ปฏิบัติการคืนความสุขแด่คนชรา
โครงการมอบความสุขแด่คนชรา
การปรับบทบาทจาก “ผู้รับ” สู่การเป็น “ผู้ให้” ก็เป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ ซึ่งหากมองในมุมกลับกัน นอกจากประสบการณ์การทำงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว...ยังได้รับความสุขทางใจกลับมา และความสุขที่ว่าคงหาได้ไม่ง่ายนัก หากไม่ได้ทำลงมือทำด้วยตัวเองอย่างจริงจังและตั้งใจ
ปี พ.ศ.2544 ประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมีผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ และมีการประมาณการณ์ว่า ในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, พ.ย.2557) แต่การเตรียมพร้อมในเรื่องนี้ยังน่าเป็นห่วงอยู่ เพราะยังไม่มีความชัดเจนในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว การดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสังคมไทย
ที่ชุมชนสะพานดำเขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็เช่นเดียวกัน ภาพผู้สูงอายุที่นั่งเฝ้าบ้านอย่างโดดเดี่ยวที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ได้จุดประกายให้กลุ่มเยาวชน Happy heart จากโรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ ซึ่งมีสมาชิกประกอบไปด้วย ฮากิม-วินิจ สามัน อาณัติ หลีนายน้ำ ชะห์-ฮารีษะ หะยีอุมา นี-รอฮานี หมัดสะอิ และ รุล-คีรูลวาลีด๊ะ ยูโซะ “อาสา” เข้ามาสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับคนชรา ด้วยคิดว่า ความโดดเดี่ยวในช่วงบั้นปลายชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ไม่ควรถูกมองข้าม จึงคิดทำโครงการมอบความสุขแด่คนชรา โดยมีเป้าหมายคือ สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค สร้างเสริมให้คนชราในชุมชนมีกำลังใจในการใช้ชีวิต หันมาดูแลสุขภาพของตนเอง ทั้งยังคาดหวังว่า สิ่งที่พวกเขาทำจะช่วยกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมาสนใจและใส่ใจผู้สูงอายุในชุมชนมากขึ้น

จากคำถามสู่การลงมือทำ
“ทำไมคนชราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว” คือ คำถามที่ ฮากิม ถามกับตัวเองเมื่อเจอภาพหญิงชรานั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวหน้าบ้าน เมื่อครั้งลงพื้นที่ชุมชนสะพานดำเป็นครั้งแรก เพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้สูงอายุ อาทิ จำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่ ข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว อาหารการกิน ความเป็นอยู่ รวมไปถึงสภาพร่างกายและจิตใจ เป็นต้น
ฮากิมเล่าว่า เหตุผลที่ทีมงานเลือกพื้นที่ชุมชนสะพานดำ เพราะอาณัติหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเป็นคนในชุมชน และชุมชนแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก น่าจะง่ายต่อการประสานงานและเดินทางมาทำโครงการ โดยมีม๊ะหรือแม่ของอาณัติเป็นคนติดต่อ พาเยาวชนเข้าไปทำความรู้จักผู้สูงอายุในชุมชน ทั้งนี้ทีมงานตั้งเป้าหมายลงพื้นที่สำรวจข้อมูลจาก 20 หลังคาเรือน ซึ่งเป็นจำนวนที่ทีมงานคิดว่าสามารถดูแลได้ทั่วถึง และเพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาสำหรับบ้านที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการต่อไป การลงพื้นที่ครั้งแรกนี้จึงเป็นการไปทำความรู้จักกับสภาพพื้นที่และแนะนำตัวทีมงาน ว่าเป็นใครมาจากไหน ทำโครงการอะไร กับชาวบ้าน ยังไม่ได้เน้นการเก็บข้อมูลมากนัก แต่ก็ทำให้ทีมงานเห็นสภาพที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันภาพหญิงชราที่นั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวก็กระทบใจ ให้ทีมงานยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มความมีชีวิตชีวาแก่คนชราในชุมชนแห่งนี้
ฮากิมบอกว่า ข้อมูลที่ทีมงานค้นพบจากการลงพื้นที่ครั้งแรกคือ คนชราในพื้นที่สะพานดำ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแออัด เพราะชุมชนนี้มีพื้นที่ค่อนข้างคับแคบ ในชุมชนแทบจะไม่พบคนวัยกลางคนเลย ส่วนใหญ่จะพบแต่คนชรา ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ร่วมกับหลานๆ ที่อายุน้อย เด็กบางคนยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้จึงเป็นภาระของคนชราต้องดูแล นอกจากนี้ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ยังมีปัญหาในด้านอื่นๆ เช่น การถูกทอดทิ้งจากลูกหลานทำให้เกิดความรู้สึกเหงา น้อยเนื้อต่ำใจ สภาพความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิต ปัญหาความยากจน และปัญหาความเจ็บป่วย เป็นต้น

ร่วมคิด ร่วมวางแผน
หลังลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ทีมงานได้ออกแบบแผนการทำโครงการ 5 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นวางแผน หากลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุ รวมถึงกำหนดแผนการทำงานตลอดทั้งโครงการ
2. หาข้อมูลเกี่ยวกับผู้สูงอายุ โดยไปศึกษาดูงานที่สถานสงเคราะห์คนชรา และจากห้องสมุดโรงเรียน และห้องสมุดในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
3. รวบรวมข้อมูล นำข้อมูลจากการสำรวจขณะลงพื้นที่ และข้อมูลจากการสอบถามเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ฯ มาจัดหมวดหมู่ คัดกรองเนื้อหา เพื่อนำไปใช้ทำสื่อสร้างการเรียนรู้ให้ผู้สูงอายุ
4.ทำสื่อสร้างการเรียนรู้เรื่องการดูแลตัวเองให้ผู้สูงอายุ ใช้ประกอบการอธิบายขณะลงพื้นที่ โดยทีมงานเลือกใช้รูปภาพเป็นสื่อ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และ
5.ประเมินและสรุปโครงการ ด้วยการจัดทำแบบสอบถามและประเมินความสำเร็จของโครงการ
ฮากิมระบุว่า กว่าจะได้แผนการทำงานที่ละเอียดแบบนี้ ทีมงานต้องประชุมพูดคุย เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพรวมของการทำงานตรงกัน พร้อมทั้งแบ่งบทบาทหน้าที่ และกำหนดหัวข้อการเก็บข้อมูลเพื่อให้แต่ละคนมี “แนวทาง” ในการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้น และมีอาจารย์ศุภวัฒน์ เสมาสี อาจารย์ที่ปรึกษาคอยดูแล โดยก่อนเริ่มงานแต่ละขั้นทีมงานจัดให้มีการประชุมร่วมกันเพื่อซักซ้อมความเข้าใจก่อนลงมือทำงานทุกครั้ง

เรียนรู้...เพื่อเข้าใจ
หลังแผนการทำงานชัดเจน ทีมงานพากันไปศึกษาดูงานที่สถานสงเคราะห์คนชราจังหวัดสงขลา เพื่อขอข้อมูลความรู้เรื่องการดูแลผู้สูงอายุ โดยเน้นไปที่อาหารการกิน การดูแลร่างกายและสภาพจิตใจ ซึ่งฮากิมยอมรับว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ไปสถานสงเคราะห์คนชรา ทำให้เขาได้มีโอกาสสังเกตการณ์และรับรู้เรื่องราวชีวิตของผู้สูงอายุที่มารวมตัวกันภายใต้ความหลากหลายของที่มา อารมณ์ ความคิด และสภาพจิตใจ “แม้การศึกษาดูงานที่สถานสงเคราะห์คนชราจะไม่มีการทำกิจกรรมใดๆ แต่ทีมงานก็ได้เรียนรู้ถึงอาหารการกินของคนชราที่จะไม่กระทบกับโรคประจำตัวของแต่ละคน และการปรับตัวในการเข้าไปพูดคุยกับผู้สูงอายุที่แต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน”
“ครั้งแรกที่ไปสถานสงเคราะห์คนชรา เห็นคนแก่ทุกคนดูนิ่ง ๆ เงียบๆ ต่างคนต่างนั่งนิ่ง ๆ เหมือนไม่มีอะไร พอพวกผมจะกลับและร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย สักพักจึงย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อดูปฏิกริยาของคนชรา ปรากฏว่าบางคนก็ทะเลาะกัน บางคนเอะอะโวยวายใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากที่เห็นอย่างสิ้นเชิง สอบถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่าเป็นเรื่องปกติ ต่างคนต่างมาจากหลากหลายที่ ต่างคนต่างไม่ยอมลงรอยกัน เจ้าหน้าที่ต้องทำความเข้าใจพูดคุยกับผู้สูงอายุเพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกันแบบเข้าอกเข้าใจ” อย่างไรก็ตาม การไปศึกษาดูงานที่สถานสงเคราะห์คนชราครั้งนี้ทำให้ทีมงานได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาหารการกินของคนชราที่ทำให้ไม่กระทบกับโรคประจำตัว และฝึกการเข้าไปพูดคุยกับผู้สูงอายุที่แต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน
“พอได้เข้าไปพูดคุยกับผู้สูงอายุก็ทำให้ได้รับรู้ปัญหา เช่น บางคนลูกหลานทิ้ง สามีเสียชีวิต หรือบางคนอยู่คนเดียว ซึ่งวันที่เข้าไปนั่งคุยกับผู้สูงอายุบางคนเขาเหงา พอเราเข้าไปคุยด้วย เขาก็จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ดูสีหน้าเขามีความสุขที่ได้พูดคุยเล่าเรื่องในอดีต”
การได้สัมผัสกับผู้สูงอายุทำให้ทีมงานได้เรียนรู้ว่า การเข้าหาเขาเป็นเรื่องสำคัญ ฮากิมเล่าว่า เรื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่อง “มารยาทการทักทาย” แม้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกของผู้สูงอายุ ซึ่งการทักทายนั้นต้องทักทายให้ถูกต้องตามหลักศาสนาด้วย ผู้สูงอายุที่เป็น “ไทย-พุทธ” การเข้าหาต้องยกมือไหว้ ส่วนผู้สูงอายุที่นับถือศาสนาอิสลามจะต้องกล่าวคำทักทายด้วยการให้ “สลาม” โดยใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะเชื่อว่า “การเข้าไปพูดคุยผู้สูงอายุก็เหมือนการเข้าไปหาผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไป เราเป็นเด็กกว่าต้องมีสัมมาคารวะแล้วเขาจะให้ความเมตตาเอ็นดูเราเอง” ฮากิมเล่าถึงเทคนิคการ “เข้าหา” เพื่อที่จะ “เข้าถึง” หัวใจของผู้สูงวัย
หลังกลับจากศึกษาดูงาน ทีมงานได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาจัดทำสื่อ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์โรคประจำตัวของผู้สูงอายุที่มักจะพบทั่วไปคือ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดัน ทีมงานจึงจัดกลุ่มเนื้อหาที่จะนำเสนอ โดยแบ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคในผู้สูงอายุ การดูแลตัวเองและการหลีกห่างจากโรค การออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งมีข้อปฏิบัติหลายอย่างให้พึงตระหนัก เช่น ควรปรุงอาหารรสชาติอ่อนๆ การเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การขึ้นลงบันได หรือการเข้าห้องน้ำที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยตั้งใจที่จะจัดทำเป็นแฟ้มข้อมูลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุรายคน และมีสื่อสร้างการเรียนรู้ประกอบอยู่ด้วย

ปฏิบัติการคืนความสุขแด่คนชรา
“ผลสรุปจากแบบสอบถามพบว่า ผู้สูงมีการปรับตัวและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น มีบางคนที่เริ่มปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร เช่น งดอาหารทอด อาหารมัน และออกกำลังกายง่ายๆ ตามแบบที่แนะนำไว้ในสื่อ รวมทั้งมีสภาวะจิตใจที่สดชื่น แจ่มใส เบิกบาน หายเหงาจากการที่มีเยาวชนมาให้ความสนใจ ทำให้ผู้สูงอายุหลายๆ คนเริ่มเปิดโลกของตน มีการพูดคุยกับคนรอบข้างมากขึ้น”
เมื่อสื่อพร้อม ทีมงานพร้อม ก็ถึงเวลาของปฏิบัติการคืนความสุขแด่คนชรา โดยครั้งนี้นอกจากจะไปเยี่ยมบ้านแต่ละหลังที่มีคนชราแล้ว ทีมงานยังนำสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลตนเองของผู้สูงอายุไปมอบให้ด้วย ฮากิมบอกว่าทีมงานตั้งใจทำโครงการนี้ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุข ภายใต้วิธีคิดง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างผู้สูงอายุกับเยาวชน การเอาตัวไปคลุกคลีใกล้ชิดเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัย โดยหวังว่าโครงการนี้จะสามารถสร้างรอยยิ้มและกำลังใจ รวมทั้งเป็นการเสริมความรู้ให้คนชราสามารถดูแลตัวเองในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและการรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน
“สื่อที่พวกเราจัดทำขึ้นในรูปแบบแฟ้มประจำตัว โดยแยกย่อยไปแต่ละแฟ้มว่า ข้อมูลนี้เป็นของใคร มีโรคอะไรบ้าง พร้อมข้อควรระวังในการดูแลสุขภาพ เช่น ลดการกินผงชูรส หรือลดการกินขนมหวาน อาหารมัน และการออกกำลังกาย เป็นต้น เนื่องจากในหมู่บ้านตอนเช้าส่วนใหญ่จะมีร้านขายข้าวเหนียวไก่ทอด ปาท่องโก๋ ขนมจีน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนใต้ที่จะกินอาหารพวกนี้ ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องความหวาน และความมันเป็นพิเศษ”
หลังจากมอบสื่อแก่ผู้สูงอายุที่แตกต่างกันตามโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ทีมงานยังติดตามความคืบหน้าโครงการด้วยการเก็บข้อมูลและทำแบบสอบถามลูกหลานที่ดูแล รวมถึงผู้สูงอายุ เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติตัวก่อนและหลังใช้สื่อ ซึ่งผลสรุปจากแบบสอบถามพบว่า ผู้สูงมีการปรับตัวและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น มีบางคนที่เริ่มปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร เช่น งดอาหารทอด อาหารมัน และออกกำลังกายง่ายๆ ตามแบบที่แนะนำไว้ในสื่อ รวมทั้งมีสภาวะจิตใจที่สดชื่น แจ่มใส เบิกบาน หายเหงาจากการที่มีเยาวชนมาให้ความสนใจ ทำให้ผู้สูงอายุหลายๆ คนเริ่มเปิดโลกของตน มีการพูดคุยกับคนรอบข้างมากขึ้น

“ทีมเวิร์ค” ดีกว่า “ฉายเดี่ยว”
เมื่อถามถึงความยากง่ายของการทำโครงการนี้ ฮากิมในฐานะเหรัญญิกที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย และเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของกลุ่ม บอกว่าหน้าที่นี้ไม่ยาก เพราะทุกคนมีวินัยในการเบิกจ่าย พร้อมยอมรับว่า สิ่งที่ยากที่สุดของการทำงานนี้คือ การนำความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในกลุ่มมารวมกันเพื่อสรุปเป็นข้อมูลที่เข้าใจง่ายให้ผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาพื้นฐานการใช้ชีวิตประจำวัน แต่กว่าจะสรุปเพื่อให้ได้เนื้อหาที่ดีที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด ก็มีการถกเถียงโต้แย้งกันในกลุ่มนานพอสมควร
“สิ่งที่ยากที่สุดของการทำงานนี้คือ การนำความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในกลุ่มมารวมกันเพื่อสรุปเป็นข้อมูลที่เข้าใจง่ายให้ผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์”
แต่เมื่อได้ย้อนคิด ฮากิมยืนยันว่า แม้การทำงานเป็นกลุ่มอาจจะมีกระบวนการหรือขั้นตอนที่ต้องกลั่นกรองความคิดและเสร็จช้ากว่าการทำงานคนเดียว แต่เขายังคิดว่าการทำงานแบบกลุ่มดีกว่า เพราะมีการแลกเปลี่ยนความคิดจากเพื่อนๆ ช่วยให้ได้คำตอบที่สามารถตอบโจทย์หรือเป้าหมายโครงการได้ดีกว่า ทั้งยังมีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าการทำงานคนเดียว
“สิ่งที่ต้องปรับตัวตอนทำงานของทีมที่ผ่านมา คือการวางแผนจัดสรรเวลาของแต่ละคนให้ว่างตรงกันเพื่อมาร่วมประชุม และการสรุปงานของแต่ละคนว่าไปถึงไหน ติดขัดอะไรบ้าง เพราะพวกเราเรียนอยู่คนละห้อง บางครั้งใช้เวลาประชุมคุยงานกันในคาบโฮมรูมบ้าง คาบว่างบ้าง ซึ่งผลจากการทำงานในโครงการนี้ทำให้ในกลุ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้น”

สายสัมพันธ์ที่ถูกถักทอ
“อยากเป็นบุรุษพยาบาลครับ” ฮากิมบอกเล่าความฝันถึงอาชีพในอนาคต พร้อมให้เหตุผลว่าเป็นวิชาชีพที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น โดยเริ่มรู้สึกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และการมีจิตอาสาคือการกอบกู้ความสุขให้คนที่กำลังมีความทุกข์กลับมายิ้มอีกครั้ง
แม้การทำงานในโครงการนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับการเรียน แต่ฮากิมบอกว่า ไม่ได้เพิ่มภาระแต่อย่างใด เขาสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กันได้ ขณะเดียวกัน การปรับบทบาทจาก “ผู้รับ” สู่การเป็น “ผู้ให้” ก็เป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ ซึ่งหากมองในมุมกลับกัน นอกจากประสบการณ์การทำงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว เขายังได้รับความสุขทางใจกลับมา และความสุขที่ว่าคงหาได้ไม่ง่ายนัก หากไม่ได้ทำลงมือทำด้วยตัวเองอย่างจริงจังและตั้งใจ
ขณะที่นีบอกว่า เดิมเธอเป็นคนไม่ค่อยพูด ยิ้มอย่างเดียว คอยเขียนบอร์ดตามคำสั่งของเพื่อนเท่านั้น เวลาจะแสดงความคิดเห็นต้องให้เพื่อนพูดก่อน แต่พอได้เข้าไปทำกิจกรรมในชุมชนบ่อย ๆ จึงเริ่มพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ชวนผู้สูงอายุคุยและนำการดูแลสุขภาพได้อย่างไม่เขินอาย มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ส่วนทีมงานคนอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ เรื่องการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งช่วงแรกจะแย่งกันพูด ถกเถียงกัน งอนกันบ้างก็มี แต่ตอนหลังเริ่มมีการสอบถามเพื่อนในกลุ่มว่าเห็นด้วยหรือไม่ การพูดคุยก็สนุกสนาน ลดการถกเถียงลง แต่ที่สำคัญคือทุกคนมีความกระตือรือร้นและทำงานตามแผนที่วางไว้ได้ดี
สำหรับความเปลี่ยนแปลงในชุมชนนั้น การทำงานของทีมงานทำให้ลูกหลานคนในชุมชนเริ่มหันมาดูแลใส่ใจสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุในบ้านของตนเองมากขึ้น ความรัก ความใส่ใจที่ได้รับ จึงเปรียบเสมือนยาใจที่ทำให้ให้ผู้สูงอายุหลายคนมีชีวิตมีชีวามากขึ้น อาการเงียบเหงาและเหม่อลอยถูกแทนที่ด้วยเสียงไถ่ถามพูดคุยของคนวัยลูกวัยหลาน คนข้างบ้าน คนข้างเคียง ในขณะเดียวกันคนรุ่นหลังก็ได้สัมผัสถึงสายสัมพันธ์ระหว่างวัยที่อบอุ่นซึ่งถูกถักทอผ่านความใส่ใจกันและกันในครอบครัว
จากคำถามเริ่มต้นที่ว่า “ทำไมคนชราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว” ได้นำพาให้ทีมงานพากันค้นหาคำตอบผ่านการลงมือทำ สิ่งที่พวกเขาคิดทำนั้นช่วยสร้างรอยยิ้ม สร้างกำลังใจ สร้างความสุขให้คนชรา และความสุขนั้นได้ย้อนคืนกลับสู่ทีมงาน จนทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจและคิด “สานต่อ” สิ่งดี ๆ เหล่านี้ ด้วยการส่งมอบโครงการคืนความสุขแด่คนชราสู่เยาวชนรุ่นน้องในโรงเรียนทั้งหมด 20 คน คละอายุ คละชั้นทั้งมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ให้ช่วยสานต่อปณิธานของรุ่นพี่ที่ต้องการสร้างรอยยิ้มให้ผู้สูงวัยต่อไป

โครงการคืนความสุขแด่คนชรา
ที่ปรึกษาโครงการ : ศุภวัฒน์ เสมาสี
ทีมทำงาน : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ
( วินิจ สามัน ) ( อาณัติ หลีนายน้ำ ) ( รอฮานี หมัดสะอิ ) ( ฮารีษะ หะยีอุมา )
( คีรูลวาลีด๊ะ ยูโซะ )