พลเมืองเยาวชนสงขลา ปกป้องชายหาด
โครงการหาดเพื่อชีวิต

เมื่อมองย้อนกลับไป ระยะเวลาที่ก้าวมาจนถึงปีนี้ ทีมงานพบว่า การทำงานเรื่องหาดทรายของกลุ่มได้ยกระดับขึ้น ตั้งแต่สร้างการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่รู้จักเรื่องหาด สร้างเครือข่ายกับชุมชน องค์กรในพื้นที่ จนในที่สุดถึงขั้นที่ต้องเกี่ยวข้องกับนโยบายของภาครัฐ เช่น ธรรมนูญชายหาดที่ได้ทำ MOU กับเทศบาลในปีที่ผ่านมา จนในปีนี้ที่มีการทำโครงสร้างแนวเขื่อนกั้นการกัดเซาะบริเวณหาดชลาทัศน์ระยะทาง 7.8 กิโลเมตร กลุ่ม Beach for Life และเครือข่ายเด็กและเยาวชน ได้เป็นส่วนหนึ่งในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้คุ้มครองพื้นที่ดังกล่าวไม่ให้ธรรมชาติถูกทำลายโดยโครงสร้างขนาดใหญ่
ผลจากการขับเคลื่อนงานโครงการหาดเพื่อชีวิตในปีที่ 2 ที่ได้จัดทำ “ธรรมนูญเยาวชน อนุรักษ์หาดสมิหลาอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นเสมือนข้อตกลงร่วมในการดูแลรักษาหาดสมิหลาร่วมกันขององค์กร หน่วยงาน และประชาชนในจังหวัดสงขลา เยาวชนกลุ่ม Beach for Life จึงเคลื่อนงานต่อในปีที่ 3 โดยหยิบสาระสำคัญในธรรมนูญมาขับเคลื่อนต่อ ทีมงานเลือกขับเคลื่อนสาระสำคัญในหมวดที่ 3 เรื่องการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับหาดสมิหลา และหมวดที่ 4 เรื่องการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ชายหาดสมิหลา เพราะมองว่างานที่เกิดขึ้นจากทั้ง 2 หมวดนี้เป็น “พื้นฐานสำคัญ” ที่จะทำให้การอนุรักษ์ชายหาดสมิหลาดำเนินต่อไปอย่างถูกทิศถูกทาง และที่ผ่านมายังไม่มีชุดความรู้หรืองานวิจัยเป็นข้อมูลสนับสนุนที่พอเพียงต่อการตัดสินใจดำเนินโครงการพัฒนาเกี่ยวกับชายหาด หรือข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาหาดสมิหลา
กำหนดหมุดหมาย ผนึกกำลังสานต่องาน
“ตอนที่จะขึ้นงานโครงการหาดเพื่อชีวิตปีที่ 3 กรมเจ้าท่ามอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษาเรื่องโครงสร้างที่เหมาะสมต่อหาดสมิหลา เพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลา พวกเราเลยคิดว่า ถ้าเราทำข้อมูลแล้วน่าจะนำมาใช้ติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของชายหาดและตรวจสอบการออกแบบหน้าตัดการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับธรรมนูญ เพราะในหมวดที่ 3 ข้อที่ 13 ระบุไว้ถึง “หน้าที่ของพลเมืองในการจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัย” จึงคิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะมีงานวิจัยของภาคพลเมืองหรือเยาวชนเกิดขึ้น”
น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี (สมาชิกกลุ่ม Beach for Life) ที่ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาโครงการ เล่าถึงเป้าหมายของการทำงานปีนี้ว่า ตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนรูปตัวทีที่หาดบริเวณชุมชนเก้าเส้งที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายหาดสมิหลาและการพังทลายของถนน สร้างโดยเทศบาลนครสงขลา ก็ไม่มีการศึกษาชายหาดทั้งระบบมาก่อน มีเพียงกรมทรัพยากรธรณีที่เคยศึกษาวิจัยไว้ แต่ไม่มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตอนที่จะขึ้นงานโครงการหาดเพื่อชีวิตปีที่ 3 กรมเจ้าท่ามอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษาเรื่องโครงสร้างที่เหมาะสมต่อหาดสมิหลา เพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งหาดสมิหลา พวกเราเลยคิดว่า ถ้าเราทำข้อมูลแล้วน่าจะนำมาใช้ติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของชายหาดและตรวจสอบการออกแบบหน้าตัดการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์และสอดคล้องกับธรรมนูญ เพราะในหมวดที่ 3 ข้อที่ 13 ระบุไว้ถึง “หน้าที่ของพลเมืองในการจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัย” จึงคิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะมีงานวิจัยของภาคพลเมืองหรือเยาวชนเกิดขึ้น
สำหรับทีมงาน Beach for Life ก็ยังคงเป็นชุดเดิมที่ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ 1 คือ น้ำนิ่ง เอฟ-ชนินทร์ วงค์บุดดา ขลุ่ย-อณากร สีดำ เนสท์-ภัฏฏินี คงประดิษฐ์ เกรซ-เพรซเชิซ เอเบเล อีเลชุคกุล และ ต้าร์-ณัฐพงษ์ จันทลักขณา ส่วน ฟ้า-อลิสรา บินดุส๊ะ เข้ามาร่วมทีมในปีที่ 2 ส่วนสมาชิกคนอื่น ๆ หมุนเวียนเข้าออก เพราะบางคนต้องเตรียมตัวสอบจึงขอพักการทำกิจกรรมไว้ชั่วคราว บางคนเรียนต่อในสถาบันการศึกษาที่อยู่ไกลออกไป จึงมีการรับสมัครสมาชิกใหม่เข้ามาเสริมทีม โดยรับสมัครนักเรียนจากโรงเรียนมหาวชิราวุธเพิ่มเติม
ทีมงานบอกว่ากลุ่ม Beach for Life เป็นการรวมตัวกันของนักเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธ ไม่ใช่เครือข่ายเพื่อนนักเรียนนักศึกษาจากหลายสถาบัน เพราะจะนัดประชุมกันยาก และเราก็อยากให้เขาตั้งกลุ่มขึ้นมาขับเคลื่อนเรื่องหาดเองมากกว่า เพราะเราอยากเห็นกลุ่มเยาวชนที่ทำงานมีมากกว่ากลุ่ม Beach for Life และมีหลายประเด็น เวลาขับเคลื่อนร่วมกันจะได้เกิด “พลัง” ส่วนกลุ่ม Beach for Life เองก็ไม่อยากให้มีสมาชิกเกิน 20 คน ด้วยเหตุนี้กลุ่มจึงกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมกลุ่มไว้ 2 ข้อคือ เป็นนักเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตั้งใจไม่รับ เพราะต้องเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น อาจทำให้ไม่มีเวลามาทำกิจกรรมกลุ่ม แต่ก็มีเข้ามาแล้วเขาก็ทำงานได้ดี คุณสมบัติข้อสองคือ รักหาดสมิหลา ซึ่งเราไม่ได้จำกัดความว่ารักอย่างไร เราคิดว่า ถ้าเขามีความรักความผูกพันกับหาดสมิหลาก็น่าจะทำงานได้
เตรียมคน เตรียมแผนการทำงาน
เมื่อรวบรวมทีมจนได้สมาชิกทั้งหมด 19 คน ทีมงานจึงออกแบบการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการเตรียมคน ส่วนที่สองเป็นเรื่องข้อมูล
ขลุ่ยเล่าต่อว่า การเตรียมคน เริ่มตั้งแต่รับสมัครสมาชิกเพื่อร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่ม Beach for Life โดยมี 2 กลุ่มเป้าหมายคือ 1. เด็กในชุมชน ซึ่งใช้วิธีเดินเคาะประตูบ้านในชุมชน 4 ชุมชน คือ เก้าเส้ง วริชา แหล่งพระราม และเขาน้อย 2. เพื่อน ๆ ในเครือข่าย 9 สถาบันการศึกษา ที่ร่วมให้ความเห็นในการทำธรรมนูญปกป้องหาด รวมถึงการเตรียมทีมทำงานในกลุ่ม Beach for Life เอง ที่เริ่มต้นโดยการจัดค่ายปฐมนิเทศสมาชิกใหม่ เพื่อให้สมาชิกใหม่ได้รู้จักว่ากลุ่มนี้เป็นใคร ทำอะไรมาแล้วบ้าง
ทีมงานเล่าต่อว่า ในค่ายปฐมนิเทศสมาชิกใหม่พวกเขาออกแบบเป็นฐานการเรียนรู้ 3 ฐาน คือ ฐานที่ 1 จุดเริ่มต้นและการทำงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของชมรม มีขลุ่ยและเนสเป็นวิทยากร บอกเล่าจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งชมรม Beach for life ผู้สนับสนุนโครงการ การทำงานที่ผ่านมาในปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ของชมรม Beach for life และรูปแบบการทำงานของกลุ่ม ให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้
ฐานที่ 2 ปัญหาอุปสรรคของการทำงานในชมรมและเราก้าวข้ามได้อย่างไร มีเอ้เป็นวิทยากรบอกเล่าถึงปัญหาในการทำงานของชมรม ตั้งแต่เรื่องของกระบวนการทำงาน (การวางแผน และการปฏิบัติงาน) ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวแกนนำ (เรื่องของครอบครัวที่ไม่เข้าใจ เวลาที่ไม่ตรงกัน และการเข้าใจผิดในกลุ่มทำให้เกิดการทะเลาะกัน) และการก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคต่างๆมาได้อย่างไร (การรับฟังซึ่งกันและกัน การพูดจากใจ การใช้การสรุปบทเรียนและประเมินการทำงานหรือ AAR หลังการทำงานทุกครั้ง)
ฐานที่ 3 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีน้ำนิ่งเป็นวิทยากรโดยเล่าถึงการทำ
งาน และสิ่งที่เป็นผลจากการทำงานของชมรม Beach for life และองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการอนุรักษ์หาดสมิหลาให้กับผู้เข้าร่วมฟัง และได้เล่าถึงธรรมนูญเยาวชนฯ และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอมาตรการต่างๆ หรือข้อเสนอแนะทางวิชาการต่อหน่วยงานภาครัฐ ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์หาดสมิหลาอย่างยั่งยืน และวิทยากรได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการของตัวบุคคล (แกนนำ) ที่เข้ามาทำงานนี้ด้วย
ขลุ่ยเสริมว่า วิธีเรียนรู้คือแบ่งน้องใหม่วนไปจนครบ 3 ฐาน แล้วมาสรุปการเรียนรู้ร่วมกัน จากนั้นให้พี่จับคู่น้องไปกินข้าวที่ถนนคนเดิน เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องได้พูดคุยซักถามกันต่อ วันต่อมาเป็นกิจกรรมให้ความรู้เรื่องทฤษฎี ด้วยการพากันขี่จักรยานไปเรียนรู้หาดตลอด 7.8 กิโลเมตร จากนั้นกลับมาเล่นเกมสร้างเมืองจำลอง ที่สมมติให้เขาเป็นเจ้าของเมืองที่มีชายหาด แล้วก็มีสถานการณ์เกิดขึ้น ให้เขาลองบริหารจัดการเมืองเอง ต้องนำความรู้ที่ได้มาออกแบบเมืองให้อยู่คู่กับชายหาดให้ได้ โดยที่ชายหาดไม่พัง
เอฟเสริมต่อว่า เกมสร้างเมือง เป็นเกมที่พี่น้ำนิ่งได้เรียนรู้มาจากการเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างจิตสำนึกพลเมืองจากสถานการณ์จริง กรณีผังเมือง” แล้วนำมาปรับใช้ โดยใช้สถานการณ์ปัญหาการจัดการชายหาดมาเป็นเนื้อหาในเกมให้สมาชิกได้ร่วมกันคิดหาทางแก้ไข ซึ่งการที่พี่น้ำนิ่งมีประสบการณ์ตรงเพียงคนเดียว เมื่อต้องปรับใช้จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมให้ทีมแกนนำก่อน
ขลุ่ยเล่าว่า ตอนพี่น้ำนิ่งถ่ายทอดความรู้เรื่องเกม ก็คิดถึงเกมซิมส์ซิตี้ ทีมงานจึงได้ร่วมกันออกแบบเกมใหม่ พร้อมกับซ้อมเล่นเกมกัน ก่อนจะนำไปเล่นกับสมาชิกที่เหลือ เมื่อสมาชิกได้มีโอกาสเรียนรู้กับสถานการณ์ปัญหาของหาดทราย แล้วเติมเต็มด้วยเรื่องเล่าของผู้ใหญ่ที่ทำงานเพื่อสังคม และมีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องการปกป้องหาด จ.สงขลา มาก่อน เช่น ป้าหนู-พรรณิภา โสตถิพันธุ์ อาจารย์เป้- ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง และรศ.ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ ผ่านการชมวิดีโอเรื่องราวชีวิต แนวคิดของแต่ละท่าน ก่อนจะทิ้งท้ายให้ทุกคนคิดว่า ผู้ใหญ่ได้ทำอะไรไว้บ้าง และในฐานะเยาวชนจะทำอะไรต่อได้บ้าง ซึ่งเชื่อมโยงสู่การคิดและพูดคุยเรื่องแผนงานของกลุ่ม Beach for Life ในวันต่อมา
“วันถัดไปคุยกันเรื่องแผนงาน สมาชิกทั้ง 19 คน ช่วยกันออกแบบการทำงาน ตอนนั้นคิดแค่ว่า จะทำเรื่องธรรมนูญหาดต่อ แต่แผนงานยังไม่มี ต้องวางแผนการทำงานใหม่ทั้งหมด ซึ่งการวางแผนงานของทีมทำผ่านกิจกรรมชื่อว่า Community Commitment คือชุมชนพันธะสัญญาที่เราจะทำร่วมกัน วางแนวคิดก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยมาแตกว่า ถ้าเราจะไปถึงเป้าหมาย ต้องทำอย่างไร”
ครั้งนี้จึงเป็นการขยำรวมความคิด และข้อเสนอของทุกคน จนได้ข้อสรุปว่า จะศึกษาหาดทรายทั้งระบบ คือทั้งมิติกายภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ประโยชน์ โดยจัดเป็น Beach room หรือห้องเรียนหาดทราย เพื่อให้คนทั่วไปได้มีโอกาสร่วมเรียนรู้ด้วย นำไปสู่การทำงานร่วมกับชุมชนต่อไป
นอกจากนี้ ทุกคนยังช่วยสนับสนุนเครือข่ายเพื่อนนักเรียน นักศึกษา จากสถาบันต่าง ๆ ให้สามารถทำกิจกรรมต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา สมาชิกแต่ละคนของ Beach for Life จะจับคู่รับผิดชอบทั้งการเติมเต็มความรู้เรื่องหาดทราย การทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับเพื่อนๆ เครือข่าย รวมทั้งบางสถาบันที่ยังไม่มีแกนนำ ก็ต้องเข้าไปสร้างทีมแกนนำขึ้นมาทดแทนเครือข่ายเดิมที่หายไป แต่ทั้งนี้ทีมงานก็ยอมรับว่า ผลงานในส่วนนี้มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ เพราะเงื่อนไขภาระทางการเรียนของแกนนำที่ทำให้ไม่สามารถสานต่อกิจกรรมในบางสถาบันได้
“สำเร็จ 2 กลุ่ม คือ โรงเรียนแจ้งวิทยาที่ทำอาร์ตบีช เป็นหนังสือเล่มเล็กที่จะเล่าเรื่องชายหาด และ The Sand ที่ทำโครงการเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบจากการเกยตื้นของเรืออรพิน 4 ที่ 2 กลุ่มนี้สำเร็จเพราะพี่เลี้ยงประจำกลุ่มคือ เอ้-พรรษวุฒิ รัตนกาญจน์ ที่รู้ว่างานพวกเราคืออะไร ทำอะไร ส่วนมะปราง-สุวพิชญ์ อ่อนประเสริฐ เป็นคนที่มีสปิริตสูง ไฟแรงมาก ลงพื้นที่ทุกวัน ทุกเย็นเข้าไปคุยกับน้อง ไปคุยกับครู คุยกับผู้จัดการโรงเรียนว่า จะทำกลุ่มนิทานหาดทราย แล้วขอให้ครูช่วยจัดการเด็กให้ เขาก็มีกระบวนการของเขา จนสุดท้ายได้หนังสือเล่มเล็กมาตามแผนงาน” ขลุ่ยและน้ำนิ่งช่วยกันเล่า
น้ำนิ่งเสริมว่า กลุ่มอาร์ตบีช เขาไม่ได้เข้าร่วมโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา เนื่องจากสมัครไม่ทัน แต่ทำโครงการโดยใช้งบประมาณกองกลางของ Beach for Life ที่มีการระดมเงินกองกลางไว้ให้เครือข่ายทำกิจกรรม
ทั้งนี้ทีมคาดหวังว่า เพื่อนจากเครือข่ายสถาบันการศึกษาจะเป็นกำลังเสริมในการเก็บข้อมูลติดตามสภาพของหาด แม้ในความเป็นจริงของการทำงานจะเหลือเพียงกลุ่ม The Sand ที่เนื้อหาของโครงการที่ทำสอดคล้องกับเป้าหมายในการเก็บข้อมูลสภาพหาด ส่วนกลุ่มอาร์ตบีชที่ต้องคร่ำเคร่งกับการจัดทำหนังสือของกลุ่มตน จึงมาช่วยงานได้เพียง 1 ครั้ง

สร้างแนวร่วมเฝ้าระวังหาดจากคนใน
ด้วยสรรพกำลังมีน้อย การระดมพลจากชาวบ้านในชุมชนชายฝั่งจึงเป็นแผนงานหนึ่งที่กำหนดขึ้น นำไปสู่กิจกรรมเคาะประตูบ้าน เดินหาคนรักหาด ซึ่งกิจกรรมนี้นอกจากต้องการกำลังคนแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือต้องการสร้างการเรียนรู้เรื่องหาดทรายกับกลุ่มผู้ใหญ่อีกด้วย
“เมื่อเรามีแผนจะไปวัดหาดทั้งระบบ ถ้ามีแต่เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้แต่ภายในกลุ่มเด็ก เราอยากให้คนทุกช่วงวัยได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน คิดว่าน่าจะเจาะกลุ่มผู้ใหญ่ด้วย เลยไปเดินหาทีละบ้าน ไปนั่งคุยกับเขา อาจจะให้ความรู้ นั่งคุยกันเรื่องหาด ซึ่งถ้าเขาสนใจเราก็จะชวนเขามาเป็นแกนนำวัดหาดด้วยกัน” เกรซ เล่าถึงเบื้องหลังของกิจกรรม
ชุมชนเก้าเส้ง วชิรา แหล่งพระราม และเขาน้อย เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองสงขลา และอยู่ใกล้หาด จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายที่ทีมตั้งใจเข้าไปหาแนวร่วม โดยแบ่งสายรับผิดชอบแต่ละชุมชน ขลุ่ยและเกรซรับผิดชอบพื้นที่ชุมชนเก้าเส้ง ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่า เป็นพื้นที่ที่มีกิตติศัพท์ความเข้มแข็งของคนในชุมชน ที่ทำให้เกิดความรู้สึกทั้งเกร็งและกลัว แต่เมื่อได้ไปสัมผัสเองกับตัวจึงรู้ว่า สิ่งที่กลัวนั้นล้วนเป็นสิ่งที่คิดไปเอง จินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปเอง
“การที่จะเข้าไปแนะนำหรือให้ความรู้แบบยัดเยียด ว่าการใช้โครงสร้างแข็งกันการกัดเซาะชายหาดไม่ใช่วิธีการที่ดี อาจจะไม่ใช่วิธีทำงานที่เหมาะสมกับพื้นที่นี้ จึงเลือกที่จะชวนพูดชวนคุยเกี่ยวกับความรู้สึก และความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับหาดทราย เพื่อสร้างสัมพันธภาพแทน...การรับฟังอย่างเข้าใจจึงเป็นการเปิดประตูความสัมพันธ์ ที่ทำให้ทีมงานสามารถสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังหาดทรายกับสมาชิกชุมชนเก้าเส้งได้”
ขลุ่ยเล่าถึงไมตรีจิตที่ได้รับ ซึ่งช่วยสลายความกลัวในมโนของตนเองว่า มีป้าคนหนึ่งเขากวักมือเรียกให้เข้าไปคุย จากตอนแรกเราเดินดุ่ม ๆ ไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง รู้แค่ว่าต้องมาเก้าเส้ง เขาเห็นเราหน้าแปลก ๆ เดินเข้าไปจึงกวักมือเรียกถามว่า ไปไหนลูก มาหาใคร ชวนคุย แล้วยังแนะนำให้เราไปบ้านโน้นบ้านนี้ จนได้เครือข่ายมา
เกรซเสริมว่า เธอรู้ดีว่าคนในชุมชนเก้าเส้งต้องการเขื่อนกันคลื่น การที่จะเข้าไปแนะนำหรือให้ความรู้แบบยัดเยียดว่า การใช้โครงสร้างแข็งกันการกัดเซาะชายหาดไม่ใช่วิธีการที่ดี อาจจะไม่ใช่วิธีทำงานที่เหมาะสมกับพื้นที่นี้ จึงเลือกที่จะชวนพูดชวนคุยเกี่ยวกับความรู้สึก และความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับหาดทราย เพื่อสร้างสัมพันธภาพแทน
การเลือกที่จะพิจารณาสถานการณ์ปัญหาผ่านแง่มุมที่แตกต่าง คือความละเอียดของการทำงานของทีมงาน ที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แม้รู้ว่าเขื่อนไม่ดี แต่ก็เข้าใจคนในชุมชนดีว่า เขารับรู้ แต่ถ้าไม่มีเขื่อน ก็หมายความว่าเขาจะไม่มีบ้านอยู่อาศัย การรับฟังอย่างเข้าใจจึงเป็นการเปิดประตูความสัมพันธ์ ที่ทำให้ทีมงานสามารถสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังหาดทรายกับสมาชิกชุมชนเก้าเส้งได้
นอกจากการรับฟังอย่างเข้าใจแล้ว ทีมงานยังร่วมกันคิดวิเคราะห์เงื่อนไขปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของชุมชนเก้าเส้ง ซึ่งกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำหลังจากเทศบาลแบ่งพื้นที่ปกครองออกเป็น 2 ชุมชน การเข้าไปพูดคุยของทีมงาน จึงเป็นการจุดประกายให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ต้องลุกขึ้นมาดูแลชุมชนของตนเอง
“เมื่อเปลี่ยนประธานชุมชนคนใหม่แล้ว พวกเราก็เข้าไปที่ชุมชนเก้าเส้งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้คุยเรื่องชายหาดเลย เปลี่ยนมาคุยเรื่องธนาคารปูแทน เพราะรู้สึกว่า เราจะไปชวนให้เขามาทำงานอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องไปส่งเสริมให้เขามีฐานะความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตดีขึ้น จุดนี้ทำให้พวกเราได้คนในชุมชนเก้าเส้งมาเป็นพวกด้วย พอถึงกิจกรรมวัดหาดครั้งที่ 2 คนในชุมชนมาร่วมเยอะมาก” น้ำนิ่งเล่าถึงบรรยากาศการทำงานร่วมกับชุมชน
ฝ่าด่านปัญหา กว่าจะได้แนวร่วม
ส่วนฟ้า ที่รับผิดชอบชุมชนตำหนักเขาน้อย ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยและที่ทำการของหน่วยงานราชการ จึงไม่พบกลุ่มเป้าหมายตามที่ตั้งใจ จึงเปลี่ยนเป็นพื้นที่ชุมชนแหล่งพระรามซึ่งเป็นชุมชนใหญ่ จนสามารถเชิญชวนสมาชิกในชุมชนเข้าร่วมเป็นเครือข่ายได้ 8 คน แต่กระนั้นระหว่างการเชิญชวนผู้คน ทีมก็ต้องเผชิญกับการโต้เถียงจากคนที่ไม่เข้าใจ นั่นเป็นเพียงบททดสอบที่ทำให้ทีมงานได้ฝึกความอดทนอดกลั้นต่อคนที่เห็นต่าง แล้วเลือกที่จะกล่าวลาอย่างสุภาพ แทนการยืนยันตอบโต้ความเข้าใจผิด ในบรรยากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“มีคนที่ไม่เข้าใจที่เราเถียงกับเขา เรายังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย เขาก็พูดขึ้นเลยว่า เขื่อนดี เราพยายามจะเบรกตนเอง เขาก็พูดไม่หยุด เราก็เลยตัดบท ขอบคุณแล้วออกมาเลย เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว รู้ตัวว่าอารมณ์ขึ้นแล้ว” น้ำนิ่งเล่า
“การแสวงหาเครือข่ายผู้ใหญ่เข้าร่วมกิจกรรมของทีมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องประสบเรื่องยุ่งยากต่าง ๆ นานา ทั้งไม่มีคนอยู่บ้าน สุนัขไล่กัด โดนว่า โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่ทีมงานยืนยันว่า ต้องพยายามหาแนวร่วมให้ได้ เพราะรู้สึกว่า...การจะยกระดับงานให้เป็นวาระของท้องถิ่น จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของผู้ใหญ่เข้ามารับรู้และร่วมขับเคลื่อน”
ชุมชนวชิราเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ทีมงานไม่สามารถหากลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการได้ เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน กลางวันจึงปิดบ้านไว้ การแสวงหาเครือข่ายผู้ใหญ่เข้าร่วมกิจกรรมของทีมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องประสบเรื่องยุ่งยากต่าง ๆ นานา ทั้งไม่มีคนอยู่บ้าน สุนัขไล่กัด โดนว่า โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่ทีมงานยืนยันว่า ต้องพยายามหาแนวร่วมในได้ เพราะรู้สึกว่า ปีที่ผ่านมาสามารถรวบรวมสมาชิกและให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนได้ถึง 20,000 คน จนสามารถขับเคลื่อนประกาศธรรมนูญชายหาดได้ แต่ก็เป็นภาพการทำงานของเด็ก ๆ การจะยกระดับงานให้เป็นวาระของท้องถิ่น จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของผู้ใหญ่เข้ามารับรู้และร่วมขับเคลื่อน
“เด็ก 20,000 คนไม่ใช่เด็กสงขลาทั้งหมด แต่เป็นเด็กจากอำเภอจะนะ อำเภอเทพา จังหวัดสตูล และจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มาอยู่ที่นี่แค่ 3-4 ปีก็ไป แต่คนที่จะเป็นกุญแจสำคัญคือ คนที่อยู่ในเมืองสงขลา ดังนั้นต้องให้เขามาเป็นพวกกับเรา ถึงจะยากเย็นแค่ไหนก็ต้องทำ เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องได้คน 40 คน จาก 4 ชุมชน แต่เป้าหมายของเราคือ นำหนังสือเรื่องชายหาดไปพูดคุยกับเขา เพื่อให้เขาเข้าใจหาดมากขึ้น หรือให้เขามีมุมมองใหม่เกี่ยวกับหาด ไม่ได้มองว่า หาดคือหาด แต่ให้มองว่าหาดมีคุณค่าต่อเขาอย่างไร เป้าหมายของเราไม่ใช่จำนวนที่มาก ถึงเราจะได้รายชื่อมา 30-40 คนก็จริง แต่วันที่วัดหาดจริงเขาไม่ได้มากับเราหรอก แต่หลังจากที่เราเข้าไปให้ความรู้เขา เช่น ที่แหล่งพระราม เวลาเขามีประชุมกัน เขาก็จะนำเรื่องที่เราเล่าให้เขาฟังไปเล่าต่อให้คนในชุมชนฟัง” น้ำนิ่งเล่า
แนวร่วมคนรักหาดจำนวน 23 คน แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย 40 คนที่ตั้งไว้ แต่ทีมงานไม่ได้รู้สึกว่า ล้มเหลว เพราะระหว่างทางพวกเขามีการทำงานอย่างเต็มที่แล้ว บางพื้นที่ที่ไปแล้วไม่พบคนในเวลากลางวัน ก็ย้อนกลับไปใหม่ในเวลาเย็นค่ำ รวมทั้งเปลี่ยนพื้นที่ มาทำงานในพื้นที่เขตเมืองเก่าเพิ่มขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อมุ่งหวังสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหาดทรายให้กับผู้คน
เติมความรู้...ยกระดับคน ยกระดับงาน
ทีมงานบอกว่า สิ่งที่ทำคู่ขนานไปกับการสร้างความเข้าใจให้กับคนในชุมชนคือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่าย 9 สถาบันการศึกษา ที่ทีมงานมีเป้าหมาย 2 ส่วน คือ มีกลุ่มคนทำงาน และกลุ่มคนนี้ต้องมีความรู้เรื่องหาด จึงใช้วิธีทดสอบ โดยเริ่มต้นจากทีม Beach for Life ก่อน ที่ต้องรู้จริง แม่นยำเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเรื่องหาดทราย เช่น หาดทรายคืออะไร หาดทรายเกิดขึ้นได้อย่างไร กระแสน้ำชายฝั่งคืออะไร หาดทรายพังได้อย่างไร คลื่นเกิดได้อย่างไร ฯลฯ จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างความเข้าใจของสมาชิก
น้ำนิ่งเล่าเบื้องหลังของการต้องทดสอบคือ เพื่อให้แต่ละคนสามารถอธิบายเรื่องชายหาดได้ วิเคราะห์เชื่อมโยงได้ว่า โครงสร้างแข็งที่สร้างบริเวณหาดทรายจะทำให้ชายหาดเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งวิธีการดังกล่าวต้องการกระตุ้นให้ทีมงานต้องกลับไปทบทวนความรู้ ภายใต้คำขู่ว่า ทุกคนรู้แผนงานของโครงการว่า ต้องลงชุมชน หากลงไปชุมชนแบบไม่มีความรู้ ก็จะไม่ได้อะไร เพราะไม่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวบ้านได้ เพราะบางเรื่องชาวบ้านมีความรู้มากกว่าเรา
“วิธีการที่พี่น้ำนิ่งทดสอบ ทำให้พวกเราต้องกลับไปอ่านหนังสือ ปรกติหนังสือเล่มนั้นเราแทบจะไม่อ่านเลย พอพี่น้ำนิ่งสอบ ก็เลยต้องกลับไปอ่าน พออ่านก็ได้ความรู้” ฟ้าเล่า
เช่นเดียวกับเกรซที่บอกว่า การได้ทบทวนความรู้ ทำให้เห็นว่า ที่ผ่านมามีจุดใดบ้างที่เคยเข้าใจผิด จำมาผิด ๆ ก็ได้รู้สิ่งที่ถูกต้องจากที่พี่เฉลย
“...ต้องรู้จริง แม่นยำเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเรื่องหาดทราย เช่น หาดทรายคืออะไร หาดทรายเกิดขึ้นได้อย่างไร กระแสน้ำชายฝั่งคืออะไร หาดทรายพังได้อย่างไร คลื่นเกิดได้อย่างไร ฯลฯ จึงถูกนำมาใช้ในการทบทวนความจำของสมาชิก...เพื่อให้แต่ละคนสามารถอธิบายเรื่องชายหาดได้ คิดวิเคราะห์เชื่อมโยงได้ว่า โครงสร้างแข็งที่สร้างบริเวณหาดทรายจะทำให้ชายหาดเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งวิธีการดังกล่าวต้องการกระตุ้นให้ทีมงานต้องกลับไปทบทวนความรู้”
เมื่อผ่านการทดสอบ ทีมงาน Beach for Life จึงนำกระบวนการดังกล่าวไปทบทวนความรู้ให้กับเครือข่ายเพื่อน 9 สถาบัน ในเวทีเวิร์คช็อปยกระดับเครือข่าย ผ่านคำถาม การเขียนไทม์ไลน์การพังทลายของชายหาดที่ผ่านมา และข้อเสนอแนะว่าจะแก้ไขปัญหาหาดชลาทัศน์อย่างไร
ผลของการทบทวนความรู้ที่ปรากฏคือ ส่วนใหญ่ตอบคำถามไม่ได้ ทำให้ต้องมีกระบวนการให้ความรู้กันใหม่อีกครั้งเพื่อปรับความรู้ให้เท่ากัน กระบวนการดังกล่าว ทำให้ทีมงาน เช่น เนสท์ ได้พัฒนาศักยภาพตนเองขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น เพราะจากที่เคยช่วยน้ำนิ่งบรรยายแล้วตกม้าตายในปีที่ผ่านมา คราวนี้เนสท์กลับไปทบทวนความรู้ จนสามารถบรรยายความรู้เกี่ยวกับหาดทรายได้เองทั้งหมด
“วันที่ทดสอบเครือข่าย ผมแค่บรรยายทฤษฎีบางอย่าง พอลงพื้นที่เนสท์สามารถจัดการได้ ถือเป็นข้อดีที่เราได้น้องมาช่วยบรรยายอีก 1 คน เนสท์เคยมีประสบการณ์ตอนทำงานกับเครือข่ายปีที่ 2 เป็นผู้ช่วยบรรยายแล้วก็ตกม้าตายกลางคัน เรารู้สึกว่าไม่อยากให้น้องเกิดภาวะแบบนั้นอีก จึงต้องเทรนน้องเยอะ ๆ ให้ได้ความรู้แล้วลองมาทำในเวทีเล็ก ๆ หลังจากนั้นเนสท์ก็ทำได้ดี” น้ำนิ่งเล่าถึงพัฒนาการของสมาชิกในทีมอย่างชื่นใจ

เดินหน้าสร้างความรู้...ได้ความรู้ ได้เรียนรู้
เมื่อทีมงานพร้อม เครือข่ายพร้อม กระบวนการต่อไปคือ การติดตามสภาพหาดทราย ครั้งนี้ทีมงานเชิญอาจารย์เป้ ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาอบรมเรื่องการใช้เครื่องมือติดตามสภาพหาดทราย เช่น เครื่องมือวัดหน้าหาด เครื่องมือวัดความลาดชัน เครื่องมือวัดตะกอน การวัดสิ่งมีชีวิต และการใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ แผนการติดตามสภาพของหาดทรายยังถูกเติมเต็มด้วยการทำแผนที่เดินดิน โดยมีการใช้ GPS จับตำแหน่งของสิ่งก่อสร้างถาวรที่อยู่บนหาดทรายอีกด้วย
“แผนที่เดินดิน เริ่มตั้งแต่เก้าเส้งมาเรื่อย ๆ ใช้ GPS ไปจับโครงสร้างถาวรที่อยู่บนหาดและวัดไดมิเตอร์คือ ขนาดของหินก้อนใหญ่ กระสอบทรายริมหาด ทุกก้อนเราวัดกว้างคูณยาวแล้วเอามาหาค่าเฉลี่ย เดิน 5 ก้าว วัดทุก 5 ก้าว เพราะเราไม่เคยมีแผนที่โครงสร้างหาดเลย เราดูแผนที่ทางอากาศทางดาวเทียม ไม่สามารถจะมองเห็นข้อมูลว่าชายหาดมีสิ่งก่อสร้างอะไรบ้าง เพราะต้นสนบัง เราก็เลยทำ การมีแผนที่ตัวนี้จะบอกได้ว่า ตอนนี้บริเวณหาดสมิหลามีสิ่งก่อสร้างเท่าไร และอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีเท่าไร ถ้าเพิ่มจะเป็นอย่างไร และการมีสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อชายหาด”
แผนการติดตามสภาพหาดทราย ภายใต้เป้าหมายของการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลหาดทรายและสร้างฐานข้อมูล ถูกกำหนดให้ทำต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ วัดหาดทุกวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือน การกำหนดจุดสำรวจที่ตั้งใจให้เกิดการเรียนรู้ เพราะการทำโปรไฟล์ของชายหาดต้องวางระยะห่างให้เท่ากัน แต่การกำหนดจุดทั้ง 12 จุดของทีมงาน มีทั้งระยะห่างที่เท่ากันและไม่เท่ากัน เนื่องจากเป็นการสร้างเงื่อนไขการเรียนรู้ เพราะแต่ละจุดมีสิ่งมีชีวิตและวิถีการใช้ประโยชน์ต่างกัน เช่น จุดที่ชุมชนเก้าเส้ง ความน่าสนใจคือ มีเขื่อนรูปตัวที 2 ตัว จึงกำหนดจุดวัดที่ตรงกึ่งกลาง เพื่อดูว่า เมื่อมรสุมเข้ามา จะทำให้หาดเว้าเป็นเสี้ยวหรือไม่ หรือที่แหลมสน กำหนดจุดหนึ่งเป็นป่าสนแบบทึบ อีกจุดเป็นป่าสนแบบโปร่ง เป็นต้น
ทีมงาน Beach for Life แต่ละคนมีจุดประจำที่ต้องรับผิดชอบในการวัดโดยจับคู่จุดละ 2 คน และต้องหาเพื่อนมาช่วยอย่างน้อยอีก 2 คนในแต่ละครั้ง ในช่วงแรกเกรซเป็นแม่งานประสานเครือข่ายในรายชื่อที่มี เพื่อเชิญชวนมาช่วยกันวัดหาด แต่เมื่อเวลาผ่าน ทีมงานรู้สึกว่า เป็นภาระที่หนักสำหรับคนๆ เดียว จึงเปลี่ยนให้คนที่อยู่ประจำแต่ละจุดเป็นผู้ประสานหาคนมาช่วยเอง ซึ่งนอกจากเปลี่ยนระบบการประสานงานแล้ว ทีมยังปรับปรับการทำงานหลังพบความผิดพลาดของข้อมูล จนต้องมีการเตรียมความพร้อมร่วมกันก่อนถึงวันวัดหาดจริง
“เมื่อก่อนเกรซต้องประสานงานคน 30 คน เรามองว่าน่าจะหนักเกินไปสำหรับน้อง เพราะต้องใช้เวลาตามงานนาน เมื่อก่อนเรามาเจอกันแปดโมงเช้า มานั่งคุยพร้อมเช็คอุปกรณ์ เที่ยงจึงลงวัดหาด จึงเปลี่ยนเป็นวัดหาดวันเสาร์ช่วงเช้า ส่วนการเช็คอุปกรณ์จะทำในวันที่ทีมงานว่าง” เอฟเล่าถึงระบบการทำงานที่เปลี่ยนไป
สำหรับการวัดหาด ทีมงานมีกราฟมาตรฐานที่มีความถูกต้อง เพราะผ่านการวัดอย่างละเอียดร่วมกับอาจารย์เป้ เป็นข้อมูลอ้างอิง ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลที่วัดหาดในแต่ละครั้ง โดยน้ำนิ่งรับหน้าที่คีย์ข้อมูลทันทีที่ได้รับ หากพบว่าข้อมูลเบี่ยงเบนจากกราฟมาตรฐานจะมีการวัดหาดใหม่ในวันเดียวกัน นั่นเป็นเพราะบทเรียนในเดือนที่ 2 ของการเก็บข้อมูลที่เว้นระยะการคีย์ข้อมูลลงโปรแกรม เมื่อนำข้อมูลมาลงในโปรแกรมภายหลัง จึงตรวจสอบพบว่าข้อมูลผิดพลาด 7 ถึง 8 จุด ทำให้ต้องทิ้งข้อมูลที่เก็บมาทั้งหมด ส่งผลต่อระยะเวลาการทำงานที่ต้องยืดยาวออกไปอีก 1 เดือน
น้ำนิ่งอธิบายว่า ที่ต้องเก็บข้อมูลอย่างละเอียด เพราะข้อมูลการติดตามสภาพของหาดทราย จะสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของหาดทรายทั้งระบบ ที่จะบอกว่า แต่ละเดือนหาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมเดือนไหน ข้อมูลทุกอย่างสำคัญเท่ากัน เช่น ข้อมูลสัตว์ชายฝั่ง ถ้าคลื่นแรงจักจั่นจะเยอะ ถ้าคลื่นไม่แรงก็ไม่มีจักจั่น เหล่านี้เป็นภาพความจริงที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่น ชายหาด สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และการใช้ประโยชน์ของมนุษย์
“ตอนนี้เราทำมาได้ 7 เดือน เรามีความรู้ก่อนลงวัดหาดว่า หาดช่วงเดือนนี้จะเป็นแบบนี้ มีพลวัตในแต่ละเดือน ซึ่งเราก็รู้แต่ทฤษฎี แต่พอได้ปฏิบัติจริงมันแตกต่างจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเรามโนขึ้นมา แต่เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ยิ่งหากเราวัดที่จุดเดิมตลอดก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัด” เกรซเล่า
“ขลุ่ยเปลี่ยนพื้นที่มา 3 ครั้ง ตอนแรกวัดที่เก้าเส้งซึ่งมีหินมาก เมื่อสำรวจสิ่งมีชีวิตที่กองหินจะไม่พบสิ่งมีชีวิตเลย ก็เปลี่ยนไปอีกที่หนึ่ง คือบริเวณรูปปั้นหนูแมว และนางเงือก ก็เจอสิ่งมีชีวิตบ้าง แต่ไม่เยอะเท่าไร ก็ย้ายมาที่ลานดนตรีตรงข้ามศาลเด็กตรงหาดชลาทัศน์ ที่นี่พวกเราเจอสิ่งมีชีวิตเยอะมาก เป็นข้อค้นพบว่า ที่ไหนที่มีโครงสร้างแข็งมันจะไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย แต่ที่ที่ไม่มีโครงสร้างแข็งเราจะพบสิ่งมีชีวิตอยู่ ยิ่งในช่วงมรสุมที่มีคลื่น เราจะยิ่งพบสิ่งมีชีวิตเยอะขึ้น” ขลุ่ยเล่าเสริมอย่างตื่นเต้น

บทเรียนจากห้องเรียนหาดทราย
ข้อค้นพบของการทำงาน นอกจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงของหาดทรายแล้ว การทำงานด้วยเครื่องไม้เครื่องมือนานาชนิด ทำให้ทีมงานได้เรียนรู้ที่จะปรับใช้เครื่องมือให้สอดคล้องกับสภาพจริงมากขึ้น เช่น เครื่องมือวัดโปรไฟล์รูปตัดชายหาด เพื่อให้ได้หน้าตัดของชายหาด ซึ่งจะเป็นการบอกการเปลี่ยน
เเปลงของชายหาดในเเต่ละช่วงเดือน โดยอุปกรณ์นี้จะมีไม้ 2 อันที่ต้องตั้งให้ระดับเท่ากัน โดยมองผ่านรูเข็มเล็ก ๆ เพื่อตั้งลูกน้ำวัดระดับให้ตรง หากไม้ไม่ตั้งตรงหรือขยับจากจุดเพียงนิดเดียว ข้อมูลที่ได้ก็จะผิดเพี้ยน และผิดสะสมไปเรื่อย ๆ อีกทั้งเมื่อใช้งานนานแล้ว ทรายเข้าก็พัง โดนน้ำก็เป็นสนิม เมื่อพังแล้วก็ซ่อมเองไม่ได้ ต้องซื้อใหม่ เมื่อทีมงานนำปัญหาที่พบไปปรึกษากับอาจารย์เป้ อาจารย์จึงได้ช่วยออกแบบเครื่องมือใหม่ โดยใช้วิธี ของช่างก่อสร้างที่ใช้สายยางวัดระดับน้ำซึ่งสามารถแก้ปัญหาการตั้งระดับน้ำได้ดีกว่าเครื่องมือราคาแพง
“อุปกรณ์ตัวใหม่ที่ทำขึ้นมา มีค่าผิดพลาดน้อยที่สุด หาได้ง่าย และทำได้ง่าย ซ่อมได้เอง ตัวเก่าราคาสูงถึง 3,000 บาท ซ่อมเองไม่ได้ แต่ของที่ทำใหม่ราคาหลักร้อย” ขลุ่ยเล่าถึงอุปกรณ์ใหม่อย่างสบายอารมณ์
“อุปกรณ์ตัวนี้ทำจากท่อพีวีซี นำเทปมาติดให้เป็นสเกลที่สามารถอ่านได้ถึงหน่วยมิลลิเมตร พอนำสายยางติดไปกับตัวไม้ แล้วใส่น้ำเข้าไป มันก็จะขยายทำให้เราอ่านชัดขึ้น” น้ำนิ่งเล่าเสริม ซึ่งนอกจากอุปกรณ์ที่ดัดแปลงใหม่ ทีมงานยังได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาโดยไม่เคยรู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไร เช่น การวัดมุม (angle meter) ที่อาจารย์เป้สอนให้ใช้ความรู้เรื่องของพิทากอรัสในการวัดค่าความลาดชันของหาดทราย
“การทำงานที่ต้องพบปะพูดคุยกับเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายวัย ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก เพื่อสร้างการเรียนรู้เรื่องหาดทราย ทีมงานถูกติดตั้งเครื่องมือ AAR (After Action Review) เพื่อใช้ถอดบทเรียนร่วมกับอาสาสมัครหลังการวัดหาดแต่ละครั้ง ทำให้ทีมงานต้องขวนขวายเติมเต็มความรู้ และทักษะให้แก่ตนเอง”
ทีมงานวัดหาดทรายไปพร้อมกับการสร้างการเรียนรู้ให้กับเครือข่ายที่อาสามาช่วยงาน โดยตั้งใจว่า ในการออกไปวัดหาดแต่ละครั้งต้องมีการพูดคุย รวมทั้งมีการสรุปบทเรียนการทำงานร่วมกันทุกครั้ง แต่สภาพการทำงานในที่โล่งแจ้งริมทะเลซึ่งอากาศร้อนมิใช่น้อย เสร็จงานแต่ละครั้ง ทุกคนจึงอยู่ในสภาพเหนื่อยล้า ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ กระบวนการสรุปบทเรียนการทำงานจึงถูกตัดออกไป ปรับเป็นใช้เวทีประชุมร่วมกับเครือข่ายทุก 4 เดือนในการคืนข้อมูล และสรุปบทเรียนร่วมกับเครือข่ายแทน
การทำงานที่ต้องพบปะพูดคุยกับเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายวัย ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก เพื่อสร้างการเรียนรู้เรื่องหาดทราย ทีมงานถูกติดตั้งเครื่องมือ AAR (After Action Review) เพื่อใช้ถอดบทเรียนร่วมกับอาสาสมัครหลังการวัดหาดแต่ละครั้ง ทำให้ทีมงานต้องขวนขวายเติมเต็มความรู้ และทักษะให้แก่ตนเอง โดยรูปแบบการเรียนรู้ที่สำคัญคือ การประชุมของทีมงานทุกวันพฤหัสบดี ที่น้ำนิ่งและฝน ซึ่งเป็นพี่ได้ถอยออกมาเป็นที่ปรึกษา แบ่งบทบาท แจกงานให้น้องในทีมได้แสดงฝีมือ โดยเฝ้ามองการทำงานของน้องอยู่ห่าง ๆ จะเข้ามาเสริมก็ต่อเมื่อน้องทำไม่ได้ แล้วใช้การถอดบทเรียนหลังการทำงานทุกครั้ง เพื่อทบทวนการทำงานของแต่ละคน พี่ทั้งสองมีหน้าที่กระตุ้น แสวงหา และเติมเต็มเทคนิคการทำงานเพื่อให้น้องได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่
“เราจะมีวันประชุมกลุ่มเป็นกิจวัตรในทุกวันพฤหัสหลังเลิกเรียน ทุกคนจะเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายโมง เพื่อพูดคุยถึงบทเรียนการทำงานที่ผ่านมาว่า อะไรที่เราทำสำเร็จและไม่สำเร็จ เพราะอะไร ทำให้เกิดเวิร์คช็อปย่อย ๆ เยอะมาก เช่น เรื่องพรรณไม้ชายฝั่ง เรื่องสัตว์ริมหาด ซึ่งทุกคนไม่เคยรู้เลย แต่ว่าทุกคนต้องเป็นเทรนเนอร์ เราถามน้องว่า ที่วัดชายหาดมา 3-4 เดือนเราได้สร้างการเรียนรู้ให้แก่อาสาสมัครหรือเปล่า หรือแค่มาวัดหาดแล้วจบไป” ขลุ่ยอธิยายวิธีสร้างการเรียนรู้
ฟ้าเสริมต่อว่า พี่ ๆ เขาอยากให้น้องฝึกเรื่องการตั้งคำถาม โดยให้น้องแบ่งกลุ่มแล้วฝึกตั้งคำถามจากประเด็นที่ได้รับ แล้วเราก็จะถามน้องว่าทำไมไม่ถามแบบนี้ เพราะมันมีกรณีตัวอย่างที่น้องต้นตาลซึ่งเป็นอาสาสมัครมาช่วยวัดหาด ต้นตาลวัดหาดอยู่ 2 จุด มีฟ้าเป็นเทรนเนอร์ ต้นตาลถามฟ้าว่า ทำไม 2 จุดนี้มีสัตว์ต่างกัน จุดหนึ่งเจอน้อย อีกจุดหนึ่งเจอมากกว่า ต้นตาลถามแล้วฟ้าไม่สามารถอธิบายได้ หรือเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วไม่สามารถตั้งคำถามให้คนที่วัดหาดรู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงอย่างไร จึงเป็นที่มาของการฝึกเชื่อมโยง และฝึกตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทีมงานมีวิธีประเมินความรู้ความเข้าใจของอาสาสมัครที่มาช่วยวัดหาด โดยการใช้แบบสอบถามที่มีคำถาม 2 ข้อคือ วันนี้รู้สึกอย่างไร และวันนี้ได้เรียนรู้อะไร ซึ่งอาสาสมัครส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า ได้เรียนรู้เรื่องการใช้อุปกรณ์ เมื่อใช้แบบสอบถามนี้อีกครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม ทีมงานจึงรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล
การนั่งคุยกันในวงเล็ก ๆ ระหว่างทีมงานกับอาสาสมัครที่มาช่วยวัดหาด ต้องใช้คำถามชวนคุยไปเรื่อย ๆ เชื่อมโยงกับสิ่งที่พบเห็นในวันนั้น เป็นเทคนิคที่เกรซบอกว่า ได้นำกลับไปปรับใช้ การค่อยๆ ถามทีละประเด็น ทำให้ได้ข้อมูล คนตอบก็พูดออกมาได้ง่ายขึ้น นั่นทำให้รู้ว่า อาสาสมัครได้เรียนรู้อะไร ไม่ใช่การตั้งคำถามตรง ๆ ว่า วันนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งเป็นคำถามที่คนทั่วไปตอบยาก
น้ำนิ่งเล่าถึงเป้าหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ว่า เราต้องประเมินเขาทุกครั้ง เพราะเราอยากรู้ว่า เขามาแล้วเขาได้เรียนรู้อะไร เข้าใจจริงหรือไม่ เป้าหมายเรื่องข้อมูลไม่ได้สำคัญกว่าความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของชายหาด และชายหาดเป็นสมบัติของเขา เขาเข้าใจชายหาดมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่มาวัดแล้วจบ แต่อยากให้เขาได้ทบทวนตนเองว่า เมื่อมาแล้ว เขาได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของชายหาด เช่น ตรงจุด B2 มีหิน แต่ไม่มีสัตว์ จุด B3 มีทราย แต่สัตว์เยอะ ซึ่งคนที่เป็นเทรนเนอร์จะต้องตั้งคำถามกับกลุ่มว่า สังเกตเห็นไหมว่า 2 จุดนี้มันต่างกัน แล้วลองเดาไหมว่าเพราะอะไร ถ้าเขาฝึกสังเกตก็จะตั้งคำถามได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็อยากหาคำตอบ
น้ำนิ่งบอกต่อว่า นอกจากงานด้านฐานข้อมูลหาดทรายทั้งระบบและกระบวนการทำงานอย่างมีส่วนร่วมแล้ว กิจกรรม “ระดมทุน” ด้วยการทำสมุดทำมือขาย เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ทีมงาน Beach for Life ให้ความสำคัญ เพราะมองว่าเป็นช่องทางที่จะสามารถสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายได้ เช่น กลุ่มน้อง ๆ อาร์ตบีชที่ต้องใช้งบประมาณในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน แต่เขาไม่สามารถเสนอโครงการได้เพราะเขาเป็นเด็กเล็ก ไม่สามารถรวมเพื่อนได้ครบ 5 คน ก็สามารถใช้งบประมาณส่วนนี้ไปขับเคลื่อนกิจกรรม หรือหาก Beach for Life จะจัดวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนสงขลาก็สามารถใช้เงินตรงนี้ได้เช่นกัน
หาดคือชีวิต
“อยู่กับ Beach for Life มาตั้งแต่ปีแรก ทำจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำมาตั้งแต่ปีแรก และทำมาเรื่อย ๆ 3 ปีแล้ว เวลาว่างเราก็มาทำตรงนี้ ถ้าเราออกจาก Beach for Life ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไปไม่เป็น งานกลายเป็นแขนข้างหนึ่งของเรา กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราไปแล้ว ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องทำ แต่คงเป็นเพราะเรารักหาด”
การขับเคลื่อนงานหลายด้าน แต่ทีมงานต่างแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น และเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในบทบาทของเยาวชน มีเบื้องหลังที่ทุกคนต่างรู้สึกร่วมว่า เป็นเพราะวิถีของการทำงานกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เอฟ สะท้อน(Reflection) ว่า เขาอยู่กับ Beach for Life มาตั้งแต่ปีแรก ทำจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำมาตั้งแต่ปีแรก และทำมาเรื่อย ๆ 3 ปีแล้ว เวลาว่างเราก็มาทำตรงนี้ ถ้าเราออกจาก Beach for Life ก็ไม่รู้จะทำอะไร ไปไม่เป็น งานกลายเป็นแขนข้างหนึ่งของเรา กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราไปแล้ว ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องทำ แต่คงเป็นเพราะเรารักหาด
“ถามว่าเราได้อะไรจากโครงการนี้ ไม่ได้อะไรเลย ถ้าหาดมันสวยขึ้นมา วันหนึ่งผมก็ไม่ได้อะไร เพราะบ้านผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ สิ่งที่ได้อาจจะเป็นกระบวนการการทำงานมากกว่า ที่ทำให้เรานำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน การพูดการจา การวางแผนการใช้ชีวิต การวางแผนการเรียน มันทำให้เราวางแผนได้”
สำหรับฟ้าซึ่งเดินตามรอยพี่สาวคือ ฝน-อลิสา บินสุด๊ะ บอกว่า การทำงานทำให้เธอเข้าใจถึงความเป็นจริงของชีวิต เพราะความรู้สึกตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับ Beach for Life ก็คิดว่า อยากให้ชายหาดทอดยาวเหมือนภาพที่เคยเห็นตอนเด็ก แต่เมื่อได้เข้ามาสัมผัสจากการทำงานจริงจึงรู้ว่า เพียงแค่หาดไม่ถูกทำลายเพิ่มก็เป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว
“หาดเป็นพื้นที่ที่เราเคยมีความสุข เราคงไม่ชอบถ้ามีใครมาทำลายพื้นที่ความสุขของเรา เลยทำมาเรื่อย ๆ ยิ่งทำก็ยิ่งผูกพันกับหาด ผูกพันกับคนในชมรม...เราก็อยากให้น้องได้เห็นหาดที่กว้างอย่างที่เราเคยเห็น เราก็เลยทำตรงนี้ต่อไป อยากให้น้องเห็นหาดและอยากให้คนรุ่นต่อไปมาเห็นหาด ดูแลปกป้องหาดต่อไป”
ส่วนน้องใหม่อย่างเกรซ บอกว่า Beach for Life เป็นกิจกรรมที่ไม่เหมือนกิจกรรมอื่นที่วัยรุ่นทั่วไปทำกัน “ในความรู้สึกเราคือมันทำอะไรดูเป็นจริงเป็นจังดี มีสาระ แล้วพอได้เข้ามาทำมันก็มีสาระจริง ๆ มีความรู้มากมายให้ค้นหา แล้วแต่ละอย่างที่เราเรียนรู้มาก็นำไปประกอบการเรียนได้ด้วย เช่น ฟิสิกส์ ชีววิทยา เวลาเราไปวัดหาด เอาน้ำใส่สายยาง ถ้าเราลักน้ำเป็น เมื่อก่อนก็เรียน มันก็อยู่ในหนังสือ แต่พอมาอยู่ตรงนี้เราได้ทำ รู้สึกว่าได้เอาความรู้มาใช้กับการทำงานตรงนี้ ถ้าเราตายไปก็มีคนมาสืบทอด หาดก็จะไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้”
“หาดเป็นพื้นที่ที่เราเคยมีความสุข เราคงไม่ชอบถ้ามีใครมาทำลายพื้นที่ความสุขของเรา เลยทำมาเรื่อย ๆ ยิ่งทำก็ยิ่งผูกพันกับหาด ผูกพันกับคนในชมรม ขลุ่ยมีน้องอีก 2 คน น้องเพิ่งเป็นเด็ก 2 ขวบ เราก็อยากให้น้องได้เห็นหาดที่กว้างอย่างที่เราเคยเห็น เราก็เลยทำตรงนี้ต่อไป อยากให้น้องเห็นหาดและอยากให้คนรุ่นต่อไปมาเห็นหาด ดูแลปกป้องหาดต่อไป” ขลุ่ยสะท้อนแรงขับที่ทำให้คงทำงานต่อไป
น้ำนิ่ง พี่ใหญ่ในกลุ่มบอกว่า เหตุผลที่งาน Beach for Life ไม่หยุด เพราะเราไม่หยุดคิด เราจะรู้สึกสนุกตลอดเวลา ใกล้ ๆ สิ้นปี ก็สนุกอีกแล้วที่จะคิดงานต่อยอดต่อไป เหมือนปีนี้ทำเรื่องติดตามสภาพหาดสมิหลา ปีหน้าซึ่งเป็นปีที่ 4 เราจะประกาศแนวถอยร่น ให้ได้ ซึ่งเราก็เริ่มเห็นลู่ทางแล้วว่าเหมาะมาก เพราะพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (พรบ.ชท.) เปิดโอกาสให้เสนอแนวถอยร่นได้ ข้อมูลที่เราทำมามันก็เป็นประโยชน์ เราเลยรู้สึกว่า มีงานให้ทำต่ออีกเรื่อย ๆ รู้สึกเสพติดการทำงาน และที่สำคัญคือสนุกที่ ได้ทำงานกับน้อง
“งานที่เราทำในห้องเรียนไม่ได้สนุกเหมือนงานนี้ งานที่ทำในห้องเรียนจะถูกตีกรอบจากอาจารย์ว่าต้องทำแบบนี้ ๆ แต่พอมาทำกับน้องแล้วดีมาก เราสามารถบอกน้องให้ทำตามเราได้ แต่เอาเข้าจริงน้อง ๆ ฉลาดกว่าเราเยอะ เราสนุกที่จะคิดจะแลกเปลี่ยนกัน ถ้าน้องโอเคกับเราก็ได้ทำ ถ้าน้องไม่โอเคก็มาคุยกันว่า จะทำอันไหน หรือบางทีก็ต้องขยำรวมความคิดกันแล้วถึงจะได้ทำ มันทำให้รู้สึกท้าทายและสนุก”
สำหรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของหาดทรายในความรู้สึกของน้ำนิ่งก็เช่นเดียวกับฟ้า ที่รับรู้ว่า คงยากที่จะได้หาดสวย ๆ กลับคืนมา แต่เป้าหมายในการขับเคลื่อนให้มีการรื้อถอนโครงสร้างแข็งออกไป ยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของการทำงาน เพราะถ้าถึงวันนั้นแสดงว่า คนสงขลาเข้าใจธรรมชาติของหาดทรายแล้ว

เติบโตจากการทำงาน
เมื่อมองย้อนกลับไป ระยะเวลาที่ก้าวมาจะถึงปีนี้ ทีมงานพบว่า การทำงานเรื่องหาดทรายของกลุ่มได้ยกระดับขึ้น ตั้งแต่สร้างการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่รู้จักเรื่องหาด สร้างเครือข่ายกับชุมชน องค์กรในพื้นที่ จนในที่สุดถึงขั้นที่ต้องเกี่ยวข้องกับนโยบายของภาครัฐ เช่น ธรรมนูญชายหาดที่ได้ทำ MOU กับเทศบาลในปีที่ผ่านมา จนในปีนี้ที่โครงสร้างแนวเขื่อนกั้นการกัดเซาะบริเวณหาดชลาทัศน์ระยะทาง 7.8 กิโลเมตร กลุ่ม Beach for Life และเครือข่ายเด็กและเยาวชน ได้เป็นส่วนหนึ่งในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้คุ้มครองพื้นที่ดังกล่าวไม่ให้ธรรมชาติถูกทำลายโดยโครงสร้างขนาดใหญ่
การทำงานต่อเนื่อง ภาพคนทำงานก็เปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา แต่ศักยภาพที่ถูกพัฒนาผ่านการทำงานทำให้แต่ละคนเห็นตนเองและพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่จุดที่ต้องการ
ขลุ่ยเล่าว่า การทำงานในปีนี้ ต้องพบปะกับผู้คนหลากหลาย ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องการฟัง ที่ต้องพยายามฟังอย่างตั้งใจ เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายที่ผู้พูดต้องการสื่อความ สิ่งนี้กลายเป็นการฝึกนิสัยการรับฟังที่ติดตัวไปในห้องเรียน ที่ขลุ่ยบอกว่า จะฟังครูให้เข้าใจโดยไม่เถียง ไม่ต่อต้าน เมื่อรับฟังก็จะเข้าใจครูมากขึ้น ซึ่งขลุ่ยสรุปในที่สุดว่า การฟังนำไปสู่การเปลี่ยนทัศนคติของตนเองทำให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และใจเย็นมากขึ้น รู้สึกตัวว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ต้องตื่นมาวัดหาดจนกลายเป็นคนตื่นเอง นาฬิกาไม่ต้องปลุกก็ตื่นเอง กลายเป็นคนตื่นเช้าไปเลย เวลาเราทำกิจกรรมวัดหาดเราต้องเตือนตัวเองให้ตั้งใจ เวลาเราเรียนเราก็มีสมาธิกับการเรียน เราต้องตั้งใจเรียนเพื่อที่ว่าจะมีอนาคตที่ดี” ขลุ่ยบอก
ส่วนเกรซ ได้เพิ่มพูนทักษะการสื่อสารจากการที่ต้องประสานงานกับคนจำนวนมาก เช่นเดียวกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น เพราะตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเอง “ก่อนที่จะเข้ากลุ่ม Beach for Life เราก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่ต้องทำเป็นประจำ เราก็จะต่อรองผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ อย่างทำการบ้านก็ขอต่อเวลาตลอดแล้วก็มาเร่งทำตอนเช้า แต่พอทำงานประสานคนมาวัดหาด มันไม่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำก็จะไม่มีคนมา เราก็จะติดนิสัยกลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ผัดผ่อนทั้งการทำงานและการทำการบ้าน”
ด้านฟ้า บอกว่า การทำงานทำให้ได้เรียนรู้เรื่องการวางแผนให้รอบคอบ ซึ่งเกิดจากการที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ “ถ้าเราดูแลไม่ดี อุปกรณ์หายไปหรือไม่ครบก็จะทำงานไม่ได้ ทำให้เราจะต้องเช็คให้ละเอียดรอบคอบ ในส่วนของเลขาจะอยู่กับเรื่อง การจดบันทึก ที่ต้องฟังคนอื่นมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น เข้าใจเพื่อนมากขึ้น ทำให้เวลาเขาแสดงออก เราจะเข้าใจเขาว่าทำไมเขาทำแบบนั้น เราจะได้ไม่อคติเขา”
ฟ้าเล่าต่อไปว่า การรับผิดชอบจดบันทึกการทำงานในกลุ่ม Beach for Life ได้ฝึกนิสัยให้ตั้งใจฟัง และรักการเขียน ทำให้เวลาเรียนก็จะจดบันทึกทุกวิชา “เพราะเราต้องบันทึก เราต้องฟังตลอด มันก็ติดไปเวลาเรียนที่จะนั่งฟังตลอด ไม่เคยหลับ ก็นั่งจด” ซึ่งผลพวงของนิสัยดังกล่าว ทำให้สามารถเรียนได้เกรดดีขึ้นโดยไม่ต้องคร่ำเคร่งท่องตำรา
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนตรงที่เราต้องเตรียมบางอย่างก่อนทำงาน เวลาผมเรียนหนังสือ ผมเป็นคนอ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัว ตอนนี้ผมจะต้องอ่านก่อน เตรียมตัวก่อนไปนั่งเรียน เวลาเรียนก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ เป็นการเรียงความรู้ในหัว มันก็ทำให้เรียนเข้าใจง่ายขึ้น แล้วปรกติเป็นคนเลือกทำงาน อย่างจดบันทึกจะไม่เอา ชอบงานที่ต้องคิดอะไรใหม่ ๆ เสมอ แต่ตอนนี้ทำทุกอย่างไม่เลือกงาน งานที่บอกว่าไม่เอา ไม่ทำก็จะน้อยลง ก็จะทำทุกงาน นี่คือสิ่งที่เราได้จาก Beach for Life”
ส่วนเอฟบอกว่า ได้เปลี่ยนตนเองให้เป็นคนที่มีการวางแผนชีวิต วางแผนการเรียน วางแผนการทำงานมากขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยวางแผนอะไรมากมาย อาศัยการเจอหน้างานก็จะทำเลย ทำให้เมื่อรับมอบงานแล้วไม่ค่อยเตรียมให้ทันเวลา บุคลิกส่วนตัวก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นคนโผงผาง คิดอะไรก็พูดออกมาเลย ไม่ค่อยใส่ใจความรู้สึกของใคร ก็กลายเป็นคนที่นิ่ง คิดก่อนพูดมากขึ้น การสะท้อนตัวเองของเอฟได้รับการยืนยันเห็นด้วยจากเพื่อนร่วมทีมอย่างล้นหลาม โดยน้ำนิ่งเล่าเพิ่มเติมว่า เอฟเป็นคนที่ตรงต่อเวลาที่สุดในทีม ในขณะที่สมาชิกบางคนในกลุ่มยังติดนิสัยมาสาย ไม่ตรงเวลา จนต้องทำข้อตกลงร่วมกันว่า ถ้าใครมาสายเกิน 15 นาทีต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการทำกิจกรรมที่จะทำ
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนตรงที่เราต้องเตรียมบางอย่างก่อนทำงาน เวลาผมเรียนหนังสือ ผมเป็นคนอ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัว ตอนนี้ผมจะต้องอ่านก่อน เตรียมตัวก่อนไปนั่งเรียน เวลาเรียนก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ เป็นการเรียงความรู้ในหัว มันก็ทำให้เรียนเข้าใจง่ายขึ้น แล้วปรกติเป็นคนเลือกทำงาน อย่างจดบันทึกจะไม่เอา ชอบงานที่ต้องคิดอะไรใหม่ ๆ เสมอ แต่ตอนนี้ทำทุกอย่างไม่เลือกงาน งานที่บอกว่าไม่เอา ไม่ทำก็จะน้อยลง ก็จะทำทุกงาน นี่คือสิ่งที่เราได้จาก Beach for Life”
ความรู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหาดสมิหลา-ชลาทัศน์ ของเยาวชนกลุ่ม Beach for Life ยังคงเข้มข้นแม้ทำงานผ่านมา 3 ปี โจทย์การทำงานเพื่อปกป้องชายหาดเกิดขึ้นเพื่อเติมส่วนที่ขาด นั่นคือฐานข้อมูลจากการติดตามชายหาดทั้งระบบ ที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ได้ เป็นความรู้ที่ช่วยให้การดูแลชายหาดเป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นไปด้วยความเข้าใจธรรมชาติของหาด เพื่อรักษาหาดให้เป็นทรัพยากรที่ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ไปอีกนานเท่านาน พร้อมกับค่อยๆ ก่อตัวอาสาสมัครคนสงขลาที่เข้ามาร่วมเรียนรู้ ร่วมรู้ร้อนรู้หนาว เพราะทุกคนต่างเป็นเจ้าของหาดนี้ด้วยกัน ที่สำคัญ ห้องเรียนหาดทรายแห่งนี้ยังได้สร้างสำนึกความเป็นพลเมืองเยาวชนสงขลาที่รู้จริง ทำจริง คิดก้าวข้ามปัญหา รับผิดชอบ และมีหัวใจที่เคารพต่อทรัพยากร ต่อบ้าน ต่อเมือง ด้วยเพราะเขารู้สึกรักและตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ และพร้อมจะส่งต่อคุณลักษณะนี้ให้เยาวชนสงขลารุ่นต่อรุ่น อย่างไม่หยุดหย่อน
ที่ปรึกษาโครงการ :
- ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
- อภิศักดิ์ ทัศนี (นักศึกษาชั้นปีที่ 2 โปรเเกรมพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา)
ทีมทำงาน : นักเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา
- ภัฏฏินี คงประดิษฐ์
- ณัฐพงษ์ จันทลักขณา
- อณากร สีดำ
- อลิสรา บินดุส๊ะ
- ชนินทร์ วงค์บุดดา
- เพรซเชิซ เอเบเล อีเลชุคกุล