เรื่องเล่าบุญบั้งไฟ...เยาวชนชาวดินบ้านโคกกลาง โดย Webmaster โครงการพี่แอ๋ม
รุ่งนภา จินดาโสม

บุญบั้งไฟ...ฮีตที่เชื่อมความสัมพันธ์มนุษย์กับสรรพสิ่ง

วราภรณ์ หลวงมณี, วรรินทร์ โสภา และศักดา เหลาเกตุ : เล่าเรื่อง

บุญบั้งไฟ...ฮีตที่เชื่อมความสัมพันธ์มนุษย์กับสรรพสิ่ง

วราภรณ์ หลวงมณี, วรรินทร์ โสภา และศักดา เหลาเกตุ : เล่าเรื่อง

เริ่มเรื่อง

วราภรณ์ หลวงมณี

เมื่อสายฝนเริ่มโปรยปรายสู่พื้นดิน ความเป็นชุมชนเริ่มคึกคัก ผู้คนที่ไปขายแรงงานต่างถิ่นเริ่มกลับบ้านเพื่อเตรียมการหว่านไถในฤดูกาลทำนา ขณะเดียวกันทั้งเด็กน้อย คนหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ต่างเริ่มถามไถ่ผู้นำชุมชน “ปีนี้ได้วันทำบุญบั้งไฟหรือยัง” “จะประชุมกำหนดวันกันวันไหนดี” พร้อมๆกับการถามหาวันก็จะมีการถกเถียงกันตามมาระหว่างคนหนุ่มสาวที่สืบทอดฝังใจกับความสนุกอย่างไร้ขอบเขต และผู้เฒ่าของชุมชนที่ไม่อยากเห็นการทะเลาะตีกันหน้าเวทีหมอลำ ซึ่งมหรสพของงานบุญประเพณีชุมชนมักจะกลายเป็นพื้นที่ในการแก้แค้นของคนหนุ่มไม่ละเว้นแม้แต่เด็กสาวก็มีบทบู๊เพื่อชิงรักหักสวาทไม่แพ้กัน

­

­

หลายคนอาจนึกว่า การที่คนให้ความสนใจงานบุญบั้งไฟมากกว่ากิจกรรมอื่นๆ เพราะนึกว่าชาวบ้านต้องการบูชาแถนหรือต้องการฟ้าฝนทำนาเหมือนในอดีต การคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก แต่กับสภาพชุมชนในปัจจุบันมีส่วนถูกเพียงนิดเดียว แม้ฉันเองไม่ค่อยชอบงานบุญบั้งไฟนัก เพราะรู้ว่ามีแต่การดื่มเหล้าและเล่นการพนัน แต่ฉันก็ไม่เคยพลาดงานบุญบั้งไฟบ้านโคกกลางเลยสักปีเดียว เพราะฉันรู้ว่างานนี้ฉันจะได้เจอพี่ๆ น้องๆ พ่อๆ แม่ๆ ที่เคยร่วมหัวจมท้ายกันตั้งแต่แรกเริ่มที่เข้ามาคลุกกับชุมชนนี้ คนอื่นก็เช่นกันพวกเขากลับมาเพราะจะได้เจอเพื่อนและได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ฉันเล่าให้ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งฟังว่า “เคยไปร่วมงานบุญข้าวสากที่หนองเรือ มีคนมาเยอะมาก เขาบอกว่าเป็นงานที่ทุกคนต้องมา แม้ติดงานอยู่ก็ต้องลามา เพราะกลัวพ่อแม่ บรรพบุรุษไม่ได้กินข้าวสากเหมือนคนอื่น” พี่สำเนียงปีนี้มาในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ตอบกลับมาทันทีว่า “แต่สำหรับที่นี่แล้ว สิ่งที่ดึงคนให้กลับมาบ้านมากที่สุดคือความม่วน (สนุกสนาน) บุญบั้งไฟมันสนุกได้เต็มที่ทุกรูปแบบ จึงเป็นบุญที่ทุกคนรอคอย” และถ้าหากอยากรู้ว่าปีนี้ชาวบ้านเขานิยมเครื่องดื่มอะไร ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนในงานบุญบั้งไฟนี้แหละ บางปีเหล้าขาว บางปีเหล้าสี และปีนี้เทรนด์มาทางเบียร์

­

บุญเดือนหกหรือประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นเดือนที่หมู่บ้านโคกกลางจัดประเพณี “บุญบั้งไฟ” แต่บางครั้งก็ทำในเดือนเจ็ด ปีนี้ก็จัดขึ้นในเดือนเจ็ด แต่ในเดือนหกนั้นกลับทำบุญเบิกบ้านแทน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านเรียกกันหลายชื่อ เช่น “บุญขี้เมา” “บุญมารหรือบุญพญามาร” เพราะมีแต่คนเมามีการพนันขันแข่งกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่กล่าวไว้ในตำนานที่มีอยู่หลายเรื่องในภาคอีสาน ดังเช่นเรื่อง “พญาคันคาก” “ผาแดงนางไอ่” เป็นต้น จากตำนานที่มาของบุญบั้งไฟนั้นเกิดจากการท้าพนันกัน ส่งผลให้บุญบั้งไฟมีแต่การพนันและกินเหล้ามาจนถึงทุกวันนี้ (อ่านตำนานเพิ่มเติมในภาคผนวก)

­

ตามความเชื่อของชาวบ้านโดยทั่วไปเชื่อว่าพอถึงเดือนหกต้องมีการทำบั้งไฟมา “ถวยแถน” คือ ทำบั้งไฟมาถวายแถนเป็นการบูชาพญาแถน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฝนเพื่อขอฝนตามฤดูกาล หรืออีกความเชื่อหนึ่งเกิดจากความเชื่อที่ว่า พญาคันคาก (ชาติหนึ่งที่พระพุทธจ้าเกิดเป็นคางคก) ได้ทำสัญญาสงบศึกกับพญาแถน หลังจากที่ต่อสู้กันแล้วพญาแถนเกิดพ่ายแพ้และยอมเป็นเมืองส่วย จะมอบบรรณาการด้วยการแต่งฝนฟ้าให้ทุกปี เมื่อถึงเดือนหกคนในเมืองมนุษย์ก็จะจุดบั้งไฟขึ้นไปเตือนพญาแถนได้ทราบว่าถึงฤดูกาลทำนาแล้ว ให้พญาแถนแต่งฝนให้พอกับชาวบ้านทำนา ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้องให้พญาแถนรับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว และเมื่อได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูควายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว

­

­

พิธีกรรมของบุญบั้งไฟแต่เดิมนั้นบางที่จะเริ่มทำในเดือนหกบางที่ก็เริ่มทำเดือนเจ็ดขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการเริ่มปลูกข้าวของแต่ละท้องถิ่นซึ่งแตกต่างกัน แต่ในปัจจุบันผู้อาวุโสกล่าวว่าไม่ได้ถือฤกษ์ถือยามจัดขึ้นเพื่อเป็นการแข่งขันเอาเดิมพันกัน เป็นการพนันไม่ได้เป็นการบูชาแถนดังเช่นในอดีต ดังนั้นฝนจึงไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้อาวุโสกล่าวว่า “ในตำราโบราณกล่าวไว้ว่าทำบุญบั้งไฟได้อานิสงส์เท่าขามดง่าม มันไม่ได้บุญหลาย เป็นการทำขึ้นพื่อความสนุกสนานมันจึงไม่ได้บุญหลาย เป็นบุญบูด บุญเน่า บุญผู้ฮ้าย คือมีการทาขมิ้น ทาขี้ตม กินเหล้าเมายากัน”

­

ประเพณีบุญบั้งไฟของหมู่บ้านโคกกลางในอดีตนั้น ก่อนถึงเดือนหกชาวบ้านจะนัดประชุมกันเพื่อสอบถามว่าปีนี้จะจัดทำบุญบั้งไฟหรือไม่ ถ้าหากไม่มีการจัดทำบุญบั้งไฟอย่างน้อยต้องจัดทำบั้งไฟเล็กจำนวน 3 บั้ง เพื่อเลี้ยงผีปู่ตา โดยบั้งไฟทั้ง 3 บั้งนี้จะเสี่ยงถาม 3 ประการ คือ บั้งแรกเสี่ยงคน บั้งที่สองเสี่ยงฝน และบั้งที่สามเสี่ยงสัตว์ ซึ่งชาวบ้านเล่าว่า “บั้งแรกเสี่ยงคนนี่เราจะถามว่าปีนี้คนจะอยู่ดีมีแฮงไหม จะเกิดอาเพศอะไรหรือไม่ บั้งที่สองเสี่ยงฟ้าเสี่ยงฝนนี่เราก็จะถามว่าปีนี้ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ จะได้ทำนาสมบูรณ์ดีหรือไม่ บั้งที่สามเสี่ยงสัตว์นี่เราก็จะถามเรื่องสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ดไก่ วัวควาย สัตว์พาหนะต่างๆ พวกสัตว์ใซ้งาน มันจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ เวลาเสี่ยงทายจะอธิษฐานว่าถ้าคนอยู่ดีมีแฮงขอก็ให้บั้งไฟขึ้น แต่ถ้าบั้งไฟแตกแสดงว่าจะเกิดอาเพศต่างๆ ถ้าเสี่ยงฝนก็จะอธิษฐานว่าถ้าปีนี้ฝนดีก็ขอให้บั้งไฟขึ้นอย่าให้มองเห็น ถ้าฝนไม่ดีก็ให้มันแตกโลด จ้ำของหมู่บ้านจะเป็นผู้กล่าวเอง”

­

บุญบั้งไฟนี้จ้ำจะเป็นคนทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตาโดยไม่มีพระสงฆ์เข้ามาร่วมในพิธี จะนิมนต์พระสงฆ์มาร่วมพิธีเฉพาะการตักบาตรเช้าเท่านั้น ส่วนชาวบ้านก็จะไปร่วมพิธีกันทุกหลังคาเรือน สำหรับผู้ที่รับหน้าที่ทำบั้งไฟเสี่ยงทายซึ่งเป็นบั้งไฟขนาดเล็กนั้นเป็นใครก็ได้ที่อาสาทำ ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆ ก็จะมีส่วนร่วมโดยการนำดินปืนมาให้หรือมาช่วยทำเป็นต้น การทำพิธีกรรมนี้จะใช้เวลาเพียง 1 วัน เท่านั้น ในปัจจุบันการเสี่ยงทายโดยใช้บั้งไฟไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว แต่มักจะเสี่ยงทายโดยใช้ไก่แทน (เสี่ยงทายตอนเลี้ยงผีปู่ตาหรือบุญเบิกบ้านแทนบุญบั้งไฟ) ซึ่งใช้ไก่จำนวน 3 ตัวเช่นกัน จ้ำจะเป็นผู้เสี่ยงทายโดยดูจากคางไก่ เมื่อฉีกลิ้นไก่ออกแล้ว จะมีกระดูก 3 เส้น โดยเส้นกลางจะสั้นกว่า ส่วนอีก 2 เส้นจะยาวเท่ากัน ถ้าเส้นกลางขอดมีลักษณะไม่สมบูรณ์ จะถือว่าไม่ดี ต้องตรงมีลักษณะสวยงามสมบูรณ์จึงจะถือว่าดี ชาวบ้านเชื่อว่าผลการทำนายของจ้ำจะเป็นตามนั้นจริงๆ เพราะจากการที่ดูคางไก่มาแต่ละปีปรากฏว่าคางไก่ในแต่ละปีจะมีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงดั่งคำทำนายที่ได้เสี่ยงทายไว้

­

­

แต่บุญบั้งไฟในปัจจุบันของบ้านโคกกลาง แก่นสารที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวนา และความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่เหนือธรรมชาตินั้นได้หายไปแล้ว ยังคงไว้เฉพาะความสนุกสนานของมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ในคืนก่อนวันโฮมหรือวันรวมก็จะมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงในหมู่บ้านใกล้เคียงมาร่วมกินและดื่มด้วยกัน ในปีนี้บ้านโคกกลางต้องล้มวัวไปถึง 7 ตัว เพื่อเป็นอาหารต้อนรับแขกบ้านของตนเอง และในบ่ายของวันโฮมก็จะแห่บั้งไฟที่ตกแต่งไว้แล้ว อีกกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญแต่ก็หายไปแล้วเช่นกัน คือ การตกแต่งบั้งไฟหรือชาวบ้านเรียกว่า “เอ้บั้งไฟ” ในอดีตจะต้องมีช่างแต่งบั้งไฟที่มีความชำนาญเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ก็เพียงแต่เอากระดาษสีมาติดบ้างเล็กน้อยพอให้ได้มีบั้งไฟมาแห่ ช่วงที่ทุกคนรอคอยคือช่วงของการแห่บั้งไฟ ที่จะมีเต้นรำไปพร้อมกับการแจกเหล้าเบียร์กันดื่มอย่างเอิกเริก ขบวนแห่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เพราะนักดื่มและนักเต้นไม่อยากให้ถึงวัดเร็ว เสร็จจากขบวนแห่ในช่วงกลางคืนก็มีมหรสพ เช่น หนัง หรือหมอลำซิ่ง หรือวงดนตรี สายวันต่อมาก็จะเริ่มจุดบั้งไฟซึ่งเป็นเวลาที่ถือว่าเป็นไฮไล้ท์ของงานนี้ พวกเขาไม่ได้รอลุ้นว่าบั้งไฟใครจะสูงที่สุดหรอก แต่พวกเขารอคอยหมอลำซิ่งที่จะปลุกเร้าอารมณ์ให้หมู่กระทิงลุกขึ้นเต้นอย่างไร้สติ โดยมีแอลกอฮอล์เป็นตัวหล่อเลี้ยงตลอดวัน และตอนใกล้ค่ำของวันเดียวกันก็จะมีชาวบ้านบางกลุ่มแห่กัณฑ์หลอน (แห่ต้นเงินรับบริจาคในชุมชน) หรือเรียกว่าตามรอยไฟ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีอายุเลยวัยกลางคนไปแล้วร่วมแห่และร้องเพลงแห่บั้งไฟ แล้วนำเงินที่ได้ไปถวายวัดหรือซื้อของบริจาคเข้าวัด ก็เป็นอันเสร็จพิธีของงานบุญบั้งไฟในปัจจุบัน

­

ในส่วนของศูนย์เรียนรู้ชาวดินเราค่อนข้างคิดหนักกับงานบุญนี้ เพราะตระหนักดีว่าความคาดหวังของทุกคนอยู่ที่การสนุกและดื่มกิน หากจะเอาเรื่องการเรียนรู้หรือการสืบทอดแบบดั้งเดิมเข้าไปเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ครั้นจะไม่ทำก็ดูเป็นการละเลยมากไปหน่อย กลุ่มแกนนำก็เลยรวมตัวกันและหาช่องทางที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ เราจึงระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนว่า บุญนี้เราจะให้น้ำหนักที่การเรียนรู้ของ โดยให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวของบุญบั้งไฟ การเรียนรู้ถึงกำเนิดมนุษย์และข้าวไปพร้อมๆ กัน รวมถึงให้เด็กได้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และมนุษย์กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ กิจกรรมเราจึงเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายในคืนก่อนวันโฮม ส่วนผู้ใหญ่เราคงจะทำอะไรด้วยได้ไม่มากเพราะพวกเขาจะเริ่มเมากันตั้งแต่คืนก่อนวันงานแล้ว แต่กิจกรรมเล็กๆ ที่เราทำนั้นถือว่าได้ผลคุ้มค่า นอกจากเด็กแล้วก็ยังมีพ่อๆแม่ๆขาประจำมาร่วมวงด้วย โดยโอ๋จะเล่าไว้ในเรื่องเล่าต่อจากนี้ และศักดาจะเล่าเกี่ยวกับบรรยากาศของงานบุญในส่วนที่เป็นกิจกรรมของชุมชน ซึ่งในปีนี้ศักดามีบทบาทอย่างเต็มที่ในการจัดงาน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบผลสำเร็จในแง่ที่ว่า ทุกคนได้สนุกแต่ไม่มีเหตุการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นเหมือนทุกปีที่ผ่านมา

­

­

การเรียนรู้ของเด็กและชุมชน...กับงานบุญบั้งไฟที่รอคอย

­

วรรินทร์ โสภา (โอ๋) เล่าเรื่อง

­

ปลายเดือนพฤษภาคม ฉันเดินทางไปขอนแก่นกับเพื่อนอีก 1 คน คือศักดา เพื่อคุยเตรียมงานบุญบั้งไฟที่บ้านพี่อ้อย เราใช้เวลาพูดคุยกันในบ่ายของวันนั้น และต่ออีกนิดหน่อยหลังทานข้าวเย็นเสร็จ การพูดคุยกันในครั้งนั้นทำให้เราระบุวันที่จะจัดกิจกรรม และออกแบบกิจกรรม โดยกิจกรรมจะถูกจัดขึ้นในค่ำวันที่ 10 ก่อนถึงวันจริง คือวันที่ 11-12 มิถุนายน 54

­

ฉันกลับมาบ้านด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อเพื่อการนี้ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปพลังที่เติมมาจากบ้านพี่อ้อย ดูท่าว่าจะอ่อนตัวลง ความทุกข์ใจเริ่มเข้ามาแทรก ฉันอยู่กับความคิดในหลายๆ เรื่อง นอกจากการเตรียมงานบุญบั้งไฟแล้ว ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เรามีนัดทำกิจกรรมกับน้องในชุมชน แต่ปรากฏว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไม่ได้ผล น้องๆไม่มีใครมาเลย เพราะไปเที่ยวบุญบั้งไฟที่หมู่บ้านอื่นกัน การที่เด็กไม่มานั้นทำให้พลังที่มีอยู่ในตัวแปรสภาพเป็นความเฉื่อยได้อย่างง่ายดายสำหรับฉัน นอกจาก 2 กิจกรรมนี้แล้วยังมีเรื่องของการจัดมหรศพในบุญบั้งไฟสำหรับวันที่ 12 ซึ่งเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ งานเพิ่มขึ้นอีก แต่เรื่องสุดท้ายฉันมีส่วนร่วมน้อยมากเพราะคิดว่ามีคนช่วยมากอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของงานบุญที่สร้างความสนุกสนาน หมู่บ้านของเราจะร่วมแรงร่วมใจกันเป็นพิเศษ ผู้ดูแลตรงนั้นก็เลยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศักดาไป โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นมัน ส่วนฉันก็ปล่อยให้มึนงงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

­

­

ความกังวลใจเมื่อใกล้จะถึงวันงานเริ่มก้าวหน้ามากขึ้น จนกลายมาเป็นความกดดัน ความงงปนความเซ็งเริ่มเกิดขึ้น เมื่อมีคนบอกว่า การจัดกิจกรรมในวันที่สิบของเราน่าจะไม่ต้องมีขึ้น เพราะคิดว่ายังไม่พร้อม ประโยคนั้นทำให้ฉันทิ้งช่วงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง มีแวบหนึ่งที่คิดว่าก็อาจจะดี ถ้าไม่มีงานนี้ฉันก็จะไม่ต้องเหนื่อย แต่ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ฉันเดินกลับบ้านพร้อมคำถามที่จุกอยู่เติมหัว ฉันรู้สึกกลัวกับบางอย่างที่จะเกิดขึ้นกับตัวฉัน หรือไม่ฉันอาจจะไม่เหมาะกับงานนี้ หรือฉันไม่กล้าทำอะไรเลย แม้กระทั่งสร้างสิ่งที่ฉันคิดว่ามันดีให้กับชุมชนของตนเอง ทางออกของฉันตอนนั้นไม่ใช่น้ำตาแต่เป็นน้ำตาลจากพี่อ้อยที่ให้ฉันมา ทำให้อาการขม(ขื่น) ที่มีอยู่ในตัวฉันลดลงหลังจากการโทรปรึกษากัน ค่ำวันที่เก้าเรานัดประชุมกันกับเยาวชนที่ศูนย์เรียนรู้ชาวดิน โดยมีพี่อ้อยเป็นคุณอำนวย เราใช้เวลาพูดคุยกันนานพอสมควรกว่าจะได้แผนออกมา ซึ่งยังคงรูปแบบ Play and Learn อย่างครบถ้วน แต่ก็ปรับเยอะเหมือนกัน เราวางภาพร่วมที่จะมีขึ้นในงาน เป็นงานไม่ใหญ่โตอะไร กลุ่มเป้าหมายก็เป็นเด็กๆ ที่ทำกิจกรรมร่วมกับเรา ในงานก็จะมีการทำอาหารว่างกันนิดหน่อยต่อด้วยฟังนิทานเรื่องพญาแถนและการประกวดการเล่านิทานจากเด็กๆ ก่อนที่จะปิดท้ายของค่ำคืนด้วย การฉายวีดีโอกิจกรรมของประเพณีฮีตสิบสองคลองสิบสี่ของแต่ละเดือน ที่ทำร่วมกันกับคนในชุมชน ทั้ง 5 เดือนที่ผ่านมา ให้ดูกัน

­

­

ในวันจริงฉันใช้เวลาในช่วงบ่ายคล้อย ในการจัดสถานที่ หลังจากช่วงเช้าใช้เวลาในการตระเตรียมกิจกรรมที่พอทำได้ทำไปก่อน งานก็เลยดูไม่ยุ่งยากเท่าใดนัก สำหรับช่วงเย็น ฉันต้องทำงานคนเดียวในช่วงแรก ก่อนที่เด็กๆ จะมาช่วยหลังเลิกเรียน ส่วนศักดาจะเตรียมงานตัดต่อวีดีโอเพื่อเตรียมฉายในตอนเย็น ออกแรงเหนื่อยหน่อยแต่ผลที่ออกมาก็ทำให้มีพลังเหมือนป๊อบอายได้ยาขม ยังไงอย่างนั้น ถึงแม้ช่วงเย็นจะทำให้หวั่นๆกับเม็ดฝนที่โปรยปลายลงมาบ้างก็ตาม ช่วงค่ำมีลมเย็นพัดมาหน่อยๆ เด็กๆเริ่มทยอยกันมา ใครมาถึงก่อนเราก็รองรับด้วยกิจกรรมการย่างลูกชิ้นรอเพื่อน ถ้าไม่ติดตรงเสียงเพลงของชิงช้าม้าหมุนที่เปิดดัง อยู่ด้านข้างกิจกรรมของเราวันนี้คงจะเป็นบรรยากาศแบบสบายๆ ผ่อนคลายมากทีเดียว เด็กๆ มากันเยอะกว่าที่ฉันคิดไว้ เพราะคืนก่อนจะถึงวันแห่บั้งไฟจะเป็นคืนรวมญาติ ก็มีการทานข้าวเย็นร่วมกัน แต่คืนนี้มีทั้งเด็กและผู้ปกครองที่มาร่วมกิจกรรมกับพวกเราเช่นเคย หลังจากกินลูกชิ้นปิ้งฝีมือของเด็กจนอิ่มกันแล้ว ฉันว่าเด็กๆ คงจดจำวันนี้ได้ไม่อย่างลืมเลือน จากลูกชิ้นที่ปิ้งออกมาดีบ้างดำบ้าง สร้างเสียงหัวเราะและคำติชมจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี จากนั้นพวกเราก็ล้อมวงกันเพื่อฟังนิทานเรื่องพญาแถน จากตาทองเลื่อน คำดอกรัก ซึ่งคุณตาสวมหมวกหลายใบมาก (เป็นหมวกที่คนในชุมชนมอบให้) ท่านเป็นทั้งปราชญ์ชาวบ้าน เป็นประธานป่าชุมชน หมอพราหมณ์ และเป็นผู้รู้เรื่องประเพณีฮีตสิบสองคลองสิบสี่อย่างลึกซึ้ง ซึ่งหายากมากในปัจจุบัน ก่อนที่คุณตาทองเลื่อนจะเล่านิทาน เราให้โจทย์กับน้องๆก่อนฟังนิทานว่าหลังจากฟังนิทานจบ จะมีคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณตาเล่ามาถาม ถ้าใครตอบถูกจะมีรางวัลแต่เรายังไม่บอกว่ารางวัลคืออะไร

­

ช่วงฟังนิทานถึงแม้จะมีเสียงอื่นมารบกวนบ้างแต่เด็กๆ ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ น้องๆ ทุกคนแทบจะไม่เดินออกไปจากวงเลย ยิ่งทำให้เพิ่มอรรถรถในการฟัง ส่วนคุณตาทองเลื่อนก็เล่าแบบไม่หวงความรู้เลย นอกจากเรื่องพญาแถนและความเป็นมาของบุญบั้งไฟแล้ว เรายังได้รู้ประวัติความเป็นมาของข้าว พร้อมทั้งคนในอดีตที่มีเคารพต่อธรรมชาติและปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างไร เช่น การไปขอขมาก่อนที่จะลงทำนากับพระแม่ธรณี เพื่อให้ช่วยดูแลพื้นดินและต้นไม้ทำให้ข้าวเติบโตแข็งแรง แม้กระทั้งก่อนจะนวดข้าวก็ยังต้องขอขมาข้าวก่อนเพราะจะต้องมีการเหยียบข้าว ซึ่งต่างจากปัจจุบันมากสำหรับการทำนา แม้กระทั่งพิธีขอขมาก็ไม่ค่อยมีใครทำแล้วในหมู่บ้าน อีกทั้งแต่ก่อน

­

การใช้ปุ๋ยเคมีก็ไม่มี ปุ๋ยที่ดีทุกสุดสำหรับพวกเขาคือคือมูลสัตว์ และการทำนาก็ทำเพื่อไว้กินเพียงเท่านั้นไม่ได้ขาย จึงไม่ต้องดิ้นรนอะไร

­

­

เรื่องราวที่พวกเราได้ฟังกันในวันนี้ คงจะเป็นคติเตือนใจของเราทุกคนไม่มากก็น้อย หลังจากฟังนิทานจากตาทองเลื่อนแล้ว ก็เป็นการเล่านิทานจากเด็กๆ ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม น้องๆบางคนก็เดินออกมาเล่านิทานด้วยความมั่นใจและเล่าจนจบเรื่อง แต่ก็มีน้องอีกหลายคนที่เดินออกมาด้วยความมั่นใจในตอนแรกแต่พอเล่าไปๆ บางคนก็ตื่นเต้นจนลืมเนื้อเรื่อง น้องบางคนก็เล่าไปพลางขาสั่นไปด้วย บางคนเล่าไปพลางหัวเราะไป ถึงแม้น้องจะเล่าจบบ้างไม่จบบ้างแต่ทุกคนที่ออกมาเล่านิทานในคืนนั้นก็ได้กระปุกออมสินที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่และเงินขวัญถุงไปด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เบื้องหลังคือการสร้างความกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกให้กับน้องๆ อีกทั้งการฟังนิทานจะเป็นการสร้างสมาธิให้กับน้องๆ และยังเป็นการฝึกให้เขาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ซึ่งก็จะเกิดผลดีกับน้องๆเอง จากนั้นเราก็พักเบรกด้วยการทานไอติม หลอดที่พวกเราช่วยกันทำ (เคล็ดลับความอร่อยของไอติมคงอยู่ที่ตรงนี้) เราจบกิจกรรมสุดท้ายด้วยการดูวีดีโอจากกิจกรรมๆ ต่างที่เราประมวลมาให้ชมกัน ทั้งงานบวชค่ายฤดูร้อนของเด็กๆในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา และวีดีโอบุญประเพณีที่เราจัดกันผ่านมาแล้วทั้ง 5 เดือน ปิดท้ายด้วยหนังตัวอย่างจากภาพยนตร์พื้นบ้าน “เรื่องปัญญาเรณู” วิดีโอที่เราเตรียมไว้ถูกฉายจนหมด แต่น้องๆและผู้ปกครองที่มาร่วมงานยังไม่มี

­

ใครอยากกลับบ้าน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ซึ่งงานบุญครั้งหน้าเราสัญญาว่าจะได้พบกันใหม่ พร้อมกับกิจกรรมที่ได้ทั้งความรู้และความสนุกแบบนี้อีก ปิดท้ายด้วยเสียงหวานๆ ของพระเอกหมอลำที่พ่วงมาด้วยตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอย่างน้าสำเนียง วงษ์พิมพ์ที่กล่าวปิดงาน ก่อนที่ลานวัดจะกลายเป็นเพียงความทรงจำของพวกเราตลอดไป

­

­

ส่วนฉันเริ่มเข้าใจการทำงานกับชุมชนมากขึ้น เคล็ดลับการทำงานกับชุมชนในครั้งนี้ คือการลงมือทำๆๆ ฉันเริ่มเรียนรู้ว่าชุมชนที่ดีที่สุดมันอยู่ตรงไหน ชุมชนที่ดีไม่ได้มีเพียงผู้นำเท่านั้นที่จะพาเราเดิน แต่มันอยู่ที่ใจของเรา (คนในชุมชน) พร้อมกันไหม กายของเรา (คนในชุมชน) พร้อมเคลื่อนไปด้วยหรือเปล่า ฉันว่าคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือเรื่องอะไรก็ตามที เขาก็คงจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่พร้อมจะเหน็ดเหนื่อยเพื่อเขาเช่นกัน คงไม่มีใครประสบผลสำหรับด้วยตัวเองเพียงผู้เดียวทั้งหมด ฉันขอบคุณทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง

­

­

งานบุญไฟบ้านโคกกลาง

­

ศักดา เหลาเกตุ (เล่าเรื่อง)

­

งานบุญบั้งไฟเป็นงานบุญเดือนหก ที่ชาวบ้านต้องจัดขึ้นทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน ผู้นำชุมชนเรียกประชุมชาวบ้านเพื่อกำหนดวันงาน และกำหนดมหรสพที่จะมาสร้างความบันเทิงให้ชาวบ้าน เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลง บทสรุปก็คือ จะจัดงานในวันที่ 11 – 12 มิถุนายน ส่วนมหรสพที่จะจ้างมาคือภาพยนตร์ ในวันประชุมไม่ได้มีเยาวชนไปเข้าร่วมการประชุมเลย แต่พอเยาวชนรู้ว่า ผู้ใหญ่จะจ้างหนังมางันบุญ (จ้างภาพยนตร์มาเป็นมหรสพ) เยาวชนก็เกิดการไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะพวกเขาคาดหวังว่าจะได้หมอลำมาเป็นมหรสพ เหตุนี้จึงเกิดการรวมตัวของเยาวชนขึ้น เกิดการประชุมเพื่อหาวิธีการที่จะได้หมอลำมางันบุญ โดยมีผู้นำชุมชนมาร่วมการประชุม ผู้นำบอกว่า ที่ชาวบ้านไม่เลือกหมอลำก็เพราะว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันในงาน มีหมอลำครั้งใดตีกันทุกที ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยไม่ชอบหมอลำ เลือกที่จะเอาหนังกลางแปลงมาฉายดีกว่า จะได้ไม่ต้องตีกัน เยาวชนก็เลยให้คำสัญญาไปว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันในงาน และจะเป็นคนดูแลความเรียบร้อยในงาน อีกทั้งจะช่วยกันบริจาคเงินไปจ้างหมอลำเอง โดยที่จะไม่ไปรบกวนเงินที่ชาวบ้านบริจาค ดังนั้นทางผู้นำชุมชนจึงให้คำแนะนำเรื่องการจัดงาน และยกระดับให้เยาวชนมามีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้

­

งานที่เยาวชนต้องรับผิดชอบร่วมกันคือ ช่วยกันเอ้บั้งไฟ ช่วยกันร่วมบริจาคเงินจ้างหมอลำ ช่วยกันดูแลเรื่องอาหารการกินของหมอลำและดูแลเรื่องคายครูคายอ้อของหมอลำด้วย ช่วยกันกำหนดกฎระเบียบในงานและออกหนังสือแจ้งผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในตำบล ให้ประกาศให้สมาชิกชาวบ้านได้รับทราบว่าเยาวชนบ้านโคกกลางได้ออกกฎระเบียบในการควบคุมดูแลความเรียบร้อยของงานครั้งนี้ ช่วยกันดูเรื่องสถานที่ ติดต่อหม้อไฟฟ้าที่คณะหมอลำจะใช้ เป็นต้น การประชุมเกิดขึ้นหลายครั้งมาก และสิ่งที่เห็นคือจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมก็ลดน้อยลงไปด้วย และในที่สุดก็ถึงวันงาน

­

­

วันที่ 11 มิถุนายน วันนี้เรียกว่าวันแห่บั้งไฟ หรือเรียกอีกแบบว่าวันโฮม ซึ่งในช่วงเย็นจะมีขบวนแห่บั้งไปรอบ หมู่บ้านและไปสิ้นสุดที่วัด วันนี้เงินที่ได้จากการรวบของเยาวชนยังไม่พอสำหรับการจ่ายค่าจ้างหมอลำ ซึ่งเยาวชนได้ไปว่าจ้างไว้ในราคา 12,000 บาท แต่ตอนนี้รวบรวมเงินได้ประมาณเก้าพันบาท ยังขาดอีกประมาณสามพันบาท ทีนี้ก็เลยช่วยกันออกความคิดว่าจะทำอย่างไรเราจะได้เงินเพิ่มเติม เพื่อที่จะมาสมทบกับเงินที่ขาดอยู่ ก็เลยได้มีการถือขันขอรับบริจาค จากผู้คนที่มาเข้าร่วมงานแห่บั้งไฟ ได้เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็นเสียงกำนันประกาศให้ชาวบ้านออกไปรวมกันที่โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนแห่บั้งไฟ เสียงดนตรีแห่เริ่มดังขึ้น ผู้คนก็เริ่มทยอยมา ผมเดินไปถึงคนก็เยอะพอสมควรแล้ว มีทั้งเด็กผู้ใหญ่ บางคนเต้นบางคนเมา บางคนนั่งดูคนเต้นคนเมา สิ่งที่เริ่มเห็นก็คือเยาวชนบางคน มือหนึ่งถือขวดเหล้าขวดเบียร์ อีกมือฟ้อนรำเต้นไปตามเสียงเพลง บางคนเริ่มได้ดีกรีแล้วก็มี ตลอดขบวนการแห่กลุ่มเยาวชนที่ได้รับหน้าที่ในการรับบริจาคจากผู้ที่มาร่วมงาน ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป กลุ่มที่ไม่ได้ทำอะไรก็เต้นไปเมาไป การแห่ครั้งนี้ใช้เวลานานที่สุดเท่าที่เคยแห่มา เพราะเหตุผลที่ว่ากลุ่มที่เต้น เต้นมันมาก ไม่ยอมเคลื่อนที่ จนเวลาถึงหกโมงเย็น ขบวนแห่

­

เดินทางมาถึงวัดไม่นานผู้คนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน การแห่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเหตุบ้างเล็กน้อย แต่ชาวบ้านควบคุมสถานการณ์ได้จึงไม่มีอะไร พอแห่บั้งไฟเสร็จเยาวชนก็ได้ประชุมกันอีกครั้ง กลุ่มที่รับเงินบริจาครายงานยอดว่าได้ทั้งหมด หนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดสิบสองบาท และตอนนี้ยอดยังขาดหนึ่งพันบาทโดยประมาณ พรุ่งนี้เราจะขอรับบริจาคจากแม่ค้าที่มาขายของในบริเวณงาน แล้วก็ได้นัดกันทำอาหารเลี้ยงหมอลำกินที่วัดตั้งแต่เช้า ตอนค่ำของวันนี้เป็นหนังกลางแปลงผู้คนส่วนใหญ่ออกมาดู ที่จริงส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเสียมากกว่า เพราะผู้ใหญ่มาไม่ไหว เพราะหมดแรงจากการเต้นในช่วงแห่บั้งไฟ..

­

วันที่ 12 มิถุนายน วันนี้เยาวชนที่ทำห

­

­

น้าที่ทำอาหารก็ได้ออกมาทำแต่เช้า ส่วนใหญ่เป็นน้องผู้หญิง เมนูเช้านี้ที่จะเลี้ยงชาวคณะหมอลำคือ แกงไก่ใส่หนอไม้ส้ม และทำเผื่อตอนกลางวันด้วยเมนูอ่อมไก่พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์การทำส้มตำ ให้หมอลำตำกินกันเอง เลยเตรียมเครื่องให้ก็พอ... ก่อนที่หมอลำจะขึ้นเวทีทำการแสดงในเวลา สิบโมงเช้า ชาวบ้านที่มารอดูหมอลำต่างจับจองที่ใต้ร่มไม้ เวทีหมอลำจัดอยู่บริเวณริมเขื่อนของหมู่บ้าน ถัดจากด้านข้างเวทีไปประมาณ 200 เมตร เป็นฐานจุดบั้งไฟ กำนันก็ได้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เป็นคนกล่าวเปิดการแสดงหมอลำในครั้งนี้ เพราะว่าเยาวชนเป็นคนจ้างก็ต้องมาเปิดงานตัวเองด้วย ผมเป็นตัวแทนในการกล่าวเปิดงาน รู้สึกตื่นเต้นเพราะว่า เป็นครั้งแรกที่เยาวชนได้มีส่วนร่วมและเป็นครั้งแรกด้วยที่ต้องเป็นคนที่กล่าวเปิดงาน “ ขอขอบคุณท่านกำนัน ท่านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ที่เปิดโอกาสให้ผมมากล่าวเปิดงานในครั้งนี้ งานนี้จะเกิดไม่ได้ ถ้ามีไม่การสนับสนุนและการให้คำแนะนำจากพวกท่าน ขอขอบคุณเยาวชนที่ร่วมในงานครั้งนี้ งานครั้งนี้ เยาวชนร่วมกันทำงาน ทั้งการเก็บเงินจ้างหมอลำเอง ไปจ้างเอง ทำอาหารให้กินเอง และยังได้ออกกฎระเบียนในการควบคุมความเรียบร้อยในงานครั้ง ได้มีลายมือเซ็นรับรองของท่านผู้นำชุมชนของทุกหมู่บ้านในตำบล กฎระเบียนมีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ คือ 1.ห้ามพกพาอาวุธเข้ามาในงาน 2.ห้ามก่อเหตุทะเลาะวิวาท 3.ห้ามขว้างปาสิ่งของเข้ามาในงาน และ 4.ห้ามยุยกผู้อื่นให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ถ้าบุคคลใดได้กระทำผิด

­

­

กฎต้องโดนปรับไหมคนละ 1,000 บาท ดังนั้นก็ขอให้ชาวบ้านที่มาฟังลำได้เป็นพยานในการใช้กฎระเบียบนี้อีกด้วย ก็ขอฝากถึงเยาวชนผู้เป็นเจ้าภาพ ให้ช่วยกันดูแลเรื่องความปลอดภัย ให้มองว่าตอนนี้เป็นงานของเรา ไม่ใช่เราเป็นคนมาร่วมงาน ถึงแม้จะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น ก็ให้เราตั้งตัวเป็นกลางอย่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะงานนี้กว่าจะเกิดขึ้นได้ เพื่อนเราหลายคนต้องเหนื่อยกับการทำงาน ทีแรกงงานนี้ผู้ใหญ่ไม่ได้เห็นด้วยด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะว่าพวกท่านต้องการให้เรารู้จักการทำงานของชุมชนท่านจึงเปิดโอกาสให้ ถ้างานนี้ล่ม งานครั้งหน้าผมคาดว่าเราจะไม่ได้มีหมอลำมาเล่นให้เราได้ดูอีก อีกเรื่องขอประชาสัมพันธ์ไปถึงพ่อค้าแม่ค้าที่มาเปิดร้านขายของ ตอนนี้เงินที่ลูกหลานเก็บกันได้ยังไม่พอจ่ายค่าหมอลำ คงต้องของรบกวนท่านร่วมช่วยบริจาคสมทบด้วยนะครับ สุดท้ายนี้หมอลำคงพร้อมแล้ว ผมก็ขอเปิดงานการแสดงหมอลำบุญบั้งไฟบ้านเราได้เลยครับ”

­

เมื่อผมกล่าวเปิดงานแล้วนักดนตรีก็ขึ้นเสียงเพลงรับช่วงต่อจากผมเลย หมอลำทำการแสดงทันที สิ่งที่เริ่มสังเกตเห็น คือ ผู้คนเริ่มออกมาเต้นหน้าเวที มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีทั้งเมาและไม่เมา ทั้งที่งานพึ่งจะเริ่ม คำว่าหมอลำที่พวกผมใช้กันนั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นหมอลำเรื่องต่อกลอน แต่เป็นหมอลำซิ่ง ที่มีจังหวะร้องลำเป็นทำนองเร็ว ฟังแล้วอยากจะเต้นไปด้วย แต่ปัจจุบันหรือแม้แต่หมอลำที่มาแสดงในวันนี้ กลายเป็นการแสดงที่ไม่เหมือนของเดิม ปัจจุบันเป็นแบบมีแต่ร้องเพลงที่ดังๆในกระแสจังหวะสนุกๆ ไม่มีการลำโดยแท้จริง ส่วนใหญ่จะร้องเพลงและมีน้องนางหางเครื่องออกมาเต้นท่าสาวโคโยตี้....ทำเอาเหล่าเสือสิงกระทิงแร่ดทั้งหลายที่มาเต้นหน้าเวทีน้ำลายไหล ช่วงที่หมอลำทำการแสดง ก็ได้มีการไปขอรับบริจาคจากร้านค้าที่มาขายของในงานเพื่อเป็นการสมทบทุนที่จะจ่ายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ เก็บได้แล้วกลับ