่ม การดูแลแขกเหรื่อที่มางาน เป็นต้น พวกเราก็ได้ชักชวนให้น้องๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลืองานเหล่านี้ด้วย อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของน้องๆ คือ “ไอติมหลอดบ้านดิน” พวกเราได้ไปเสนอเจ้าภาพว่าจะทำไอติมมาสมทบ เจ้าภาพดีใจมากประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงทั้งวัน เด็กๆ ก็ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ โดยมีพี่โอ๋และพี่หน่องเป็นแกนนำพาน้องๆ ทำ การแจกไอติมรอบแรกเกิดการมะรุมมะตุ้มเหมือนฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย เมื่อศึกแห่งการแย่งชิงไอติมได้เบาบางลง น้องๆก็ได้นำไอติมเดินไปให้กับผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั่งอยู่ในงานบุญ จนได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม “มีคนพาคิดพาทำเด็กมันก็กล้านะ ดูแล้วมีสัมมาคารวะ รู้จักที่ต่ำที่สูง ถ้ามันไม่เข้ามาทำแบบนี้ มีรึมันจะกล้าทำ...” พวกพี่ๆ ก็ยิ้มหน้าบานไปตามๆ กัน

หลังจากเสร็จงานบุญกฐินในช่วงบ่าย ยังพอมีเวลาที่จะพูดคุยกันก่อนค่ำ พวกเราได้ชักชวนเด็กๆ ลงไปที่ศูนย์เรียนรู้ชาวดินเพื่อถอดบทเรียน หลายคนประทับใจเรื่องเล่าของพ่อสวัสดิ์ บางคนประทับใจความสามารถที่สามารถตอบปัญหาเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธประวัติที่พ่อสวัสดิ์ตั้งคำถามมา บางคนรู้สึกประทับใจการได้ช่วยเหลืองานและได้เห็นการช่วยเหลือกันของชาวบ้าน บางคนก็รู้สึกประทับใจที่ได้เรียนรู้เรื่องราวของบุญกฐิน หลังจากสรุปบทเรียนเกี่ยวกับบุญกฐินเสร็จ ผู้เขียนก็ได้ชักชวนเด็กๆ ย้อนรำลึกถึงความเป็นมาของศูนย์เรียนรู้ชาวดิน โดยมีพี่ศักดาเป็นผู้เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันให้ ทำให้น้องๆ ได้เห็นความพยายามของพี่ๆ ที่จะก่อเกิดสถานที่แห่งนี้ บางคนบอกว่า “ดีจังเลย...ทำไมเราเกิดไม่ทันช่วงนั้น” เราก็มองเห็นว่าเด็กๆ เหล่านี้ก็อยากมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์ดีๆ แก่ชุมชนของพวกเขา ผู้เขียนจึงชักชวนต่อว่า “แล้วพวกเราจะทำอะไรดีหละ เพื่อเป็นการสืบต่อสิ่งที่พี่ๆ ทำมา” สิ่งดีๆ ก็ได้พร่างพรายออกมา ดังเช่น “สร้างบ้านดินเพิ่ม เพาะเห็ด ปลูกผัก เลี้ยงปลา แสดงละคร แสดงหมอลำ ขายของในตลาดชุมชน ฯลฯ” ผู้เขียนจึงให้หามติร่วมกันว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี วันนั้นก่อนแยกย้ายกันกลับพวกเราก็ได้แผนระยะสั้นคือ จะทำแปลงผักปลูกผักในวันพรุ่งนี้ และในวันอาทิตย์หน้าเราจะเปิดตลาดชุมชนอีกครั้งหนึ่ง น้องๆ ก็จัดสรรกันว่าใครจะทำหรือหาอะไรมาขาย เมื่อผักของพวกเขาเติบโตเขาก็จะได้ขายผักในตลาดชุมชนต่อไป

ถ้ามองตามหลักของการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ดูเหมือนบุญกฐิน กับการปลูกผักจะไปกันคนละเรื่อง บางคนอาจคิดว่า “มาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันได้อย่างไรหนอ” แต่ถ้ามองในมุมของการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้ชีวิตเป็นตัวตั้ง สิ่งเหล่านี้ก็มิได้แยกจากกันเลย งานบุญประเพณีต่างๆ ก็เกิดจากการร้อยวัตรปฏิบัติ การทำมาหากิน ฤดูกาล และความเชื่อเข้ามาด้วยกันให้แนบแน่น การพูดคุยกันในวงโสเหล่ของชาวอีสานก็เช่นเดียวกัน มันมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นมามากมายไม่ได้จบเป็นประเด็นๆ ไป แต่การพูดคุยกันบ่อยๆ ก็ทำให้เกิดการกลั่นกรองและนำไปสู่การปฏิบัติ บางอย่างทำในระดับปัจเจก บางอย่างนำไปทำต่อในระดับชุมชน เรื่องราวของชีวิตจึงไม่ได้แยกส่วน และหาจุดเชื่อมจุดต่อกันได้ไม่ยาก

เรื่องเล่าบุญกฐิน ในมุมของทิดศักดา
“บุญกฐิน” ที่บ้านโคกกลางปีนี้มีเจ้าภาพถวายเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว ไม่มีการเรี่ยไรจตุปัจจัยจากชาวบ้านเพราะมีเจ้าภาพแล้ว ซึ่งเจ้าภาพรับหน้าที่หมดทุกอย่างในการเตรียมงาน การร่วมมือของชาวบ้านจึงมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นญาติพี่น้องช่วยกันเตรียมงาน ในส่วนของศูนย์เรียนรู้ชาวดิน พวกเราได้จัดกิจกรรมกับน้องๆ ในวันโฮม คือ วันที่ทำบุญที่บ้านเจ้าภาพ ชาวบ้านมาร่วมกันทำบุญ นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพุทธมนต์ที่บ้าน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลหาญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว และเป็นวันแห่องค์กฐินรอบหมู่บ้านพร้อมมีมหรสพในตอนกลางคืนอีกด้วย เช้าวันรุ่งขึ้นเรียกว่าวันถวายกฐิน เจ้าภาพก็ต้องแห่กองกฐินไปถวายที่วัด
ในวันโฮมนั้น เริ่มด้วยการนัดน้องๆ มารวมกันที่วัด เพื่อจัดกิจกรรมตอนแปดโมงครึ่งโดยประมาณ น้องๆ เริ่มทยอยออกมาที่วัด เมื่อมากันครบเกือบหมดแล้ว ในระหว่างที่รอเพื่อนๆ ให้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน พี่โอ๋ก็ได้ตรวจสมุดบันทึกความดีของแต่ละคน และพี่โอ๋ก็ได้พาน้องทวนความรู้เรื่อง “ฮีตสิบสอง” ว่ามีบุญอะไรบ้าง น้องๆช่วยกันตอบ บ้างก็ตอบถูก บ้างก็ผิด บางคนก็มั่วตอบเดือนนี้ไม่ถูกก็ไล่ตอบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูก สร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนๆ จากนั้นไม่นานผมก็มาถึงที่วัด หลังจากที่เดินทางไปเอาเสื้อ “บุญกฐิน” ที่ขอนแก่นมาแจกน้องๆที่เข้าร่วมกิจกรรม ในช่วงที่ผมถือถุงเสื้อเดิมไปหาน้อง น้องบางคนวิ่งเข้ามาหาเพื่อที่จะช่วยบางคนก็วิ่งมาเพื่อที่จะได้เห็นลายเสื้อก่อนเพื่อน เพื่อที่จะได้เป็นคนแรกที่จะเล่าให้เพื่อนฟังว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นลายเสื้อก่อนใครๆ เมื่อถึงสถานที่จัดกิจกรรม น้องต่างล้อมวงกันเข้ามาเพื่อดูเสื้อ ผมก็ได้ดึงเสื้อออกมาโชว์ น้องๆต่างร้องออกมาว่า ว้าว!!!! สายมาก... น้องทุกคนต่างก็ชอบเสื้อของบุญกฐินกันทุกคน (ใช่สิก็ของฟรี)

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการทวนอีตสิบสองอีกครั้ง ครั้งนี้พี่อ้อย เป็นคนนำในการทวน ทีแรกน้องก็ช่วยกันตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พอแบ่งออกเป็นสองทีม คือ ทีมชายกับทีมหญิงสลับกันตอบ น้องต่างช่วยกันตอบอย่างเต็มที่ เมื่อการทวนฮีตสิบสองผ่านไป ก็ได้แบ่งกลุ่มน้องๆออกเป็น 5 กลุ่ม แล้วก็มีพี่เลี้ยงไปประจำกลุ่ม แจกเสื้อบุญกฐินและด้านหลังของเสื้อจะมีลายสกรีนข้อความที่เกี่ยวข้องกับบุญกฐิน

ครั้งแรกจะให้น้องๆช่วยกันอ่านก่อน จากนั้นก็ให้พี่เลี้ยงถามน้องๆทีละบรรทัดว่ามันมีความหมายว่าอย่างไรพร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเต็มให้น้องได้เข้าใจถึงความหมาย ทีแรกน้องก็งงไม่ค่อยตอบเพราะไม่เข้าใจความหมาย พี่เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นผู้อธิบายให้น้องฟัง เมื่ออธิบายเสร็จก็เป็นการทวน โดยให้น้องๆทวนความเข้าใจของตนเองว่า แต่ละบรรทัดมีความหมายว่าอย่างไร น้องบางคนก็จำได้ บางคนก็จำไม่ได้ คนที่จำไม่ค่อยได้ เห็นเพื่อนตอบ ก็ตอบเสริมช่วยเพื่อนเวลาล่วงมาจวนเที่ยงวันแล้ว กิจกรรมต่อไปก็จะได้พาน้องที่มาเข้าร่วมกิจกรรมไปช่วยงานที่บ้านเจ้าภาพกฐิน แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ต้องไปทำไอติมหลอดมาเลี้ยงชาวบ้านที่มาร่วมการแห่กองกฐินที่บ้านเจ้าภาพนำทีมโดยโอ๋เล่และมีน้องๆไปช่วยอีกสามคน ส่วนกลุ่มที่ 2 มีสมาชิกเกือบสิบคน กลุ่มนี้ทำหน้าที่บริการน้ำและอาหารเที่ยงให้กับผู้ที่มาร่วมงาน และกลุ่มที่ 3 ทำหน้าที่ ล้างถ้วยจานในงาน เมื่อแบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยก็ได้เดินทางไปที่บ้านเจ้าภาพ เมื่อไปถึงบ้านเจ้าภาพก็ได้เจอพระสงฆ์กำลังเทศนาให้โยมฟังอยู่ สายตาของผู้คนที่อยู่บ้านเจ้าภาพ หรือแม้แต่คนที่กำลังฟังเทศน์อยู่ต่างก็หันมาดู ด้วยความโดดเด่นจากการใส่เสื้อบุญกฐินของน้องทุกคน และการเดินไปเป็นขบวนใหญ่ จึงตกเป็นเป้าสายตาได้ง่าย เจ้าภาพก็ตอนรับเป็นอย่างดี ถามว่ากินข้าวกันหรือยัง ถ้ายังไม่กินก็จะหามาให้กิน ทีแรกก็เลยให้น้องๆ เข้าไปนั่งฟังพระท่านเทศนาก่อน จากนั้นผมก็ได้เดินที่ครัวเพื่อที่อยากจะรู้ว่าทางเจ้าภาพกินข้าวกันหรือยัง ปรากฏว่าทางเจ้าภาพได้กินข้าวเที่ยวกันแล้ว กลุ่มที่เตรียมมาว่าจะมาบริการอาหารก็เลยไม่ได้ทำ และกลุ่มที่เตรียมมาล้างถ้วยก็ไม่ได้ทำเพราะทางเจ้าภาพก็ล้างเกือบเสร็จแล้ว ทางเจ้าภาพก็จะหาอาหารมาให้น้องกินผมก็เลยบอกว่าไม่ต้องยกมาให้ เดี๋ยวให้น้องๆไปยกมากันเองดีกว่า เพื่อเป็นตามความประสงค์เท่าที่เราตั้งไว้และพอทำได้
หน้าที่ที่เตรียมไว้แม้จะไม่ได้ทำ แต่น้องๆ ก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ เมื่อกินเสร็จก็ช่วยกันเก็บไปไว้ที่ครัว แต่ก็ไม่ได้ล้าง เพราะมีเจ้าหน้าที่ล้างประจำที่อยู่และก็หลายคนด้วย ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ให้พ่อสวัสดิ์ซึ่งเป็นคนที่มีความรู้เรื่องราวของบุญกฐิน ได้เชิญท่านมาให้ความรู้เกี่ยวกับบุญกฐินที่บ้านเจ้าภาพ เมื่อพ่อสวัสดิ์มานั่งที่เก้าอี้ที่เราเตรียมไว้ให้ ท่านก็เริ่มเล่าเรื่องความเป็นมาของบุญกฐินให้น้องๆฟัง เล่าถึงองค์ประกอบที่สำคัญของกองกฐินว่ามันจะมีผ้า 5 อย่าง เหล็ก 3 อย่าง ซึ่งผ้าห้าอย่างที่ว่าก็คือ ผ้าจีวร ผ้าสังฆาฏิ ผ้าสบง ผ้าอังสะ สายประคต เหล็กสามอย่างที่ว่าคือ บาตร มีดโกน และมีดตัดเล็บ และส่วนอื่นๆ ที่เป็นเครื่องประกอบนั้นก็ขึ้นอยู่ตามยุคตามสมัยที่วัดอาจขาดแคลน ส่วนใหญ่ก็เป็นถ้วยโถโอชาม หมอนเสื่อ

จากนั้นเมื่อพ่อสวัสดิ์เล่าจบแล้วก็เล่าเรื่องพุทธประวัติ โดยเป็นการเล่าไปถามเด็กไปด้วยว่า ใครเป็นคนนี้? คนนี้เป็นใคร ? สถานที่ไหนสำคัญ? เด็กก็แย่งกันตอบอย่างสนุกสนาน ...
เวลาบ่ายสามโมงโดยประมาณ เป็นช่วงที่ได้เวลาแห่กองกฐินรอบหมู่บ้าน ชาวบ้าน ญาติพี่น้องต่างก็เริ่มทยอยออกมาที่บ้านเจ้าภาพ เสียงกองยาวที่จะมาเป็นดนตรีประกอบในการแห่ครั้งนี้เริ่มดังขึ้นแล้วคลายกลับเป็นเสียงสัญญาณบอกว่าพร้อมที่จะแห่แล้วให้ชาวบ้านรีบออกมา เจ้าภาพแจกของจากกองกฐินให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานได้ถือเพื่อร่วมขบวนแห่อาทิเช่น หมอน,เสื่อ,บาตร,ผ้าไตร,เป็นต้น ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็ได้ถือเครื่องกฐินทุกคน ยกเว้นเด็กที่ไม่มีอะไรให้ถือ เพราะเด็กต้องรอแย่งลูกอมและเหรียญที่ทางเจ้าภาพเตรียมไว้แจกฟรี หัวขบวนเป็นในการแห่กฐินรอบหมู่บ้านจะมีคนถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดถนนนำหน้าขบวน จากการได้เข้าไปสอบถามปรากฏว่า การกวาดนี้เป็นการกวาดเสนียดจันไรให้ออกไปไม่ให้เข้ามาใกล้การกฐิน ในระหว่างมีทั้งพ่อเฒ่าที่จุดบั้งไฟตะไรเป็นระยะ ทุกครั้งที่มีการจุดบั้งไฟตะไร ทุกคนต่างก็หันมาให้ความสนใจทั้งนั้น อีกอย่างที่สร้างสีให้กับขบวนแห่นั้นก็คือ การหว่านลูกอมและเหรียญบาทขึ้นฟ้าและเรียกอีกอย่างว่าหว่านกัลปพฤกษ์ เมื่อลูกอมและเหรียญตกลงพื้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็จะแย่งกันเก็บใครเก็บได้ก็ได้ไปเลย ใครช้าใครไม่กล้าก็อด จากการสืบทราบมา ผมได้ยินว่าน้องๆที่เราทำกิจกรรมด้วยวันนี้เป็นเซียนในการเก็บกัลปพฤกษ์ทั้งนั้น...

การให้ใช้เวลาไม่นานมาก ขบวนแห่ก็ได้โค้งกลับมาที่บ้านเจ้าภาพเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งที่เด็กได้ทำเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย นั้นคือไอตีมหลอด เมื่อขบวนแห่กลับมาถึง น้องๆเด็กผู้หญิงเป็นคนทำหน้าที่แจกไอตีม เมื่อทุกคนทราบว่ามีไอตีมแจก ต่างก็สนให้ความสนใจ และเมื่อเป็นเช่นนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้น มือที่ยื่นมาขอไอตีมเรียงรายกันจนน่าตกใจ เสียงที่ส่งออกมาว่า ขอหนึ่งอัน สองอัน เพื่อเอาไปให้คนนั้นคนนี้ดังกล้องไปหมด ทังเด็กทั้งคนแก่ต่างก็มายืนรอกันอย่างแน่ถนัด บ้างคนที่ไม่ทันใจ เขาเลือกยิบหลอดไอตีมไปแคะเอง น้องๆก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ ไม่นานไอติมก็หมดถัง แต่ก็ได้เตรียมน้ำหวานไว้เยอะที่จะสามารถทำไอติมได้ 3-4 ครั้ง น้องจึงเริ่มกรอกไอติมใหม่อีกครั้ง 20 นาทีผ่านไปไอติมก็แข็งได้ที่ ครั้งนี้คนเริ่มทยอยหนีหมดแล้ว เหลือแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ น้องๆจึงช่วยกันเดินแจกไอตินให้ผู้ใหญ่ทุกคนที่เหลืออยู่ในงาน ดูจากสีหน้าขอน้องๆแล้วคงจะมีความสุขจากการได้ลงมือทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่น
ตะวันลอยต่ำลงเรื่อยๆ เริ่มค่ำแล้ว น้องต่างช่วยกับเก็บอุปกรณ์การทำไอติมไปล้าง แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวที่จะดูหนังกลางแปงที่เจ้าภาพได้ไปว่าจ้างมาเป็นมหรสพในงานกฐินครั้งนั้น
งานบุญประเพณีครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าผมได้เห็นพิธีกรรมของบุญกฐินตั้งแต่ต้นจนจบ ได้เห็นในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้จะปฏิบัติกันมาทุกๆ แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสก็พึ่งได้รู้ว่ามันมีรายละเอียดที่มากมายเช่นกัน แม้แต่การกวาดถนนนำหน้าขบวนแห่ ผมก็พึ่งได้มาเห็นครั้งนี้นี้เอง จากการได้เห็นได้ยินได้ฟัง ผมเริ่มเข้าใจบุญกฐินมากขึ้น การที่ให้น้องได้มาเห็นได้มาร่วมกิจกรรมงานบุญอย่างนี้ผมคิดว่า มันสนุกกว่าการไปนั่งเรียนอธิบายให้กันฟังตั้งเยอะ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เขามามีส่วนร่วมในงาน ได้เห็นพิธีกรรม ได้ทำเพื่อผู้อื่น ถ้าสิ่งเหล่าเขาได้ทำซ้ำเรื่อย เข้าก็จะเข้าใจบุญประเพณีได้อย่างลึกซึ้งแน่นอน

ข้อปรับปรุงในการทำกิจกรรมครั้งต่อไปคือ บุญกฐินครั้งนี้เป็นกฐินที่มีเจ้าภาพ การให้ความสนใจของคนในชุมชนจึงไม่มากนัก ครั้งต่อไปผมอยากให้เป็นกฐินชุมชนหรือกฐินหมู่บ้าน คือกฐินที่ไม่มีเจ้าภาพหลัก เป็นกฐินที่ชาวบ้านโคกกลางทุกคนเป็นเจ้าภาพ กิจกรรมของกฐินหมู่บ้านมีทั้งจุดพุแข็งกันเป็นคุ้ม ปล่อยโคมลมโคมไฟ เครื่องกฐินชาวบ้านก็ออกมาช่วยกันทำที่วัด ดังนั้น ผมคิดว่ากฐินหมู่บ้าน การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนคงมากกว่าเดิม การให้ความร่วมมือของคนในชุมชนก็น่าจะมีมากขึ้น ปีหน้าผมคาดว่าคงจะสนุกกว่านี้แน่นอน...