เรื่องเล่าบุญผเวส...เยาวชนชาวดินบ้านโคกลาง โดย Webmaster โครงการพี่แอ๋ม
รุ่งนภา จินดาโสม

บุญเดือนสี่ในฮีตสิบสอง : บุญผเวสกับกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน

­

บุญผเวสในอดีตและการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย
วราภรณ์ หลวงมณี

­


­

­

อากาศเย็นสบายในช่วงปลายหนาวกับงานบุญข้าวจี่ผ่านไป สายลมหอบเอาความร้อนในฤดูแล้งเข้ามาแทนที่พร้อมงานใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้า บุญเดือนสี่ “บุญผะเหวด” ที่ออกเสียงตามสำเนียงอีสาน มาจากคำว่า “บุญผเวส” ซึ่งหมายถึงพระเวสสันดรนั่นเอง เป็นฮีตสี่ในฮีตสิบสองของคนอีสาน ปีนี้ชาวบ้านโคกกลางได้ประชุมเลือกวันที่จะทำบุญพระเวส บุญนี้จะอยู่ในเดือนสี่ หรือเดือนมีนาคม ไม่ได้ระบุวันไว้แน่นอนขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของชุมชน สำหรับปีนี้ก็คือวันที่ 23 มีนาคม แต่ถ้าดูให้ละเอียดว่าทำไมบรรพบุรุษของเราถึงได้กำหนดให้บุญพระเวสอยู่ในเดือนสี่ ก็ได้รับคำตอบจากพ่อทองเลื่อน คำดอกรับ ว่า “บุญผะเหวดถือเป็นบุญใหญ่ที่สุดเนื่องจากต้องใช้เวลาในการเตรียมงานนานที่สุด และมีเครื่องใช้ประกอบพิธีกรรมเป็นจำนวนมาก ในสมัยก่อนทั้งพระ เณร และชาวบ้าน ต้องร่วมมือกันแบ่งงานกันทำเพื่อเตรียมเครื่องใช้ประกอบพิธีกรรมให้ทันกับการทำบุญพระเวส ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าการทำบุญพระเวสจะได้บุญมากที่สุดด้วย”

­

นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีความเชื่อกันว่า ถ้าหากว่าฟังเทศน์ครบทั้งหมดวันเดียว 13 กัณฑ์ และจัดเตรียมเครื่องคาย (บูชา) ได้ถูกต้อง ก็จะได้เกิดในศาสนาพระอริยเมตไตรย แต่ถ้าหากตั้งเครื่องคาย (บูชา) ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดอาเพศและสิ่งไม่ดีต่างๆ ตามมา จึงทำให้ทุกคนในหมู่บ้าน ให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างมาก โดยจะมาทำพิธีร่วมกันอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อระลึกถึงพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรบารมีชาติสุดท้ายของพระองค์ก่อนจะเสวยชาติ และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายหลัง

­

บุญผเวสจึงเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่จะให้คนในชุมชนได้ทำบุญร่วมกัน อานิสงส์ของการทำบุญก็คือ 1) เป็นการถวายทานตามกาล 2) ลดการตระหนี่ และ 3) สร้างถนนเพื่อไปสู่สวรรค์และนิพพาน ในส่วนของการฟังเทศน์พระเวสสันดรหรือลำผะเหวดทั้ง 13 กัณฑ์ หรือใช้เวลากันตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำ อานิสงส์ของการฟังธรรมก็มีอยู่มาก ได้แก่ 1) ผู้ฟังย่อม ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง 2) สิ่งที่เคยได้ฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจชัดขึ้น 3) บรรเทาความสงสัยเสียได้ 4) ทำความเห็นให้ถูกต้องได้ และ 5) จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส

­

พ่อทองเลื่อนได้เล่าถึงความเป็นมาของบุญผเวสว่า พระพุทธเจ้าในอดีตชาติได้บำเพ็ญบารมีในชาติสุดท้ายเป็นพระเวสสันดร ก่อนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า บุญพระเวสจึงเป็นกุศโลบายให้รำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ ความดีที่ยิ่งยวด อันมีการสละความเห็นแก่ตัว เพื่อผลคือ ประโยชน์สุขอันไพศาลของมนุษยชาติ เป็นสำคัญ ดังนั้น ชาวอีสานแต่โบราณจึงถือเป็นเทศกาล ที่ประชาชนทั้งหลายพึงสนใจร่วมกระทำบำเพ็ญ และได้อนุรักษ์สืบทอดเป็นวัฒนธรรมสืบมา

­

­

พิธีกรรมมีหลายขั้นตอน เริ่มจากการทำกล่องใส่ “เครื่องคุรุพัน” ซึ่งมีลักษณะเหมือนกล่องใส่ข้าวเหนียวหรือกระติ๊บข้าวขนาดใหญ่ เพื่อนำมาใช้บรรจุ “เครื่องคุรุพัน” หมายถึง การทำเครื่องประกอบพิธีกรรมทุกอย่างๆ ละ 1,000 ชิ้น ได้แก่ คาถาพัน ปั้นข้าวเหนียวพันก้อน ห่อเมี่ยงพันคำ ห่อหมากพันคำ กอกยาหรือมวนยาสูบพันมวน ดอกไม้ธูปเทียนอย่างละพัน ขี้ผึ้งพันก้อน น้ำมันพันถุง เป็นต้น เสร็จแล้วจึงนำ “เครื่องคุรุพัน” เหล่านี้นำมาใส่รวมกันในกล่องคุรุพันแล้วปิดตายไม่เปิดอีกเลย จากนั้นจะทำเป็นยอดแหลมลักษณะคล้ายจอมธาตุขึ้นเหนือกล่องคุรุภัณฑ์ แล้วสานหุ้มกล่องคุรุภัณฑ์เพื่อไม่ให้เครื่องพันตกหายไปที่อื่น แล้วจะเก็บรักษาเอาไว้อย่างนั้นประมาณ 4-5 ปี เมื่อเห็นว่ามันขาดชำรุดแล้วก็จะทำขึ้นใหม่ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำขึ้นใหม่ทดแทนที่มันชำรุดหรือได้ใช้หมดไปแล้วนี้จะเรียกว่า “เครื่องลหุพัน” ได้แก่ ดอกมอนดอกโนอย่างละพันดอก ปั้นข้าวเหนียวพันก้อน ฝ้ายก้วยตีนกาหรือฝ้ายใยแมงมุมพันชิ้นและธูปเทียนพันชุด เป็นต้น

­

สำหรับฝ้ายกวยตีนกาและธูปเทียนต้องนับให้เท่ากับจำนวนคาถาที่มีในแต่ละกัณฑ์ด้วย เช่น กัณฑ์ทศพรมี 13 คาถา ก็ต้องนับจำนวนฝ้ายกวยตีนกาและธูปเทียนแยกใส่จานเอาไว้ 13 ชุด พร้อมทั้งเขียนชื่อกัณฑ์เทศน์นั้นๆ กำกับไว้ด้วย เมื่อพระเทศน์จบกัณฑ์ใดแล้วคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็จะจุดไฟที่ฝ้ายกวยตีนกาและธูปเทียนให้ครบตามจำนวนคาถาด้วยเช่นกัน ดังนั้นต้องเลือกผู้ที่มีความรู้เรื่องกัณฑ์เทศน์มหาชาติมานั่งอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้ทราบว่าพระเทศน์จบถึงกัณฑ์ใดแล้ว การเตรียมเครื่องคุรุพันและลหุพันให้ครบทุกอย่างนี้ต้องทำล่วงหน้าก่อนถึงวันงานบุญผเวสประมาณ 2 เดือน จึงจะเสร็จทัน

­

­

พอเสร็จพิธีการเตรียมของต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ชาวบ้านก็จะเอาใบลานเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลำผะเหวด” นำมาแบ่งออกแล้วเอาไปแจกตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งต้องกำหนดจำนวนหมู่บ้านที่จะนำเอาลำผะเหวดไปแจกก่อนแล้วจึงมาเฉลี่ยจำนวนใบลานที่จะให้กับแต่ละหมู่บ้าน โดยดูจากจำนวนพระเณรที่จำพรรษาอยู่ในวัดนั้น เมื่อรวมครบทุกหมู่บ้านแล้วต้องได้ครบทั้ง 13 กัณฑ์ รวมทั้งหมดทุกกัณฑ์แล้วจะได้ครบ 1,000 คาถาพอดี ส่วนการเลือกว่าจะให้กัณฑ์ใดนั้นจะดูว่าพระเณรในวัดนั้นถนัดในการเทศน์กัณฑ์ใดก็จะแบ่งกัณฑ์นั้นไปให้วัดในหมู่บ้านนั้นเข้ามาเทศน์ ซึ่งแต่ละวัดจะมีผู้ที่ถนัดเทศน์กัณฑ์ประจำของตน หรือบางครั้งก็เป็นลักษณะการตอบแทนกัน ตัวอย่างเช่นวัดบ้านใดเคยเอากัณฑ์กุมารมาให้วัดบ้านโคกกลางไปเทศน์ เมื่อถึงบุญพระเวสของบ้านโคกกลางก็จะเอากัณฑ์กุมารไปให้วัดบ้านนั้นมาเทศน์เป็นการตอบแทนกัน ซึ่งสิ่งที่ส่งไปพร้อมกับกัณฑ์เทศน์มีหนังสือแจ้งกัณฑ์ที่จะให้มาเทศน์ กำหนดวันเวลา ถ้าวัดใดได้กัณฑ์แรกๆ อย่างเช่น กัณฑ์ทศพร ต้องเริ่มเทศน์ตั้งแต่เช้ามืดประมาณตีสี่ (04.00 น.) แล้วไปจบกัณฑ์สุดท้ายเวลาประมาณห้าทุ่ม (23.00 น.) ดังนั้นถ้าวัดใดได้รับกัณฑ์นี้จะต้องมานอนค้างคืนที่บ้านโคกกลาง เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีทางรถยนต์ต้องเดินทางเท้ามาให้ถึงวัดก่อนเวลาที่จะเทศน์ บางครั้งต้องเดินมาพักค้างคืนระหว่างทางก็มี เมื่อถึงวันเทศน์พระจากแต่ละหมู่บ้านก็จะนำเอาใบลานลำผะเหวดมาคืนหมู่บ้านเจ้าภาพด้วย

­

­

ในสมัยก่อนนั้นส่งหนังสือเชิญไปตามหมู่บ้านต่างๆ ถึง 80 หมู่บ้าน ซึ่งจะมาครบทั้ง 80 หมู่บ้าน และมีชาวบ้านมากับพระหมู่บ้านละประมาณ 20-30 คน ดังนั้นก่อนถึงวันบุญชาวบ้านต้องมาร่วมกันปลูกปะรำรอบๆ วัด โดยแบ่งเป็นห้องๆ ให้พระได้จำวัด นอกจากนี้ชาวบ้านจะประชุมกันเลือกหมู่บ้านที่จะส่งหนังสือไปเชิญ เสร็จแล้วก็จะให้ชาวบ้านมาจับสลากว่าครัวเรือนใดจะได้รับเป็นเจ้าภาพของหมู่บ้านใด เมื่อจับสลากได้แล้วครัวเรือนหลังนั้นต้องรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพตลอดงาน เริ่มตั้งแต่นำหนังสือไปนิมนต์พระพร้อมทั้งใบลานลำผะเหวดไปถวายล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เมื่อถึงวันบุญต้องเตรียมอาหารถวายพระและต้อนรับแขกชาวบ้านที่เดินทางมาพร้อมกับพระ เตรียมเสื่อ ที่นอน หมอน มุ้ง สำหรับพระและแขกที่มาพักด้วย รวมทั้งการถวายเงินติดกัณฑ์เทศน์แก่พระจากวัดในหมู่บ้านที่จับสลากได้นั้นด้วย เมื่อถึงกำหนดวันโฮมบุญจึงฝังหลักปักธงยาวหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ทุงแถน” ซึ่งมีลักษณะเป็นผ้ายาวลงมา ต้องปักให้ครบทั้งแปดทิศ และต้องเตรียมแอ่งน้ำ ขันกะหน่วยกะแหย่ง มีจอก มีแหน มีบัว มีโบกไม้ไผ่ หอย ปู ปลา เอาทั้งหมดมาใส่สระแอ่งน้ำไว้เพื่อให้เป็นเหมือน “สระโบกขรณี” ให้หอยปูปลาได้เข้ามาอยู่อาศัยอยู่ เมื่อทำพิธีกรรมต่างๆ เสร็จแล้วให้เอาหอยปูปลาเหล่านี้ไปปล่อยตามแหล่งน้ำของหมู่บ้าน

­

นอกจากการฟังเทศน์มหาชาติแล้ว ประเพณีนี้ยังได้แฝงความเชื่อหลายประการไว้ด้วย คือ ความเชื่อในเรื่องพระอุปคุต อันเป็นพระผู้รักษาพิธีต่างๆ ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นตังแต่ต้นจนจบ โดยเชื่อกันว่าในการทำบุญแต่ละครั้งจะมีมารเข้ามาขัดขวางทำลายพิธี ชาวพุทธจึงต้องนิมนต์พระอุปคุตมาร่วมพิธีด้วย เพื่อช่วยขจัดอันตรายต่างๆ และเกิดความสวัสดิมงคลอีกด้วย การนิมนต์พระอุปคุตจะเริ่มทำก่อนวันเทศน์มหาชาติหนึ่งวัน เรียกว่า "มื้อโฮม (วันสุกดิบ)" ในตอนบ่ายจะทำพิธีแห่พระเวส (พระเวสสันดร) เข้าเมือง

­

ประเพณีบุญผเวสของชาวบ้านโคกกลางในปัจจุบันยังคงมีการเตรียมเครื่องคุรุพันและลหุพันครบทุกอย่างเหมือนกับที่เคยทำมาในอดีต แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำขึ้นใหม่จะใช้ของเดิมทุกอย่าง แม้แต่ข้าวพันก้อน ระยะเวลาในการเตรียมงานจึงน้อยลง ส่วนระยะเวลาในการเทศน์มหาชาตินั้นจะรวบรัดกว่าแต่ก่อนมาก โดยใช้เวลาในการเทศน์จนครบทุกกัณฑ์อย่างมากไม่เกิน 3 ชั่วโมง การนิมนต์พระมาเทศน์ก็จะเหลือเพียง 2-3 รูปเท่านั้น เนื่องจากพระที่สามารถเทศน์มหาชาติหรือลำผะเหวดได้ก็หาได้ยาก ชาวบ้านก็จะนิมนต์เพียงพระมาเทศน์เท่านั้น ไม่ได้เชิญญาติโยมร่วมเดินทางมาด้วยเหมือนกับในอดีต และไม่มีการปลูกปะรำขึ้นต้อนรับแขกอีกแล้ว โดยจะนิมนต์พระให้จำวัดอยู่ที่ศาลาวัดเลย และในบางปีก็นิมนต์พระนักเทศน์มาเป็นคณะ ซึ่งจะมีพระประมาณ 3 รูปที่ลำผะเหวดด้วยกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะชอบ เพราะท่านเหล่านี้จะเสียงดี มีการโต้ตอบสอดแทรกกัน คล้ายๆ กับฟังละครวิทยุ

­

ผู้อาวุโสของหมู่บ้านแสดงความเห็นว่าชาวบ้านให้ความสำคัญกับบุญผเวสน้อยลงมาก ปัจจุบันมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นที่ต้องการทำให้ถูกต้องครบตามขั้นตอนของพิธีกรรมที่เคยทำมาในอดีต แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ในปัจจุบันต้องการรวบรัดให้เสร็จเร็วขึ้น ดังนั้นในอนาคตประเพณีบุญพระเวสอาจจะยังคงมีการยึดถือปฏิบัติอยู่ต่อไป แต่ขั้นตอนตามพิธีกรรมบางเรื่องอาจจะขาดหายไป

­

ด้วยความห่วงใยในวัฒนธรรมประเพณีของผู้อาวุโสเช่นนี้ ศูนย์เรียนรู้ชาวดินในฐานะที่เป็นองค์กรที่ทำงานด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้และแฝงตัวอยู่ในชุมชน ตระหนักถึงความห่วงใยนี้เช่นกัน เราไม่ได้อยากอนุรักษณ์เฉพาะพิธีกรรมเท่านั้น แต่เราต้องการฟื้นความทรงพลังของวัฒนธรรมท้องถิ่นในแง่ของการเป็นตัวร้อยรัดความสัมพันธ์ของคนในชุมชนเป็นประการใหญ่ การจัดงานในครั้งนี้จึงเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของคนทุกส่วนในชุมชน และสำหรับชุมชนอีสานแล้ว โดยเฉพาะที่นี่ “โคกกลาง” ความสนุกสนานเป็นตัวดึงการมีส่วนร่วมได้มากที่สุด ในปีนี้เราจึงขอดึงพลังมวลชนโดยการใช้ความสนุกสนานเป็นตัวนำทั้งในขบวนแห่ และงานมหรสพ กิจกรรมทั้ง 2 อย่างนี้ได้เน้นให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมสร้างความสนุกสนานกันขึ้นมาเอง ขบวนแห่ที่ตกแต่งขึ้นมาอย่างอลังการ และมหรสพที่สนุกสนานก็เกิดจากฝีมือของคนในชุมชนเช่นกัน ซึ่งในอดีตมหรสพชาวบ้านก็จะเรี่ยไรเงินกันว่าจ้างหนังหรือหมอลำ ปีนี้ในด้านมหรสพแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลยก็ว่าได้ แต่ผู้คนล้นหลามกว่าทุกปีที่ผ่านมา

­

บทบาทของศูนย์เรียนรู้ชาวดินนอกจากกระตุ้นให้เกิด 2 ส่วนที่กล่าวมาแล้ว พวกเราก็ต้องหาวิธีการที่จะแทรกการเรียนรู้เข้าไปด้วย ทั้งกับเด็ก เยาวชน และชาวบ้านทั่วๆ ไป สำหรับเด็กพวกเราก็สอดแทรกการเรียนรู้ทั้งในด้านการพูด ฟัง อ่านเขียน การสังเกต ความเชื่อมั่นในตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ การสัมพันธ์กับผู้อื่น และเนื้อหาเรื่องราวของพระเวสสันดร ถูกสอดแทรกเข้าไปในกระบวนการถ่ายทำหนังเรื่องพระเวสสันดร ส่วนชาวบ้านทั่วไปในปีนี้ได้เน้นให้มีการเรียนรู้เนื้อหาเรื่องราวของพระเวสสันดรผ่านขบวนแห่ทั้ง 13 กัณฑ์ หนังเรื่องพระเวสสันดรที่เด็กๆ แสดงกันเอง และการเทศน์หรือลำผะเหวดทั้ง 13 กัณฑ์ ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนงานครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ใหญ่ใจดี (กำนันและผู้ช่วย) และแกนนำเยาวชน บทบาทของผู้ใหญ่ใจดี คือ ช่วยประสานงานกับส่วนต่างๆ ของชุมชนทั้งในด้านพิธีกรรม และการมีส่วนร่วมในขบวนแห่ ส่วนแกนนำเยาวชนจะงานหนักหน่อย ทั้งจำนวนคนที่ช่วยงานน้อยลงเนื่องจากบางส่วนต้องเรียนพิเศษเตรียมตัวเรียนในระดับอุดมศึกษา และกลุ่มนี้ก็เป็นแรงงานหลักในการจัดขบวนแห่ ประสานคนที่จะแสดงแต่ละกัณฑ์ในขบวนแห่ จัดเตรียมสถานที่ และถ่ายทำหนังพระเวสสันดร

­

งานเขียนในส่วนต่อจากนี้จะเป็นเรื่องเล่าจากแกนนำเยาวชนที่เป็นแกนหลักในการทำกิจกรรม ส่วนหนึ่งเป็นนักเขียนหน้าใหม่ (กอล์ฟ โจโจ้ หลิน) แต่ยังคงความโดดเด่นในด้านเก็บรายละเอียดของกิจกรรม สิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ และอารมณ์ความรู้สึกได้ไม่แพ้พี่ๆ (ศักดา โอเล่)

­

­

กว่าจะเป็นงานบุญผเวส

­

จากปลายนิ้วมือ... โอ๋และหลิน

­

ถ้าจะกล่าวถึงงานบุญของเราชาวอีสานแล้ว บุญพระเวสก็เป็นอีกหนึ่งบุญประเพณี ที่เป็นบุญของการให้ทาน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการให้ทานในชาติที่เกิดมาเป็นพระเวสสันดรของพระพุทธเจ้าเป็นชาติสุดท้าย ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาติที่ท่านยังเป็นพระเวสสันดร ท่านได้ให้ทานกับมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ทั้งการทานช้างคู่บ้านคู่เมือง เสื้อผ้าเครื่องประดับตกแต่ง แม้กระทั่งทานลูกอันเป็นที่รักของตน ให้แก่พราหมณ์ เป็นการทานที่ยิ่งใหญ่มาก สำหรับการเสวยชาติเป็นมนุษย์

­

ข้อมูลเกี่ยวกับพระเวสสันดรนั้นมีมากมายและหาได้ทั่วไปในปัจจุบัน ทั้งในหนังสือพระไตรปิฎก อินเตอร์เน็ต การ์ตูน หนังสือ นิทาน ในผ้าแห่พระเวสสันดร ฯลฯ ที่มีประวัติความเป็นมาของบุญพระเวส แต่ดูเหมือนว่า ผู้คนในปัจจุบันให้ความสนใจกับเรื่องราวเหล่านี้น้อย ยิ่งเด็กและเยาวชนในหมู่บ้าน น้อยมากที่จะรู้เรื่องความเป็นมาของบุญ จากปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ในการทำงานบุญพระเวสที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม โจทย์คือจะทำอย่างไรให้บุญมหาเวสสันดรมีทั้งความสนุกสนาน คนในชุมชนมีส่วนร่วม และรู้ประวัติความเป็นของบุญนี้

­

การเตรียมงานในครั้งนี้ใช้เวลาราว 2 เดือน ทั้งการประชุมของผู้นำในชุมชน แกนนำเยาวชนและเจ้าหน้าที่ของสถาบันยุวโพธิชนที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกเรา เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้งานครั้งนี้เกิดขึ้น การเตรียมงานของเราค่อยๆเป็นไป ตั้งแต่กิจกรรมภายในงาน ใครมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง การหาข้อมูลของงานบุญ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็กๆและเยาวชน งานนี้ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือ การเสียสละของคนในชุมชน ทั้งเรื่องขบวนแห่ทั้ง 13 กัณฑ์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของพระเวสสันดร ที่ได้เยาวชนส่วนหนึ่งมารับผิดชอบทำเรื่องขบวนแห่ เริ่มตั้งแต่การหาคนที่จะขึ้นบนขบวนแห่ ทั้ง 13 กัณฑ์ จัดตกแต่งขบวนโดยมีชาวบ้านมาร่วมกันตกแต่ง ส่วนทางด้านพิธีกรรมในครั้งนี้ ก็เข้มข้นยิ่งขึ้นทั้งเรื่องของขวนแห่ ปีนี้มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่มากในปีนี้ พร้อมทั้งที่การจัดกระบวนการเรียนรู้ภาคพิเศษก่อนที่จะขึ้นแห่ในตอนเย็น โดยการเชิญพระอาจารย์เพิก โฆสนาโม วัดห้วยกี้วนาราม จังหวัดแพร่ มาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสำคัญของบุคคลที่อยู่ในแต่ละกัณฑ์ว่ามีความสำคัญอย่างไร และให้ทุกคนที่ขึ้นขบวนแห่ ได้มีการแลกเปลี่ยนกันในสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวตัวละครแต่ละตัวที่ได้ขึ้นแห่ กิจกรรมนี้ทำให้คนที่ได้ขึ้นไปนั่งแห่ในแต่ละกัณฑ์ ได้เห็นความสำคัญของแต่ละกัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นเหมือนการสร้างความภาคภูมิใจของผู้เข้าร่วมขบวนแห่ทั้ง 13 กัณฑ์

­

­

หลังจากขวนแห่แล้ว ก็จะมีการเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสนครั้งนี้เราก็ได้เชิญนักจัดรายการวิทยุชุมชนซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับการเทศน์เรื่องมาลัยหมื่นมาลัยแสนมาเทศน์หลังจากที่ขบวนแห่จบลง ช่วงค่ำมีมหรสพ ทั้งเรื่องราวของพระเวสสันดรผ่านการแสดงของเด็กๆในชุมชนกว่า 30 คน กว่าจะเป็นหนังให้ผู้คนได้ชมกัน เหล่านักแสดงตัวน้อยๆเหล่านี้ก็ต้องเข้าร่วมติวเข้มกันถึง 10 วัน เพราะหนังครั้งนี้จะไม่มีการเขียนสคริปแล้วให้เด็กมาท่องจำ แต่การอบรมครั้งนี้ทำให้เด็กได้รู้เรื่องราวของพระเวสสันดรมากยิ่งขึ้น และเป็นการแสดงที่เกิดจากความเข้าใจของเด็กโดยแท้จริง จากการสนับสนุนจากพระอาจารย์เพิก พี่อ้อย ศักดา น้าสำเนียง พี่อ้อม และอีกหลายคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เป็นการฟังเทศน์หรือลำผะเหวดทั้ง 13 กัณฑ์ ซึ่งการเทศน์ในปีนี้ได้ทำเหมือนสมัยก่อนคือไปนิมนต์พระแต่ล่ะวัดมาเทศน์ ไม่ได้จ้างพระนักเทศน์เหมือนปีที่ผ่านมา

­

งานในครั้งนี้จึงได้เห็นความเสียสละ การร่วมแรงร่วมใจและการให้ความสนับสนุนจากคนในชุมชน ทั้งข้าวปลาอาหาร อุปกรณ์ในขบวนแห่ แม้กระทั้งการให้คำแนะนำในเรื่องพิธีกรรมทางศาสนา สิ่งที่ใหม่ของการจัดประเพณีบุญพระเวสในครั้งนี้คือการเอาเรื่องของการเทศน์ ซึ่งได้นิมนต์พระจากวัดอื่นได้มีส่วนร่วมในการเทศน์ แม้จะเป็นแบบดังเดิมแต่ก็หาอยากมากแล้วในปัจจุบัน การที่ได้เห็นได้สัมพัทธ์ ทำให้เราได้รู้ว่าเข้าให้คุณค่ากับงานประเพณีมากเพียงไร เพราะงานบุญประเพณีทำให้คนในชุมชนได้ทำงานร่วมกัน การทีได้ทำงานร่วมกันทำให้คนในชุมชนรู้จักการเสียสระ การให้อภัย จึงเป็นผลที่ทำให้ชุมชนเข็มแข็งและคนในชุมชนมีความเคารพซึ่งกันและกัน

­

­

กระบวนการเรียนรู้กับละครเด็ก...

­

ถ่ายถอดเรื่องราวโดย...ศักดา เหล่าเกตุ

­

อีกครั้งที่ชาวบ้านโคกกลางจัดงานบุญประเพณีเกี่ยวกับฮีตสิบสองครองสิบสี่ เดือนนี้ตกที่ เดือนสี่ บุญผเหวด (พระเวสสันดร) เป็นบุญที่จัดกันทุกปีและปีนี้มีกิจกรรมที่หลากหลายอีกทั้งก็จัดใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา มีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ มีการฉายละครเรื่องพระเวสสันดรที่ เด็กๆ ในหมู่บ้านเป็นคนแสดงเอง มีการเทศนาแบบสมัยเก่าเป็นเทศน์ในใบลาน ผมจะขอกล่าวในเรื่องของละครที่เด็กได้แสดงและถ่ายทำเป็นหนังให้ชาวบ้านได้ดูกัน เบื้องหลังของการถ่ายทำ เบื้องหลังของความสำเร็จ กว่าผลงานจะออกมาสู่สายตาของประชาชน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ซึ้งผมจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

­

ละครเรื่องเวสสันดรชาดกเป็นโจทย์ที่ยากเหมือนกันที่จะหยิบยกมา เพราะมีผู้คนมาเล่าให้เราฟังว่าการนำเรื่องนี้มาเล่นต้องทำให้ถูกต้องไม่ขาดไม่เกิน เพราะเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์เอามาทำเล่นไม่ได้ ซึ้งต่างจากเรื่องก่อนๆ ที่เราเคยนำมาเล่นให้คนได้ดู ตัวละครใช้เด็กในหมู่บ้านเป็นตัวแสดง เกิดการให้ความสนใจจากเด็กเป็นอย่างดี รู้สึกว่าเด็กจะกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ บางวันเด็กมารอกันตั้งแต่ช้าทั้งๆ ที่เรายังไม่ทันได้กินข้าวเลย

­

ก่อนการถ่ายทำได้มีการเล่นกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้แสดงความกล้าของตน และลดความเขินอาย มีเล่นกิจกรรมที่แสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น โกรธ ร้องไห้ หัวเราะดีใจ เป็นต้น มีการเต้นเพื่อเรียนรู้จักการดูแลตัวเองและคนอื่น ดูจังหวะพื้นที่อารมณ์จากการเต้น ซึ่งได้วิทยากรที่เก่งเรื่องการเต้นมาสอนให้ เท่าที่ผมสังเกตเด็กจะสนุกมากกับการเต้น เพราะเหมือนหมดช่วงที่สอนเต้น เด็กมาบ่นมาให้ฟังว่าอยากเต้นอีก มาเรียกร้องจนผมต้องยอมเปิดเพลงให้เต้น... ต่อมาได้มีการพาเด็กไปเรียนรู้กับการสังเกตพฤติกรรมของธรรมชาติ มีโจษให้เด็กไปคอยสังเกตดูอะไรก็ได้ในพื้นที่ป่าที่เรากำหนด แล้วให้เด็กได้มาแสดงกิริยาท่าทางสิ่งที่เขาไปเฝ้าดูมา และมีการเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่าเรื่องสิ่งที่ได้ไปเห็นมาเพื่อฝึกความกล้าของตนเองในการพูด มีเด็กเล็กบางคนอายไม่คอยกล้าพูด เด็กโตก็ช่วยพูดเสริมเพิ่มเติมให้

­

­

  การเตรียมความพร้อมของเด็กๆ ด้วยกิจกรรมต่างๆก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ ได้พี่อ้อยและพระอาจารย์เพิก มาเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กๆ ก็ใช้เวลาไปหลายวันเช่นกันในการเตรียมความพร้อมและวันงานก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที เหลือเพียงอีก 3 วันเท่านั้นก็จะเป็นวันงานแล้ว บทละครที่ใช้เราใช้เนื้อหาจากพระไตรปิฎก เพราะจะได้เป็นเรื่องที่สมบูรณ์จริง ไม่ใช่แต่เอาจากเราเล่าปากต่อปาก ใช้เนื้อหาจากพระไตรปิฎกในการดำเนินเรื่อง เป็นเรื่องอยากเหมือนกันเพราะเราก็ต้องอ่านให้เข้าใจก่อนที่จะสอนเด็ก

­

การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น เด็กบางคนที่ได้ถ่ายทำในฉากแรกก็รู้สึกเขินๆ เพราะมีเพื่อนคอยจ้องมองคอยให้กำลังใจ มีการพูดผิดพูดถูกกอยู่บ่อยมาก ถ่ายทำกันอยู่หลายครั้ง เด็กที่ไม่ได้เข้าฉากก็เล่นหยอกล้อกัน รบกวนสมาธิอย่างมาก บอกได้แป๊บเดียว ก็เริ่มหยอกล้อกันอีก บางทีตัวละครก็จำบทไม่ได้ วันแรกที่ถ่ายก็เป็นไปอย่าง....เหนื่อยมาก การถ่ายทำของทุกๆ วันเป็นไปด้วยความล่าช้า เพราะบางวันเด็กก็ต้องไปโรงเรียนเพื่อดูผลสอบ บางคนก็ไปสมัครเรียนในชั้นที่สูงขึ้นไป ตัวละครที่วางไว้ในฉากก็ไม่ครบ เลยต้องรอจนกว่านักแสดงจะมากฃ ซึ่งเวลาการถ่ายทำเหลืออีกวันสองวัน และยังต้องตัดต่อให้เป็นเรื่องให้คนได้ดูอีก โอ้!!!! ผมเริ่มหนักใจแล้ว ช่วงที่ถ่ายทำบางฉากก็มีการล้อเล่นกัน หัวเราะแกล้งหยอกล้อกัน (ปวดหัวสุดๆ) มีแบบว่าช่วงที่เพื่อนเข้าฉาก เพื่อนที่มาดูก็เริ่มทำหน้าตาท่าทางให้ตลก เพื่อที่จะรบกวนสมาธิ ...แหม.....เหนื่อยครับ ถ่ายทำเสร็จหมดผมโล่งใจสุด ยังเหลืออีกหนึ่งวันเพื่อที่จะใช้เวลาในการตัดต่อ แต่พอมาทำตัดต่อไฟล์ภาพที่ถ่ายไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ใช้ส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนมากต่างหากที่ใช้ไม่ได้ (ที่ใช้ไม่ได้เนื่องจากผมไม่รู้จักไฟล์พวกนี้ แต่ก่อนตัดต่อเฉพาะที่เป็นคลิปวิดีโอ) โอ้????? ต้องถ่ายใหม่อย่างนั้นหรือ??? ยังดีที่วันฉาย เป็นเวลากลางคืน นั้นก็ยังดีที่ยังเหลือเวลาช่วงกลางวันให้ได้ถ่ายทำ แต่ก็คงจะไม่เสร็จหรอก ก็เลยเกิดแนวคิดที่ว่า จะถ่ายแบบให้เด็กมาเล่าเรื่องให้คนดูฟัง และนำฉากที่ถ่ายไว้ในตอนแรกมาเป็นภาพประกอบการเล่าเรื่อง แต่กว่างานนี้จะเสร็จก็ล่วงเข้าไปห้าโมงเย็น ตอนที่เสร็จงานตัดต่อผมรู้สึกอยากจะร้องออกมาดังๆ ม้ากมาก... หลังจากทำเสร็จผมก็รีบวิ่งไปร่วมงานขบวนแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง เกือบไม่ทัน เกือบพลาดภาพบรรยากาศของชาวชุมชนที่กำลังสนุกกับงานบุญครั้งนี้

­

­

กิจกรรมช่วงกลางคืนมาถึง เป็นช่วงที่ต้องฉายหนังให้ชาวบ้านดู ผมตื่นเต้นมาก เพราะเรื่องที่ถ่ายทำแล้วใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแผนการถ่ายทำ กลัวชาวบ้านไม่พอใจในผลงานที่ออกมา ชาวบ้านมารอดูลูกหลานตัวเองจากจอภาพยนตร์เยอะมาก ผมเริ่มรู้สึกดีใจที่พอฉายไปแล้วมีเสียหัวเราะขำขันกับเรื่องที่ดำเนินไป ไม่ได้เงียบอย่างน่าเป็นห่วงอย่างที่ผมคิดไว้ มีเสียงหัวเราะอยู่เรื่อยๆ ผมก็ชื่นใจแล้วกับการทำงานบุญครั้งนี้

­

หลังงานเสร็จสิ้นลงชาวบ้านก็พูดถึงละครกันมากว่าเด็กแสดงได้ดี อันนี้ก็เป็นความสำเร็จหนึ่งที่ตั้งไว้ แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเรียนรู้ที่จัดให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ก่อนที่จะถ่ายทำ เราไม่ได้หวังแค่ว่าเด็กจะต้องแสดงเก่งเท่านั้น แต่เด็กต้องเก่งเรื่องอื่นด้วย ทั้งพูดคิดอ่านเขียน และการอยู่ร่วมกับคนอื่น...

­

บวนแห่ผะเหวด (พระเวสสันดร) เข้าเมือง

­

เล่าเรื่องโดย.........กอล์ฟ

­

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ปลายเดือนมีนาคมแล้ว ช่วงที่ว่าอากาศนั้นกำลังร้อนระอุเป็นประจำทุกปี ทว่าทำไมปีนี้อากาศที่หนาวเหน็บยังคงไม่อำลาไป ถ้าเป็นปีก่อนๆ คงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำวันละหลายรอบ แต่ช่วงนี้เพียงแต่จะก้าวเท้าแตะพื้นห้องน้ำยังต้องคิดแล้วคิดอีก

­

ตื่นขึ้นทุกวันตอนเช้าเป็นความรู้สึกที่แสนทรมานสุดๆ กับการที่จะผลักตัวเองออกจากผ้าห่ม ผิวกายต้องกับไอหนาวยามเช้าไม่ต้องพูดถึงกัน เสียงจ้อยแจ้วมาแต่ไกล เป็นเสียงของเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านจับกลุ่มกันเดินลงมาบ้านดิน (ศูนย์เรียนรู้ชาวดิน) แต่เช้าตรู่ทุกวัน บ้างก็บิดรถเครื่องมากัน บางทีผมก็นึกในใจว่าความเจริญก็ทำให้เด็กๆ ขับรถเครื่องเป็นตั้งแต่ยังเล็กเหมือนกันนะ

­

­

เช้าวันที่ 24 มีนาคม ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแรกของวันที่สาดจ้ามาแต่เช้าหลังจากที่มันได้ละเลยหน้าที่มาหลายวัน แสงแดดอ่อนๆ ช่วยพอบรรเทาความหนาวกายได้เยอะทีเดียว วันนี้เด็กๆ ก็ยังคงมาบ้านดินเช่นเคยแต่ดูเหมือนจะเร่งรีบกว่าทุกวันคงเป็นเพราะวันนี้หมู่บ้านจะมีงานบุญผะเหวดหรือบุญมหาชาติ เท่าที่ผมรู้มาบุญผะเหวดเป็นประเพณีที่ชาวอีสานจัดขึ้นทุกปีเป็นการทำบุญถึงพระเวสสันดรซึ่งในชาดก พระพุทธเจ้าได้เสวยชาติมาเกิดเป็นพระเวสสันดร ถ้าใครได้ร่วมงานบุญผะเหวดตั้งแต่ต้นจนเสร็จงานบุญจะได้ขึ้นสวรรค์ นับเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของชาวอีสาน (ผมก็รู้มาบ้างแค่นี้) บางทีก็นึกน้อยใจตัวเองที่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับประเพณีต่างๆ หากเป็นเช่นนี้ประเพณีที่ผู้เฒ่าผู้แก่สืบทอดกันมาคงสูญหายไปเป็นแน่แท้

­

กิจกรรมในวันนี้จะมีขบวนแห่เป็นขบวนแห่เชิญผะเหวด (พระเวสสันดร) เข้าเมือง ตอนช่วงเช้าทุกคนวุ่นอยู่กับการเตรียมงานให้ทันขบวนแห่ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายแดดอ่อนๆ เด็กๆ เยาวชน รวมทั้งผู้ใหญ่ที่มีส่วนร่วมในการแต่งตัวเป็นตัวละครในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งประมาณด้วยสายตาแล้วก็เกือบ 50 คนได้ ต่างคลุกคลีอยู่กับการแต่งหน้า แต่งตัว พี่ศักดากำลังคิ้วขมวดอยู่กับการตัดต่อละครที่ซุ่มถ่ายกับเด็กๆในหมู่บ้านเพื่อให้ทันฉายในค่ำวันนี้ พี่โอ๋ก็ดูวุ่นๆ อยู่กับการเตรียมคนที่ได้แต่งตัว ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน บ้างก็กำลังช่วยกันเตรียมรถขบวน บ้างก็ตั้งวงกันพับห่อหมากพลู บ้างก็นั่งห่อข้าวต้มมัด และอีกหลายๆ ส่วนที่กำลังเตรียมงานกันอย่างเร่งรีบ บางส่วนอาจมีปัญหากันบ้าง ผมคิดว่าเป็นธรรมดาของการทำงาน ทว่าทุกคนก็หวังให้งานบุญนี้ออกมาดีที่สุดเหมือนกัน

­

เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสามโมงแล้ว ผมและอีกหลายๆ คนกำลังเร่งแต่งตัวกันอยู่ที่ห้องสมุดบ้านดิน (ที่บัดนี้ถูกใช้เป็นห้องแต่งตัวชั่วคราว) ขณะนี้มีหลายคนที่แต่งตัวเสร็จแล้ว และบางส่วนที่ยังไม่เสร็จ ดูทุกคนตื่นเต้นกับการแต่งตัวเป็นตัวละครต่างๆในพระเวสสันดรชาดก ที่เห็นจะตื่นเต้นหนักกว่าใครคงเป็นเหล่าเด็กๆ ตัวน้อยที่ดูจะชอบใจกับการได้มีส่วนร่วมในงานบุญครั้งนี้ มีบางกลุ่มมารอแต่งตัวตั้งแต่เช้า หลับไปหลายรอบแล้วก็มี อากาศในห้องสมุดร้อนมาก คงเป็นเพราะคนอัดกันอยู่เต็มห้อง ดูทุกคนวุ่นๆ แต่รอยยิ้มก็ยังคงมีอยู่ในทุกใบหน้า

­

­

เมื่อทุกคนแต่งตัวเป็นตัวละครต่างๆ ในพระเวสสันดรชาดกเสร็จแล้ว เวลาก็ปาเข้าไปถึงบ่ายสี่โมงแล้ว บัดนี้บนตัวของทุกคนถูกประดับตกแต่งด้วยชุดที่ต่างกันไป เสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆ ราวกับว่าพวกเราจะไปถ่ายละครเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ ก็ว่าได้ เมื่อพวกเราพร้อมแล้วก่อนที่เราจะไปเข้าร่วมขบวนแห่ ก็ได้มารวมตัวกันที่ลานวัดก่อนเพื่อเตรียมความพร้อมและรอให้แดดอ่อนลงก่อน เวลานี้พระอาจารย