ผมไม่ใช่ครู ผมไม่ใช่ผู้รู้เรื่องเด็ก
คำรณ นิ่มอนงค์

ผมไม่ใช่ครู ผมไม่ใช่ผู้รู้เรื่องเด็ก ผมเป็นเพียงคนหนึ่งคนที่เชื่อว่าหากเด็กได้เรียนรู้กระบวนการที่เหมาะสมเขาจะเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีได้

ผมเริ่มทำงานเด็กภายใต้ความคิดึตอนนั้นว่า ผมไม่ชอบเด็กและจะไม่ทำงานกับเด็กแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ทำจึงเป็นการทำงานภายใต้ความรับผิดชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้มันออกจากหัวใจแล้ว

­

­

           เริ่มจากกลุ่มเด็กชาวกะเหรี่ยงชาติพันธุ์ที่สวนผึ้ง เป็นโครงการแรกที่ผมเองกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ต้องอ่าน ต้องเตรียมตัว ต้องค้นหาความรู้เยอะมาก เพื่อมาจัดกระบวนกับน้องๆ ซึ่งผมโชคดีว่างานวิจัยเพื่อท้องถิ่นมีบทเรียนในการทำงานเด็กไว้ให้เป็นแนวทางที่ผมนำมาประยุกต์ต่อ พอทำไปสักระยะผมพบว่าตัวเองเริ่มพัฒนาขึ้นเพราะเด็ก มันคิดเยอะไปหมด กระบวนการแบบนี้จะใช้อย่างไร พฤติกรรมเด็กแบบนี้เราจะทำอย่างไรต่อ เราจะตั้งคำถามเพื่อให้เขาคิดอย่างไร ท่าทีของเราควรเป็นแบบไหน ที่สำคัญรอยยิ้ม พัฒนาการ การแสดงออกของเด็กมันทำให้ผมเห็นคุณค่าในขณะที่ผมกำลังสร้างการเรียนรู้ให้เด็ก เด็กกำลังเยียวยาจุดบกพร่องในตัวผม

กระทั่ง 2-3 ปีมานี้ผมได้ทำงานเด็กเต็มตัวภายใต้โครงการพลังเด็กและเยาวชนฯ ผมมีโอกาสเจอกลุ่มเด็กที่หลากหลาย เจอชุมชนที่ไม่เคยรู้จัก สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง เจอคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากมาย ผมพบว่าความรู้ที่ตัวเองมีนั้นไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นให้เด็กๆเกิดการเรียนรู้ พอดีผมมีโอกาสจากพี่ๆให้ผมได้เติมความรู้เพิ่ม ผมจึงเรียนและลงมือทำ โดยมีเด็กๆเป็นเพื่อนร่วมทางของผม ในวันที่เด็กเรียนรู้ผมเองก็ได้บทเรียนจากระบวนการที่ใช้ ในวันที่เด็กเปลี่ยนแปลงผมเองก็เปลี่ยนแปลง การทำงานกับเด็ก การตั้งคำถามว่าเด็กทำไมเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้จึงไม่พอ แต่มันต้องลงมือทำ ทำให้เกิดประสบการณ์ ค้นหาคำตอบและค้นหาความรู้ไปกับเขา

ผมเรียนรู้ว่า
1.เด็กเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
2.พฤติกรรมแต่ละช่วงวัยแตกต่างเปลี่ยนได้เสมอ
3.ครอบครัวมีอิทธิพลโดยตรงกับเด็ก
4.สภาพแวดล้อมส่งผลต่อการเรียนรู้
5.สิ่งเร้าด้านบวกและลบกระทบต่อการตัดสินใจของเด็ก

ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ความรู้ชุดเดียวคงจะไม่เพียงพอต่อการออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กได้ คำถามที่ผมยังคงต้องหาคำตอบอยู่เสมอคือแล้วจะทำยังไงละ

เพราะผมหวังว่าวันหนึ่งเมื่อลูกลืมตาดูโลก ผมจะทำหน้าที่ของพ่อและสร้างการเรียนรู้ให้ลูกของผมไปพร้อมกับภรรยา