การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ความรู้วิชาการ และปลุกสำนึกดีให้กับเยาวชนในชุมชน จังหวัดสงขลา

ปฏิบัติการ...ชุมชนเปื้อนยิ้ม 

โครงการ Smile by CD'2 สร้างความสุขสู่ชุมชน


รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ ทำให้เขามีความเป็นชุมชนมากขึ้น จากเดิมที่เขามีแค่ชื่อว่า “ชุมชนบ่อนวัวเก่า” แต่หัวใจเขาไม่เคยมีความเป็นชุมชนเลย แต่โครงการที่เราเข้าไปทำมีส่วนทำให้ชุมชนบ่อนวัวเก่า เกิดความเป็นชุมชนมากขึ้น

“ที่เราตั้งชื่อโครงการว่า โครงการ Smile by CD'2 สร้างความสุขสู่ชุมชนเพราะเราอยากให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ยิ้มได้ และในฐานะที่เราเป็น CD หมายถึง Community Development หรือ นักพัฒนาชุมชน การทำโครงการนี้เราอยากเป็นนักพัฒนาชุมชนที่จะไปสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กในชุมชน”

จากจุดเริ่มต้นของการลงพื้นที่เพื่อสำรวจประชากรในชุมชนบ่อนวัวเก่า อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา เมื่อปี พ.ศ.2557 จนเกิดเป็นโครงการ Smile by CD ที่เหล่าว่าที่นักพัฒนาชุมชนทีมนี้ได้ไปทำโครงการสร้างการเรียนรู้ให้เด็กในชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ความรู้วิชาการ และปลูกสำนึกดี เป็นภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ อยู่ได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในชุมชนที่อาจเป็นสิ่งเร้าให้เด็กๆ อาจไขว้เขวไปสู่อบายมุขได้ แม้โครงการสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความผูกพันของทีมงานกับเด็กและเยาวชนในชุมชนยังดำเนินต่อไป ความรู้สึกที่อยากให้เด็กๆ อยู่ได้อย่างเข้มแข็งในชุมชน เป็นแรงผลักดันทำให้มีนและเพื่อน อีก 5 คน ตัดสินใจทำโครงการต่อ แต่ครั้งนี้เธอให้น้องๆ เปลี่ยนจาก “ผู้รับ” มาเรียนรู้ที่จะเป็น “ผู้ให้” โครงการ Smile by CD'2 สร้างความสุขสู่ชุมชนจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในชุมชนแห่งนี้

­

หล่อหลอมสร้างคนดี...บทบาทนักพัฒนา

หลังจากโครงการปีที่ 1 จบลงไป ทั้ง 5 สาว ประกอบด้วย มีน-ศิริวรรณ มะแซ แนะ-อาริสา สุขสุภาพ หน๊ะ-สาฟิหน๊ะ สีหมะ ฟิต-ฟิตรีญา บิลลาแซ และ แกม-แกมกาญจน์ ปานหมอน ต่างรู้สึกว่าพวกเธอยังไปไม่สุด!! “เราอยากให้คนในชุมชน อยากให้พ่อแม่ของเด็กเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่เราจัดขึ้น ปัจจุบันพ่อแม่เขาไม่มีเวลา ในขณะที่เด็ก ๆ ยังโหยหากิจกรรมที่เราเคยจัดให้อยู่ เลยมานั่งคิดว่าโครงการเรายังไม่ประสบผลสำเร็จ ยังไม่สามารถทำให้พ่อแม่แบ่งปันเวลามาให้เวลากับลูกมากขึ้นได้ จึงตัดสินใจทำต่อ” คือถ้อยคำที่ทั้ง 5 สาวบอกเล่าถึงที่มาของการตัดสินใจ  “เราไม่ใช่คนในชุมชน เราไม่รู้ว่าเมื่อเราออกมาจากชุมชนแล้ว เด็กเขาจะกลับไปสู่วังวนเดิม ๆ หรือไม่ เราจึงอยากดึงผู้ปกครองและคนในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด”

และเพื่อให้การเดินตามฝันเป็นจริง ปีนี้พวกเธอยังคงยึดพื้นที่เดิม และเด็กกลุ่มเดิม กำหนดเป้าหมายว่าจะ พัฒนาทักษะชีวิต และปลูกสำนึกดีให้กับเยาวชนในพื้นที่ชุมชนบ่อนวัวเก่า ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ขึ้น “เรายังอยากเห็นน้อง ๆ เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนและคนละแวกใกล้เคียง ที่สำคัญคือเราอยากเห็นน้องและผู้ปกครองพูดคุยกันมากขึ้น จึงคิดกิจกรรมหลักขึ้นมา 2 กิจกรรมคือ ปลูกผักสร้างรัก และกิจกรรมพาน้องไปบำเพ็ญประโยชน์ทั้งในและนอกชุมชน” มีนอธิบายพร้อมขยายความต่อว่า พวกเธอใช้กิจกรรมปลูกผักเป็น “เครื่องมือ” ดึงให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรม โดยหวังว่า กิจกรรมนี้จะช่วยสร้างความรักระหว่างผู้ปกครองและบุตรหลานได้จากการได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และยังเป็นการฝึกเด็กๆ เรื่องการรับผิดชอบอีกด้วย  

ปีนี้ทีมงานให้ความสำคัญกับคำว่า “มีส่วนร่วม” สูงมาก ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของโครงการที่ต้องทำให้สำเร็จ เพราะในพื้นที่มีปัญหายาเสพติด และผู้ปกครองให้เวลาในการดูแลบุตรหลานน้อย หากเราปล่อยให้เด็กอยู่กับสภาพแวดล้อมเช่นนี้โดยไม่ได้รับการขัดเกลา ก็เป็นการยากที่เขาจะเติบโตได้อย่างแข็งแรง หลุดออกจากวัฏจักรของอบายมุขได้ แต่หากเราจัดกิจกรรมให้เด็กและดึงผู้ปกครองมาร่วมทำกิจกรรมด้วย ผู้ปกครองจะได้เห็นและยอมรับความสามารถของลูก และหากผู้ปกครองเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเราแล้วการนำวิธีการต่างๆ ไปใช้ต่อในครอบครัวจึงเป็นความคาดหวังสูงสุด มีนอธิบาย “เราไม่ใช่คนในชุมชน เราไม่รู้ว่าเมื่อเราออกมาจากชุมชนแล้ว เด็กเขาจะกลับไปสู่วังวนเดิม ๆ หรือไม่ เราจึงอยากดึงผู้ปกครองและคนในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด” มีนเล่าถึงเป้าหมายที่ต้องการ


ปลูกผักสร้างรัก...กลยุทธ์ผูกสัมพันธ์

“เราใช้การปลูกผักเป็น “อุบาย” ให้เด็ก ๆ รู้จักความรับผิดชอบจากการดูแลต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน และเกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว” กว่าจะเกิดเป็นกิจกรรมปลูกผักสร้างรัก ทีมงานระดมความคิดกันอยู่นาน จนตกผลึกเลือกกิจกรรมนี้เพราะคิดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ 3 ต่อ ต่อแรก หากน้องๆ เขาดูแลผักได้ดี เขาก็สามารถนำผักไปบริโภคได้ ต่อที่สอง เราใช้การปลูกผักเป็น “อุบาย” ให้เด็ก ๆ ฝึกความรับผิดชอบจากการดูแลต้นไม้ รดน้ำ พรวนดินและต่อที่ 3 ช่วยทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว 

“ถ้าเป็นเราปลูกต้นไม้สักต้นแล้วตื่นเช้ามาเห็นแม่เรารดน้ำต้นไม้ให้ เราก็คงจะรู้สึกชื่นใจ จึงอยากให้น้อง ๆ ได้รับความรู้สึกแบบนี้บ้าง” มีนเล่าถึงผลที่ต้องการให้เกิดขึ้น

หลังจากมอบหมายให้น้อง ๆ ทุกคนปลูกผักแล้ว ทีมงานจะแวะเวียนมาติดตามผลทุกวันพุธ เมื่อมาครั้งที่ 1 พบว่า มีบางครอบครัวที่ช่วยลูกดูแลผักสวนครัว บางครอบครัวผักตายเพราะสภาพพื้นที่ไม่อำนวย เมื่อเป็นดังนั้นทีมงานเริ่มเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไขปรับปรุง จึงนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปผลร่วมกัน

“มีบ้างที่บางครั้งเราแอบไปวันอื่นที่ไม่ใช่วันพุธ เพราะเราอยากรู้ว่า ถ้าวันไหนที่เราไม่มา เขาจะดูแลผักหรือเปล่า ใช้วิธีสลับกันไปบ้าง บางครั้งก็ให้เพื่อนไปแทน หรือไปแอบดูน้อง ๆ บ้าง ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้เราพบว่าน้อง ๆ มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน น้องที่ปลูกผักเติบโต เวลาเราเข้าไปหา เขาจะภูมิใจว่าเขาดูแลเอง แม่น้องก็เข้ามามีส่วนร่วม พูดถึงลูกให้ฟัง เรารู้สึกว่าแม่ก็สังเกตพฤติกรรมระหว่างที่ลูกดูแลพืชผักสวนครัวด้วย แค่นี้แหละที่เราอยากได้ แค่ให้พ่อ แม่ ลูก สนิทกันมากขึ้น แม่เห็นคุณค่าของลูกมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เราอยากได้” มีนเล่าถึงอุบายในการแอบไปสังเกตพฤติกรรมของน้อง ๆ ให้ฟังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทุกครั้งที่พูดถึงน้อง ๆ

­

สร้างคุณค่าในตัวตน สร้างสัมพันธ์ในครอบครัว

หลังชวนน้องปลูกผักเสร็จแล้ว ทีมงานได้หาเวลาพูดคุยกันเพื่อกำหนดกรอบคำถามที่จะนำไปสู่การถอดบทเรียนการเรียนรู้จากการปลูกผักสวนครัว 

“เราคิดถึงขั้นที่ว่า ถ้าผักของน้องตาย เราต้องหาเหตุผลให้ได้ว่า ผักน้องตายเพราะอะไร และเมื่อผักตายน้องรู้สึกอย่างไร เพื่อหาข้อสรุปว่า ที่ผักตายเพราะน้องไม่รับผิดชอบหรือเปล่า หรือเพราะผู้ปกครองไม่ร่วมมือ เพื่อที่เราจะได้หาวิธีแก้ไขต่อไป เพื่อให้กิจกรรมปลูกผักสร้างรักเดินไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นคือ การมีส่วนร่วมของทุกคนในครอบครัว ให้จงได้” มีนและเพื่อน ๆ ช่วยกันเล่าเท้าความให้ฟังถึงขั้นตอนการประชุมหารือเพื่อนำไปสู่คำถามในการถอดบทเรียนของน้อง ๆ ที่ได้จากกิจกรรมปลูกผักสร้างรัก

เพราะรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ได้ของเด็กแต่ละคนจะต้องมีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ มีนและเพื่อนจึงแบ่งกันลงพื้นที่เพื่อติดตามผลเป็นรายคน เนื่องจากไม่ต้องการให้เด็กเปรียบเทียบกันเอง “ตอนแรกยอมรับว่า เราไม่ได้ออกแบบคำถามเพื่อถอดบทเรียนน้องเป็นรายคน แต่เพราะมีน้องบางคนที่ต้นไม้ตาย แล้วเขาเสียใจมาก มาร้องไห้กับเรา ทำให้เราต้องออกแบบคำถามใหม่ ใช้วิธีถามเป็นรายคนก่อนที่จะนำข้อมูลที่ได้มาสรุปผลร่วมกันอีกครั้ง”

อย่างไรก็ตาม ทีมงานมองว่า ปลูกผักอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการสร้างสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และสามารถทำให้คนในครอบครัวเห็น “คุณค่า” ของเด็ก ๆ ทีมงานจึงต้องออกแบบกิจกรรมเพิ่ม สาว ๆ ทั้ง 5 บอกว่า พวกเธอนำกิจกรรมเมื่อปีที่แล้วมาทำใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากการระบายสีใส่กระดาษ A4 มาเป็นระบายสีปูนปลาสเตอร์แทน เมื่อน้องระบายเสร็จก็สามารถนำกลับไปให้ที่บ้านดูได้เลย ถึงแม้จะเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ แต่เป็นอุบายที่แยบยล ที่จะช่วยสร้างสัมพันธ์ให้กับคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะให้น้อง ๆ ระบายสีแล้ว ทีมงานยังตั้งเงื่อนไขในกิจกรรมว่า ใครหยอดเงินได้เต็มกระปุกพี่ ๆ จะมีรางวัลให้ พร้อมกำชับให้นำผลงานที่น้องทำกลับไปให้คนที่บ้านดู

มีนเสริมว่า ที่คิดกิจกรรมนี้ขึ้นมาเพราะเห็นว่า น้องบางคนปลูกผักตาย เขาเลยใจฝ่อ พวกเราจึงอยากปลุกพลังน้องขึ้นมาอีกครั้ง เช่น หากน้องคนไหนปลูกผักตาย เราก็บอกน้องว่า “ให้นำผลงานนี้ไปให้พ่อกับแม่ดู” เพื่อต้องการให้ผู้ปกครองเห็นความสามารถของน้อง ส่วนน้องคนไหนที่เคยปลูกผักแล้วได้ผลดีเราจะบอกให้เขารู้จักเก็บออมเงินไว้ใช้ในอนาคต 

ทักษะการพูดเหล่านี้เกิดจากจิตใต้สำนึกลึก ๆ ที่ต้องการให้กำลังใจน้อง อยากให้คนในครอบครัวมองเห็นว่า เด็กเหล่านี้มีคุณค่า เด็ก ๆ ก็เกิดความภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำ ได้ฝึกสมาธิจากการระบายสี และยังฝึกเรื่องของการมีเหตุมีผลผ่านการบอกเล่าที่มาของการเลือกระบายสีแต่ละสี เราไม่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา แต่เราจะใช้ประสบการณ์ความรู้สึกมาพูดกับน้อง”มีนกล่าว

กิจกรรมระบายสีปูนปลาสเตอร์ เดิมคาดหวังเพียงแค่ต้องการปลุกพลังและเติมเต็มความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองให้น้องๆ ที่ปลูกผักล้มเหลว แต่กลายเป็นว่ากิจกรรมนี้ยังช่วยฝึกสมาธิให้กับน้อง ๆ อีกด้วย


สร้างรักในครอบครัว...สานสัมพันธ์ชุมชน

“ไม่หวังให้คนในพื้นที่เห็นเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แต่หวังให้คนในชุมชนและลูก ๆ กับพ่อแม่ของเขาสนิทกัน...อยากจะให้เด็กๆ เรียนรู้การเป็นผู้ให้บ้าง ให้เขาได้ทำอะไรเพื่อชุมชนเขาบ้าง เพื่อที่ชุมชนจะได้ยอมรับเขา”

หากให้ย้อนไปเมื่อปี 1 พ่อ แม่ และคนในชุมชนแทบจะไม่สนใจสิ่งที่ทีมงานลงพื้นที่ไปทำกิจกรรมกับชุมชนเลย แต่ทีมงานก็ยังอดทนกับสถานการณ์ที่พบเจอ และเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเธอจะรู้สึกท้อใจและถอดใจ แต่อาศัยการให้กำลังใจกันระหว่างเพื่อนร่วมทีม ทำให้ทุกคนผ่านพ้นความรู้สึกนั้นมาได้ด้วยดี 

“ตอนนั้นจำได้ว่าท้อใจมาก ปีนี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ไม่หวังให้คนในพื้นที่เห็นเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน แต่หวังให้คนในชุมชนและลูก ๆ กับพ่อแม่ของเขาสนิทกัน ซึ่งได้ผลดีกว่าที่คิดไว้จากปี 1 เราให้น้องทุกอย่าง จนน้องรู้สึกว่า เขามีหน้าที่เป็นผู้รับ รับทุกอย่างที่เราทำ แต่มาปี 2 เราจึงอยากที่จะให้เขาเรียนรู้การเป็นผู้ให้บ้าง ให้เขาได้ทำอะไรเพื่อชุมชนเขาบ้าง เพื่อที่ชุมชนจะได้ยอมรับเขา” มีนอธิบายเหตุผลที่ต้องปรับเป้าหมายใหม่ในปีนี้

หลังทำกิจกรรมปลูกผักสร้างรัก และระบายสีปูนปลาสเตอร์เสร็จแล้ว ทีมงานเห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนชุมชนบ่อนวัวเก่าเริ่มดีขึ้น จึงจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ภายในหมู่บ้านต่อ เพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยรูปแบบกิจกรรมจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน และให้เด็กๆ ที่อาศัยอยู่แต่ละโซนหมุนเวียนกันทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์

สัปดาห์ละ 1 โซน เช่น ทำความสะอาดวัด หรือชุมชน เป็นต้น โดยคาดหวังว่าเมื่อผู้ใหญ่ในชุมชนเห็นน้อง ๆ ทำ ก็จะเข้ามาช่วย เพราะส่วนใหญ่ต่างคนต่างอยู่ และหลังทำกิจกรรมทุกครั้ง ทีมงานจะพาน้อง ๆ ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เขาได้ลงมือทำ โดยใช้วิธีถามเป็นรายคนมากกว่าการนั่งล้อมเป็นวงใหญ่แล้วถาม เพราะพวกเธอมองว่า การควบคุมเด็กตัวเล็ก ๆ ให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับคำถามได้นานๆ เป็นเรื่องยาก

การถอดบทเรียนน้องก็ง่าย ๆ พี่สนิทกับน้องคนไหนก็ถามคนนั้น นอกจากนี้ เรายังถามผู้ปกครองด้วยว่าหลังจากน้องมาทำกิจกรรมกับเรา เขาเห็นน้องเปลี่ยนไปบ้างไหม ผู้ปกครองบางคนจะบอกว่า น้องพูดเพราะขึ้น รู้จักช่วยงานบ้านมากขึ้น” หน๊ะเล่า และเสริมต่อว่า สาเหตุที่พวกเธอต้องถอดบทเรียนทุกครั้งหลังทำกิจกรรมเสร็จก็เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ทีมงานทำว่าเป็นอย่างไร เพื่อนำไปปรับใช้ในกิจกรรมครั้งต่อไป


ท้อ...แต่ไม่เคยถอย

 “ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ รอยยิ้มที่เกิดจากกิจกรรมที่พวกเราไปทำให้เขา เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กที่ค่อย ๆ แสดงออกมาให้เราเห็น สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำโครงการต่อ เราจะไม่ยอมทิ้งให้เด็ก ๆ ต้องรอว่าเมื่อไหร่เราจะกลับไปหาเขาอีก เราอยากเห็นแววตาที่มีความสุขเวลาที่เขาเจอพวกเรา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเลือกที่จะไม่ถอย”

ดูเหมือนว่าการทำโครงการของทั้ง 5 สาวราบรื่น ไร้ปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ แต่ทีมงานบอกว่า ก็มีบ้างที่สภาวะภายในของแต่ละคนเริ่มอ่อนแอจนถึงขั้นคิดที่จะยกเลิกโครงการ

 “เรื่องเวลาของพวกเราเป็นอุปสรรคที่แก้ไขไม่ได้เลย บวกกับน้อง ๆ เองก็มีเวลาไม่ตรงกับเรา ภาระในมหาวิทยาลัยที่ต้องรับผิดชอบก็มีมากมาย เราก็มาคุยกันว่า จะเอาอย่างไรดี ตอนแรกคิดว่า แค่ทำให้เสร็จ ๆ ไป แต่เพื่อนในกลุ่มจะคอยเติมกำลังใจให้กันเสมอ ไม่ให้เราทำแค่ให้ผ่าน ๆ ไป เราตั้งใจทำกันมาจนจะเสร็จแล้ว อย่าทิ้งโครงการไปเพียงเพราะแค่คำว่าเหนื่อยแค่คำเดียว” มีนและเพื่อน ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้สึก ท่ามกลางภาระที่หนักหน่วง ทั้งในบทบาทของการเป็นนักศึกษาที่ต้องรับผิดชอบในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้นเมื่อออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยก็ต้องสวมบทเป็นพี่ ๆ ใจดีที่ต้องลงพื้นที่เพื่อจัดกิจกรรมให้กับน้องในชุมชน ทำให้พวกเธอรู้ซึ้งถึงคำว่า “รับผิดชอบ” ความลำบาก ความเหนื่อยที่มาพร้อมกับความอดทน ทำให้พวกเธอต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด จากท้อแท้ ท้อถอย เป็นอดทน และรับผิดชอบ เมื่อเปลี่ยนวิธีคิดกลับทำให้พวกเธอรู้สึกว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเข้ามาทำเพื่อผู้อื่น เพื่อเปลี่ยนแปลงชุมชน สังคม อย่างพวกเธอ ทำให้ทีมนึกได้ว่าเช่นเดียวกับงานของนักพัฒนาชุมชนที่พวกเธอกำลังจะจบการศึกษาออกไปทำบทบาทนี้ ก็เป็นงานที่มหัศจรรย์เช่นเดียวกัน

“ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ รอยยิ้มที่เกิดจากกิจกรรมที่พวกเราไปทำให้เขา เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กที่ค่อย ๆ แสดงให้เห็น สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำโครงการต่อ เราจะไม่ยอมทิ้งให้เด็ก ๆ ต้องรอว่าเมื่อไหร่เราจะกลับไปหาเขาอีก เราอยากเห็นแววตาที่มีความสุขเวลาที่เขาเจอพวกเรา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเลือกที่จะไม่ถอย”มีนและเพื่อน ๆ กล่าวย้ำถึงเหตุผลที่ไม่คิดเลิกทำโครงการ

­

เมื่อ “จิตวิญญาณ” นักพัฒนาชุมชนลุกโชน

เมื่อโครงการสิ้นสุดลง นอกจากชุมชนบ่อนวัวเก่าที่ได้ประโยชน์ พวกเธอเองก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ทำให้เข้าใจคำว่า “นักพัฒนาชุมชน” แจ่มชัดขึ้น “รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ ทำให้เขามีความเป็นชุมชนมากขึ้น จากเดิมที่มีแค่ชื่อว่า “ชุมชนบ่อนวัวเก่า” แต่หัวใจเขาไม่เคยมีความเป็นชุมชนเลย แต่โครงการที่เราเข้าไปทำมีส่วนทำให้ชุมชนบ่อนวัวเก่า เกิดความเป็นชุมชนมากขึ้น คนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น” มีนยังบอกต่อว่า ก่อนที่เธอจะมาทำโครงการนี้ เธอเคยฝันที่อยากจะเป็นปลัดอำเภอ เพื่อพัฒนาเด็ก ๆ และชุมชน แต่เพราะเลือกเอกผิด ทำให้เธอไม่สามารถเป็นปลัดอำเภอได้ ณ ตอนนี้ จากเดิมที่เคยฝันเป็นปลัดอำเภอ แต่เมื่อได้เรียนไปเรื่อย ๆ บวกกับกิจกรรมการเรียนรู้นอกมหาวิทยาลัยที่ทำมาตลอด 2 ปี ทำให้พบว่า นายก อบต.น่าจะตอบโจทย์กับเธอมากที่สุดในการที่จะเข้าไปพัฒนาคนในชุมชน

ส่วนแกมบอกว่า โครงการนี้ทำให้เธอมีความรับผิดชอบมากขึ้น แบ่งเวลาเป็น มีสมาธิในการทำงาน เพราะเดิมค่อนข้างสมาธิสั้น อยู่กับตัวเองได้มากขึ้น แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ และรู้สึกดีใจที่เห็นเด็กในชุมชนเห็นความสำคัญของพ่อแม่มากขึ้น เมื่อถามถึงอนาคตที่อยากเป็น เธอตอบไม่ต่างจากมีนนัก แกมอยากเป็นผู้ช่วย อบต. เพื่อที่จะได้มีโอกาสทำงานร่วมกับมีนอีก ที่สำคัญเธอยังเล่าต่อว่าสมาชิกทั้งทีม เคยคุยกันว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะทำงานด้วยกัน ทำวิจัยชุมชนด้วยกัน เพราะมองว่าสิ่งที่พวกเธอทำนั้นสามารถต่อยอดไปสู่การทำวิจัยชุมชนต่อได้

ขณะที่แนนบอกว่า เดิมเธอเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าเสนอความคิดเห็น แต่ตอนนี้เธอกล้าพูด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น จัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับเด็ก ๆ ก็เข้าใจว่าเป็นวิถีของเด็กที่ย่อมมีความซุกซนเป็นธรรมดา

หน๊ะบอกว่า โครงการนี้ทำให้เธอมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องทำให้เสร็จ รู้จักการเป็นผู้ให้ แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่ใช่ชุมชนของเธอ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ อย่างน้อยเราก็เริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือชุมชนบ่อนวัวเก่า

ก่อนที่จะเข้ามาเรียนพัฒนาชุมชน หน๊ะบอกว่า เธออยากเป็นครูสอนเด็กปฐมวัย แต่เมื่อได้เรียนและได้ทำกิจกรรมบ่อย ๆ ทำให้เธออยากกลับไปทำงานที่ อบต. ที่บ้านมากกว่า เพราะเมื่อลงพื้นที่ไปในชุมชนบ่อย ๆ ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เธอเรียนมานั้นน่าจะนำไปช่วยเหลือหมู่บ้านได้

มาถึงวันนี้ Smile by CD หรือการเป็นนักพัฒนาชุมชนที่จะสร้างรอยยิ้มให้กับคนในชุมชนที่พวกเธอได้ตั้งใจไว้ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว พวกเธอได้สร้างรอยยิ้มให้กับคนในพื้นที่ ให้เด็กๆ และผู้ปกครอง ทำให้ใบหน้าของคนในชุมชนบ่อนวัวเก่าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม พวกเธอได้เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ตระหนักถึง “คุณค่าในตัวเอง” และเราต่างรู้ดีว่าการที่คนเราเห็นคุณค่าในตัวเองนั้นมีความหมายอย่างไร ในอนาคตเด็กเหล่านี้จะสามารถมีภูมิคุ้มกันที่จะดึงตัวเองออกห่างจากอบายมุขได้ด้วยอาวุธล้ำค่าชิ้นนี้ และ Smile by CD ยังแสดงให้เราเห็นว่า การพัฒนาชุมชนนั้นต้องให้ความสำคัญกับการ “พัฒนาคน” ไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแต่อย่างใด


โครงการ : Smile by CD'2 สร้างความสุขสู่ชุมชน

ปรึกษาโครงการ : อาจารย์กัลป์ยาภัสร์ อภิโชติเดชาสกุล

ทีมทำงาน : ( ศิริวรรณ มะแซ )  ( อาริสา สุขสุภาพ )  ( สาฟิหน๊ะ สีหมะ )  ( แกมกาญจน์ ปานหมอน )  ( ฟิตรีญา บิลลาแซ )