เล่าจากป่า (สาคู) สู่นวัตตกรรมการผลิตแป้ง (สาคู) โดย ศิริชัย พรหมทอง เรื่อง
รุ่งนภา จินดาโสม
 

 

บันทึกวันที่ 19 ก.ค. 2553

รู้จักต้นสาคูและกระบวนการเรียนรู้ของคนในชุมชน

มุมมองจากพื้นที่ปฏิบัติการของมูลนิธิหยาดฝน จ.ตรัง

 

          เมื่อพูดถึง “จังหวัดตรัง” เราๆ ท่านๆ จะนึกถึงอะไรบ้าง? หมูย่างเมืองตรัง… ขนมเค้กเมืองตรัง… ขนมเปี๊ยะซอยเก้า… ปลาพะยูน… หาดเจ้าไหม… หาดปากเม็ง… ยางพาราต้นแรก… และนายกชวน… รวมทั้งแม่ถ้วน หลีกภัย ฯลฯ 

 

          เอ… เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะมีใครนึกถึง “ต้นสาคู” บ้างหรือไม่ จะมีสักกี่คนที่รู้จักต้นสาคูจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร? 

กว่าคุณจะได้รู้จักต้นสาคู กว่าคุณจะได้รู้ว่าสาคูเป็นพืชที่มหัศจรรย์แค่ไหน… ตอนนี้นวัตกรรมของสาคูก็ก้าวไปไกลแล้ว…  

 

          “สาคู” (sagu palm) เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอยู่ในตระกูลปาล์ม ชอบอยู่ในที่ชุ่มชื้นแฉะ มีน้ำขังตลอดปี หรือป่าพรุ พบมากตั้งแต่จังหวัดชุมพรไปจนถึงจังหวัดนราธิวาส แต่พื้นที่ที่มีสาคูมากที่สุดอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและตรังนั่นเอง สาคูนับว่าเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนในชนบทภาคใต้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น เช่น ใบใช้ทำจากมุงหลังคาบ้าน ทางใช้ทำรั้วหรือคอกเลี้ยงสัตว์ และเปลือกใช้ทำเชื้อเพลิง ส่วนยางใช้แทนกาวปิดกระดาษสำหรับทำว่าวของชาวบ้าน สำหรับลำต้นของสาคูเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ นำมาผลิตเป็นแป้งสาคู สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ (หมู ไก่ และเป็ด) ใช้ประกอบอาหาร หรือทำขนมได้หลายชนิด เช่น ขนมครก ขนมจีน ขนมปากหม้อ เส้นหมี่ ขนมรังผึ้ง คุกกี้ และขนมจาก เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง ไม่ต้องใส่ปุ๋ยและสารเคมี จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค

 

           “พร่งุนี้ช่อง 11 จะมาถ่ายทำเรื่องเครื่องผลิตแป้งสาคู” เสียงบอกเล่าของคุณพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ประธานมูลนิธิหยาดฝน ยังคงไม่ได้ให้ความกระจ่างมากนักเกี่ยวกับต้นสาคู และยังจะมีเจ้า “เครื่องผลิตแป้งสาคู” อีก แต่ความสงสัยทั้งหมดก็ได้รับการคลี่คลายในวันรุ่งขึ้น เมื่อเราได้พบกับ ผศ.พนม อินทฤทธิ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย วิทยานครศรีธรรมราช ซึ่งประดิษฐ์เครื่องผลิตแป้งสาคู (ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) เพื่อลดการใช้แรงงาน และสามารถขูดและแยกแป้งจากไส้ต้นสาคูอยู่ในเครื่องเดียวกัน (อ่านมาถึงบรรทัดนี้ หลายท่านคงสงสัยว่า แล้วมันมหัศจรรย์ตรงไหน เดี๋ยวก็รู้…) 

 

     

ช่อดอกต้นสาคูจะแตกตรงส่วนยอดคล้ายเขากวาง

 

          วันที่ 19 ก.ค. พวกเราได้เดินทางไป “ศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าสาคูลำคลองชาน อ.นาโยง” ที่นี่เราได้เห็นสาคูต้นเป็นๆ เสียที คุณพิศิษฐ์ บอกว่า “สาคูเมื่อเล็กลำต้นจะทอดขนานกับพื้นดิน ต่อมาลำต้นจะตั้งตรง เมื่อโตเต็มที่สูงประมาณ 15 เมตร… ลักษณะใบเป็นใบประกอบรูปขนนก มีใบย่อยมาก คล้ายใบมะพร้าว แต่มีความมันกว่า ขนาดใหญ่และหนากว่า ตรงก้านใบมีปมเป็นเสี้ยนตลอดก้าน… เมื่อต้นสูงประมาณ 8-10 เมตร จะมีช่อดอกแตกตรงส่วนยอดคล้ายเขากวาง ชาวบ้านเรียกว่า ‘แตกเขากวาง’ มีสีน้ำตาลแดง… ผลสาคูมีลักษณะเป็นทะลาย รูปผลกลม มีเปลือกเป็นเกล็ดเล็ก ๆ หุ้มไว้ โดยผลสุกจะมีสีน้ำตาล เมื่อสาคูออกดอกและผลแล้ว ต้นสาคูจะตายและแตกต้นอ่อนขึ้นมาแทน… สาคูขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อจากรากเหง้าของต้นเดิม และการเพาะเมล็ด…” 

 

         

อ.สมนึก โออินทร์ ปราชญ์ท้องถิ่นแห่ง อ.นาโยง                                                           การตัดโค่นต้นสาคู

 

          อาจารย์สมนึก โออินทร์ ปราชญ์ท้องถิ่นแห่ง อ.นาโยง  ได้พาพวกเราไปดูวิธีการเลือกต้นสาคู และการตัดโค่นต้นสาคู โดยปรกติจะสามารถสกัดเอาแป้งจากต้นสาคูได้เมื่ออายุประมาณ 10 ปี (ช่วงที่แตกเขากวาง) ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 45-60 เซนติเมตร หากเลยช่วงนี้ไปต้นจะตายและเน่าเสียไปโดยธรรมชาติ 

   

     

ต้นสาคูจะถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ         การผ่าเอาเปลือกลำต้นออก

 

          หลังจากตัดโค่นลงมาแล้ว จะเลื่อยเป็นท่อนประมาณ 1 เมตร เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย จากนั้นลำเลียงไปที่ศาลาหมู่บ้าน ม.1 บ้านเกาะหยี ต.โคกสะบ้า เพื่อผ่าเอาเปลือกลำต้นออก และนำเนื้อสาคูเข้าสู่กระบวนการผลิตแป้งสาคูต่อไป

 

          คุณเพลินใจ ชาญเสนาะ จากมูลนิธิหยาดฝน ให้ข้อสังเกตว่า “เรื่องการขนย้ายลำต้นสาคูซึ่งมีน้ำหนักมากออกจากพื้นที่ เพื่อไปยังสถานที่ผลิตแป้งนี้ ก็เป็นโจทย์ที่หลายฝ่ายคงต้องช่วยกันคิด ว่าจะทำอย่างไร ให้สามารถขนย้ายได้สะดวกที่สุด แต่ก่อนนี้ เมื่อโค่นต้นแล้ว จะลำเลียงมาทางน้ำ (หากมีทางน้ำที่ไหลสะดวก) หากเป็นทางเดินเท้าก็จะลำเลียงออกโดยใช้รถซาเล้ง หรือมอเตอร์ไซค์ หากอยู่ใกล้ถนน ก็จะใช้รถยนต์”

 

 

     

ป้าละเมียด รัตนะ ผู้นำกลุ่มแม่บ้าน                                แปรงตะปูที่ใช้ในการขูดเนื้อสาคูเพื่อนำไปคั้นน้ำ

   

     

การใช้เครื่องมอเตอร์ขูดเนื้อสาคู               น้ำแป้งที่คั้นมาจากเนื้อต้นสาคู

 

          ป้าละเมียด รัตนะ บ้านทุ่งแกเจ้ย ต.นาข้าวเสีย ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มแม่บ้านที่มีบทบาทอย่างมากในร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าสาคูมายาวนาน เล่าให้ฟังถึงพัฒนาการการผลิตแป้งสาคูของชาวบ้านว่า “แต่ก่อนจะใช้แปรงตะปู (คล้ายแปรงสีฟัน) ขูดไส้ เพื่อให้แป้งหลุดออกมาซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นวันๆ ต่อมาใช้เครื่องมอเตอร์ขูด (เครื่องขูดมะพร้าว) ก็ช่วยให้ขูดได้ไว้ขึ้น (ใช้เวลาจากวันเป็นชั่วโมงแทน) ซึ่งเมื่อได้เนื้อสาคูที่ขูดแล้วก็จะนำไปขยำและคั้นในน้ำบนผ้าขาวบางแล้วปล่อยให้ตกตะกอน…”

   

     

เครื่องผลิตแป้งสาคู โดย ผศ.พนม อินทฤทธิ์ และคณะ                 สามารถขูดเนื้อและคั้นน้ำได้ในเครื่องเดียวกัน

 

          ผศ.พนม อินทฤทธิ์ เสริมว่า “เดิมชาวบ้านใช้มีการใช้แรงงานเป็นหลัก กว่าจะใช้อุปกรณ์ขูดเสร็จ ขยำจนได้น้ำแป้งแล้ว หลังจากนั้นเทน้ำออกให้เหลือแต่แป้ง นำมาร่อนกับกระด้งให้เป็นเม็ดเล็กๆ แล้วนำไปใส่กระทะรางด้วยไฟอ่อนๆ ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นแล้วตวงใส่ถุงจำหน่าย ซึ่งต้องใช้เวลาและสามารถผลิตได้เป็นปริมาณน้อย… ส่วนการมีเครื่องมือทุ่นแรงโดยใช้มอเตอร์จะสามารถช่วยปรับปรุงการผลิตได้ แต่ยังจำเป็นต้องใช้คนทำงานอย่างน้อย 3 คน และใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อเนื้อสาคูประมาณ 100 กิโลกรัม คือใช้เวลา 2-3 วันต่อการทำแป้งสาคู 1 ต้น… แต่เครื่องผลิตแป้งสาคูที่คิดค้นขึ้นนี้ มีการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า ทั้งในด้านการลดใช้แรงคนและเวลา แต่ได้ผลผลิตสูงกว่า เพราะสามารถขูดและแยกแป้งจากไส้ต้นสาคูได้ในเครื่องเดียวกัน และสามารถผลิตแป้งสาคูได้มากถึง 10 กิโลกรัม ภายใน 5.51 นาที หรือเฉลี่ย 109 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่เครื่องของชาวบ้านสามารถสกัดแป้งสาคูได้เพียง 48.78 กิโลกรัมต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้แป้งที่มีคุณภาพสูงกว่า ถูกสุขอนามัยกว่า…”

   

ขนมโรตี และลอดช่องที่ทำมาจากต้นสาคูจะมีเนื้อนุ่มเป็นพิเศษ

 

          สาคูเป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งมีคุณค่าทางอาหาร มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 80 % (สาคูเป็นพืชที่ให้แป้งสูงกว่าพืชอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี มันเทศ มันฝรั่ง และมันสำปะหลัง) และยังมีเส้นใยอาหาร แป้งสาคูสามารถประกอบอาหารได้หลากชนิด และเมื่อนำแป้งไปแปรรูปจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งการนำมาสกัดเอาแป้งจึงเป็นการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากต้นสาคู ซึ่งต้นที่สมบูรณ์จะมีแป้งสะสมอยู่ระหว่าง 150-175 กิโลกรัม นอกจากนี้สาคูยังนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางด้วย ขณะที่โปรตีนนำไปทำพลาสติกได้ ส่วนยอดของสาคูยังมีกาวยางธรรมชาติคุณภาพดี โดยประชาชนในท้องถิ่นภาคใต้สามารถสร้างรายได้จากการขายแป้งสาคูระหว่าง 2,000-3,000 บาท ต่อสาคู 1 ต้น โดยต้นสาคูที่ใช้ผลิตแป้งมีทั้งที่อยู่ในที่ดินของตัวเองและพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีการซื้อขายกันต้นละประมาณ 200-500 บาท

 

          อย่างไรก็ดี กระบวนการผลิตแป้งสาคู ยังคงเป็นโจทย์ที่ ผศ.พนม ยังต้องช่วยยอมรับว่ายังต้องปรับปรุงให้เครื่องผลิตแป้งสาคูมีประสิทธิภาพสูงขึ้นต่อไป และวิจัยพัฒนาเครื่องมือต่อเนื่อง เช่น เครื่องทำเม็ดสาคู เครื่องอบแป้งและเม็ดสาคู เพื่อให้การผลิตไม่ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของดินฟ้าอากาศ ซึ่งตรงจุดนี้เองเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า “สถาบันอุดมศึกษา และ “นักวิชาการ” จะเข้ามาช่วยต่อยอด สร้าง “ความรู้ที่กินได้” ใช้ประโยชน์ได้จริงให้กับชาวบ้านได้อย่างไร 

  

          จากกิจกรรมในวันนี้ นอกจากจะทำให้เราได้รู้จักต้นสาคู ระบบนิเวศของสาคู พร้อมทั้งระบบความสัมพันธ์ของสาคูกับชุมชนแล้ว ยังทำให้เราได้เห็นบทบาทของมูลนิธิหยาดฝนที่อยู่เบื้องหลังต้นสาคูและชาวบ้าน นั่นคือ การเป็น “ตัวกระตุ้น” ให้ชุมชนเกิดการรวมตัวกัน จากการเห็นปัญหาร่วมกัน และเกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน จากการทำกิจกรรมรวมกัน โดยทำหน้าที่เป็นเสมือน “พี่เลี้ยง” ที่คอยให้คำแนะนำปรึกษาและให้ข้อมูลแก่ชุมชน รวมทั้งเปิดพื้นที่เพื่อเป็นห้องแล็บทดลองใช้ความรู้ที่หลากหลาย และเชื่อมโยง “ความรู้จากภายนอก” เข้ามาต่อยอดกับความรู้ภายในที่มีอยู่

 

          จะเห็นว่า บทบาทของมูลนิธิหยาดฝนได้ช่วยให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของพืชเก่าแก่อย่างต้นสาคู ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และสาคูยังทำให้คนในชุมชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนท้องถิ่นอย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี โดยการพึ่งพาฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั่นเอง 

 

          อย่างไรก็ดี จากทุนที่มีในชุมชนท้องถิ่น  ทั้งทรัพยากร บุคคล กลุ่ม องค์กรต่างๆ ฯลฯ จะเป็นฐานทุนของโครงการฯ สรส. ในการต่อยอดเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็กและคนในชุมชนได้อย่างไร คงต้องติดตามในตอนต่อไป

 

(ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมจาก : www.dailyworldtoday.com, www.TFF.or.th) 

 

โดย สิริลักษณ์ ยิ้มประสาทพร

สถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.)