การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อสร้างจิตสำนึกเรื่องการรักษาความสะอาดห้องสุขาในโรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ จังหวัดสงขลา

สุขา...สุขใจ

โครงการสุขาสุขใจ

“ตอนที่คิดจะทำโครงการนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะเสียการเรียนไหม แต่คิดว่าน่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสีย แม้ต้องเสียเวลาบางคาบเรียนไป ต้องกลับมาตามงานจากเพื่อน แต่สิ่งที่ได้มันคุ้มค่ามาก...”

เพราะเคยทำโครงการรักษ์น้ำ ลดไฟ ใส่ใจหอพัก เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างจิตสำนึกในการประหยัดน้ำประหยัดไฟในหอพักจนเห็นผล ทำให้ค่าน้ำค่าไฟฟ้าในหอพักลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเห็นปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ โรงเรียนประจำที่พวกเธออาศัยเรียน นอน และปัญหานั้นส่งผลต่อความเป็นอยู่ของทุกคน จึงไม่อาจดูดาย ห้องสุขาในโรงเรียนที่ไม่สะอาด และส่งกลิ่นเหม็นจึงเป็นโจทย์ปัญหาของการทำโครงการในครั้งนี้

“โรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองของเรา...เราอยู่บ้านเรา เราต้องทำความสะอาด เมื่อมาอยู่โรงเรียนเราก็ต้องทำความสะอาดด้วยเหมือนกัน...” 

­

เพราะโรงเรียนคือบ้านหลังที่ 2

มาร์กี้-อัสมา ปานงาม และ ด้า-ฟารีกา ขะเดหรี เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อน ๆ คือ ฮัชนา-อิสริยา มรรคาเขตต์ แน-ฮุสณี ลารง และ ฟาด้า-ฟารีด้าห์ เบ๊ญโล๊ะ ร่วมกันทำโครงการสุขาสุขใจ โดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงเรื่องความสะอาดของห้องสุขาและสร้างจิตสำนึกในการใช้สิ่งของสาธารณะให้แก่ทุกคนในโรงเรียน เพราะคิดว่าถ้าไม่มีใครลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหานั้นก็ยังจะคงอยู่และส่งผลกระทบต่อทุกคนต่อไป อีกทั้งทีมงานทุกคนตระหนักว่า ตนเองเป็นรุ่นพี่มัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่อาวุโสสูงสุดแล้ว ก็อยากทำอะไรดี ๆ ให้กับโรงเรียนและน้อง ๆ

“โรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองของเรา ซึ่งบ้านหลังนี้มีสมาชิกอาศัยอยู่ร่วมกันกว่า 2,200 คน เราอยู่บ้านเรา เราต้องทำความสะอาด เมื่อมาอยู่โรงเรียนเราก็ต้องทำความสะอาดด้วยเหมือนกัน บางครั้งเราอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้านเสียอีก สิ่งที่อยากเห็นคือ ห้องน้ำสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น เวลาเดินลงบันได ก็ไม่อยากได้กลิ่นฉี่ แล้วโรงเรียนเรามีครูพิเศษเยอะ เวลาเขาเข้าห้องน้ำ ก็ไม่อยากให้เขามองห้องน้ำของโรงเรียนเราในแง่ลบ อยากให้ภาพลักษณ์ของโรงเรียนดีขึ้น แล้วมันส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ถ้าเราได้กลิ่นเหม็นทุกวัน มันก็ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เราไม่อยากเข้าห้องน้ำ บางครั้งก็ต้องอั้นปัสสาวะ ซึ่งก็ส่งผลต่อสุขภาพกายตามมาอีก” มาร์กี้ร่ายยาวถึงเป้าหมาย และผลกระทบหากห้องสุขาสกปรก

แม้จะเห็นปัญหาชัดเจน แต่ทีมงานก็ยังลังเลใจ ด้วยตระหนักว่า การขอทุนจากแหล่งทุนภายนอกมาเพื่อแก้ไขปัญหาภายในโรงเรียนเปรียบเหมือนการนำเงินคนอื่นมาซ่อมบ้านตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนต้องลงทุนซ่อมแซมบ้านของตัวเองให้แข็งแรง สะอาด ปลอดภัย ทีมงานหารือกับคุณครูที่ปรึกษาถึงความเหมาะสม จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า โรงเรียนก็เป็นเสมือนชุมชน ๆ หนึ่ง นักเรียนแต่ละคนก็เป็นสมาชิกในชุมชนนี้ การขอทุนมาแก้ปัญหาก็เพื่อประโยชน์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้

เมื่อเข้าใจดังนั้น ทีมงานจึงเริ่มต้นทำโครงการอย่างตั้งใจ มาร์กี้และด้าเคยทำโครงการรักษ์น้ำ ลดไฟ ใส่ใจหอพัก ขณะที่ฮัซนาเคยทำโครงการสวยใสสไตล์มุสลิมะห์มาก่อน ทั้งสามคนพอมีประสบการณ์ในการทำโครงการบ้าง จึงแบ่งบทบาทให้ฮัชนาที่พูดเก่งเป็นหัวหน้าโครงการ ฟาด้าเป็นรองหัวหน้าโครงการ มาร์กี้เป็นเหรัญญิก ส่วนเพื่อนที่เหลือเป็นกรรมการ แต่ทุกคนบอกว่า เวลาทำงานต่างช่วยกันทำทุกเรื่อง ทั้งเสนอความคิดเห็น ตลอดจนลงมือทำ


ค้นหาเหตุแห่งปัญหา

หลังแบ่งบทบาทหน้าที่เรียบร้อยแล้ว ทีมงานเริ่มกิจกรรมแรกด้วยการสำรวจห้องสุขาในโรงเรียน โดยกำหนดพื้นที่ดำเนินการคือ อาคารเรียนของชั้นมัธยมศึกษาซึ่งมี 3 ชั้น บริเวณบันได 2 ฝั่งของอาคารจะมีห้องสุขาชายหญิงชั้นละ 5 ห้อง ทีมงานคาดว่า ปัญหาใหญ่ ๆ น่าจะเป็นเรื่องกลิ่นเหม็นและความสกปรก แต่เมื่อได้ลงมือสำรวจด้วยตนเองจึงค้นพบว่า ปัญหามีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

การแก้ไขปัญหาทำได้ไม่ยาก แต่หากจะให้ยั่งยืนต้องสร้างพฤติกรรมการใช้ห้องสุขาที่ถูกต้อง แม้ว่าการดูแลความสะอาดเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน แต่ปริมาณผู้ใช้ห้องสุขาจำนวนมาก หากแต่ละคนไม่ช่วยกันดูแล การรักษาความสะอาดจะเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ศาสนาอิสลามสอนว่า ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา ดังนั้นความสะอาดของสถานที่ที่ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ” 

ห้องสุขาที่มีรวมกัน 30 ห้อง แบ่งเป็นสุขาชายหญิงอย่างละครึ่ง แต่สามารถใช้งานได้จริงเพียง 20 ห้อง รองรับการใช้งานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ที่มีอยู่ 1,000 คน ปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือ เพดานชำรุด กลอนเสีย ขาดถังน้ำและขันน้ำ อ่างล้างมืออุดตัน ก๊อกน้ำชำรุด ไฟไม่ติด กระจกแตก และปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ห้องสุขาที่พบคือ ใช้งานแล้วไม่ทำความสะอาด การทิ้งขยะเรี่ยราด ฯลฯ  เมื่อเห็นปัญหา ทีมงานเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในส่วนที่แก้ไขเองได้ก่อน เช่น ซื้ออุปกรณ์ถังน้ำ ขันน้ำเพิ่มเติมสำหรับห้องที่ขาด ซื้อหลอดไฟ กลอน มาขอให้นักการภารโรงช่วยซ่อมแซม ส่วนก๊อกน้ำที่ชำรุด อ่างล้างมืออุดตัน กระจกและเพดานที่เสียหาย ทีมได้จดบันทึกรายละเอียดแจ้งให้กับฝ่ายอาคารสถานที่ของโรงเรียนให้ซ่อมแซมต่อไป

ทีมงานบอกว่า การแก้ไขปัญหาทำได้ไม่ยาก แต่หากจะให้ยั่งยืนต้องสร้างพฤติกรรมการใช้ห้องสุขาที่ถูกต้อง แม้ว่าการดูแลความสะอาดเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน แต่ปริมาณผู้ใช้ห้องสุขาจำนวนมาก หากแต่ละคนไม่ช่วยกันดูแล การรักษาความสะอาดจะเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ศาสนาอิสลามสอนว่า ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา ดังนั้นความสะอาดของสถานที่ที่ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ “ถ้านายิด (สิ่งสกปรก) ไม่ออกจากตัวเรา ทำให้การละหมาดของเราไม่สมบูรณ์ แต่เขามองข้ามตรงนี้ไปเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้สนใจ” ด้าเล่า


หา “จิตอาสา” ร่วมทาง

เมื่อเห็นขนาดของปัญหาที่ดูท่าว่าจะใหญ่เกินตัว ทีมงานพยายามหาแนวร่วมในการขับเคลื่อนงาน โดยมีกลยุทธ์ในการเชิญชวนคือ ใช้เกียรติบัตรเป็นตัวล่อ แต่ก็หายาก เพราะทุกคนในโรงเรียนต่างรับรู้ถึงความสกปรกอย่างมากของห้องสุขา “ไม่มีน้องคนไหนอยากมาทำ บางคนโดนเพื่อนถีบออกมา หากเทียบกับเพื่อนโครงการที่พึ่งของผู้ศรัทธา ที่ทำในโรงเรียนเหมือนกัน โครงการของเราจะหาอาสาสมัครได้ยากกว่า เพราะมันสกปรกมาก แต่ก็มีเพื่อนบางคนที่ทำโครงการที่พึ่งของผู้ศรัทธาอาสามาช่วย แต่เราไม่เอา ไม่อยากให้การทำโครงการซ้ำซ้อนกัน พวกเราเลยไปประชาสัมพันธ์ขออาสาสมัคร ห้องละ 2 คน” มาร์กี้เล่า

“เมื่อน้องๆ สะท้อนว่า ทำไมต้องเก็บในเมื่อเขาไม่ได้ทิ้ง คำตอบที่ได้รับสร้างความรู้สึกโกรธ แต่ทีมงานเลือกที่จะยับยั้งความเดือดดาลที่ก่อตัวในจิตใจ เลือกใช้ไม้อ่อนในการทำความเข้าใจกับน้อง ๆ” 

ทีมงานเล่าว่า การประชาสัมพันธ์เพื่อหาอาสาสมัครเข้าร่วมนั้น พวกเขาใช้วิธีสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความสะอาดห้องสุขา เป็นกระบวนการและรูปแบบกิจกรรมที่พี่ ๆ สงขลาฟอรั่มเคยจัดเพื่อเสริมศักยภาพของน้อง ๆ เยาวชน เช่น การให้น้อง ๆ แสดงความคิดเห็นผ่านภาพวาดห้องน้ำในฝัน การระดมความคิดถึงสาเหตุที่ห้องสุขาสกปรกและหาแนวทางแก้ไข เป็นต้น

ด้าเล่าต่อว่า เมื่อได้ภาพวาดห้องน้ำในฝันแล้ว ทีมงานจึงนำภาพดังกล่าวมาช่วยกันดูกับน้อง ๆ แกนนำอาสาสมัครจากแต่ละห้อง ว่ามีข้อเสนอแบบใดที่โครงการสามารถนำไปปรับใช้ได้ และข้อเสนอแบบใดที่ไม่สามารถทำได้ 

สำหรับบทบาทของน้อง ๆ แกนนำที่ทีมงานขอความร่วมมือคือ เวรสำรวจความสะอาดของห้องสุขา โดยคาดหวังว่า ถ้าน้องพบขยะในห้องสุขาคงจะช่วยกันเก็บกวาดบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับเมื่อน้องๆ สะท้อนว่า ทำไมต้องเก็บในเมื่อเขาไม่ได้ทิ้ง คำตอบที่ได้รับสร้างความรู้สึกโกรธ แต่ทีมงานเลือกที่จะยับยั้งความเดือดดาลที่ก่อตัวในจิตใจ เลือกใช้ไม้อ่อนในการทำความเข้าใจกับน้อง ๆ  “ความรู้สึกแรกที่ได้ยินคิดจะด่ากลับไป แต่ที่ยับยั้งชั่งใจไม่ด่าน้องเวลาถูกก่อกวนแบบนี้ เพราะคิดว่ายิ่งด่าน้องก็ยิ่งเกลียด สู้เราอบรมให้ความรู้เขาดีกว่า บอกด้วยเหตุผล ว่าที่พี่มาทำให้เพราะพี่เห็นปัญหา อยากให้น้องช่วย อยากให้น้องเห็นใจกันบ้าง เอาใจเขามาใส่ใจเรา” มาร์กี้สารภาพความรู้สึก


อาสาสู้งานสกปรก

ทีมงานร่วมกับเพื่อน ๆ ที่ทำโครงการที่พึ่งของผู้ศรัทธา ทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ทำความสะอาดห้องสุขา พร้อมนัดทีมงานทั้งหมดร่วมกันพัฒนาห้องสุขา ทำความสะอาดห้องสุขาทั้งหมด เพราะรู้ว่าเป็นงานที่คนรังเกียจ ถึงชวนน้อง ๆ ก็คงไม่มีใครมาช่วย

“แต่มีน้องมาช่วยเหมือนกัน เราก็ให้น้องช่วยขนของ พวกเราช่วยกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ปลูกต้นไม้ ขัดห้องน้ำด้วยน้ำหมัก พอปรับปรุงห้องน้ำเสร็จเราแบ่งเวรให้น้องช่วยดูแล โดยจะมีการประเมินการทำงานและให้คะแนน เช่น ความสะอาดโดยรวม และบอกว่าต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง” มาร์กี้เล่า บทเรียนที่ได้สัมผัสงานที่สกปรกที่สุดงานหนึ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแม่บ้านของโรงเรียน “เห็นใจแม่บ้านเพราะเขาต้องทำคนเดียว พวกเราช่วยกันทำ 5 คน ยังเหนื่อยขนาดนี้ เขาคนเดียวทำตั้ง 3 ชั้น เหนื่อยกว่าเราแน่ ๆ” ด้าสะท้อน

“...การที่เราดูแลห้องน้ำ เรารักษาความสะอาด ไม่ใช่รักษาแค่ในโรงเรียน เวลาไปใช้ห้องน้ำที่อื่นเราก็ต้องดูแลรักษาแบบนี้ด้วย...”

ห้องสุขาสะอาดวาววับ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำหมักชีวภาพ และอุปกรณ์จำเป็นที่ครบครัน ส่วนใดที่ยังต้องรอการซ่อมบำรุงจากทางโรงเรียนก็ถูกปรับการใช้ประโยชน์ เช่น อ่างล้างมือที่ท่ออุดตัน ถูกปรับให้เป็นกระถางต้นไม้เพิ่มความสวยงามให้แก่ห้องสุขา แม้จะมีเวรตรวจตราความสะอาดเป็นประจำทุกวัน แต่ก็มีเรื่องให้ทีมงานได้ทดสอบความอดทนและความเสียสละอยู่เนืองๆ เช่น ต้นไม้ที่ปลูกไว้ถูกถอนทิ้ง อ่างล้างมือเกิดการอุดตัน มีคนทิ้งผ้าอนามัยอย่างไม่เหมาะสม ฯลฯ

ความคิดแรกที่จู่โจมเมื่อประสบกับการก่อกวนก็คือ โมโห อยากจะด่าว่าคนที่ทำ แต่ก็คิดได้อีกว่า คงไม่มีประโยชน์ ทีมงานเลือกที่จะปรึกษาคุณครูและขอให้คุณครูช่วยประชาสัมพันธ์หน้าเสาธง ขอให้นักเรียนช่วยกันรักษาความสะอาด โดยยกย่องว่า พี่ ๆ ในโครงการสุขาสุขใจได้เสียสละปรับปรุงห้องสุขาให้สะอาดน่าใช้แล้ว ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลรักษา ทำความสะอาดหลังใช้งานทุกครั้ง

“อารมณ์ปรี๊ดมาก นั่งปรับทุกข์กับเพื่อน ๆ แต่พอเวลาผ่านไป อารมณ์ก็เริ่มเย็นลง ใบประกาศที่ตั้งใจจะเอาไปติดเพื่อต่อว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนที่เคยร่างไว้ก็ลืมไปเลย บอกกับน้องแกนนำว่า การที่เราดูแลห้องน้ำ เรารักษาความสะอาด ไม่ใช่รักษาแค่ในโรงเรียน เวลาไปใช้ห้องน้ำที่อื่นเราก็ต้องดูแลรักษาแบบนี้ด้วย สมมุติว่าเราเข้าห้องน้ำแล้วไม่ทำความสะอาด แล้วมีคนมาใช้งานต่อจากเรา เขาก็อาจมองได้ว่า เด็กคนนี้พ่อแม่สอนมาอย่างไร หรือบางคนอาจจะสะท้อนมาถึงศาสนาของเราด้วย มันก็จะเสียไปเลย ” ด้าเล่า

เพราะได้ลงมือลงแรงกายใจไปกับการปรับปรุงห้องสุขาจนน่าใช้ ทำให้ทีมงานเกิดอาการอินกับความสะอาด หลายครั้งที่เข้าไปใช้งานแล้วพบว่าห้องสุขาไม่สะอาด หรืออยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม ก็มักจะลงมือทำความสะอาดด้วยตนเอง อีกทั้งยังคิดหาวิธีปรับปรุงให้ห้องสุขาน่าใช้ยิ่งขึ้น เช่น การหาคำคม ตารางธาตุ ตาราง tense ภาษาอังกฤษมาติด เพื่อผู้ใช้ห้องน้ำจะได้ความรู้ไปด้วยพร้อมกัน “บางวันแม่บ้านไม่มาเราเห็นพื้นห้องน้ำไม่สะอาด เราก็หาน้ำราด เพื่อนก็จะถามว่า จะมาเข้าห้องน้ำหรือมาเป็นแม่บ้าน เราเป็นคนเลือกทำเรื่องนี้เอง เป็นคนคิด เป็นคนลงมือ ก็ไม่อาย เราอาสาทำเอง” ด้าเล่า 

มาร์กี้เล่าเสริมว่า เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่งก็ประเมินได้ว่าความยั่งยืนเรื่องความสะอาดของห้องน้ำเป็นเรื่องที่ยากกว่าตอนทำโครงการปีที่แล้ว เพราะถ้าค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าที่หอพักเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายของนักเรียน แต่สำหรับห้องสุขาซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ มีคนใช้งานหลายคน ทำให้ละเลยที่จะดูแลของส่วนรวมเพราะคิดว่ามีแม่บ้านคอยดูแลอยู่แล้ว

รียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง

การเรียนรู้จากการลงมือทำ ด้วยความทุ่มเท กลายเป็นการ “สร้างสำนึก” เสียสละความสุขสบายส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทีมงานสะท้อนว่า ปัญหาแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตได้ เฉกเช่นห้องสุขาในยามที่ไม่ต้องการใช้ ไม่มีใครจะสนใจ แต่เมื่อต้องการใช้งานขึ้นมาแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับทุกคน

การจัดการอารมณ์ระหว่างการทำงาน เป็นแบบฝึกหัดชั้นดีที่ทำให้ได้เรียนรู้การใช้เหตุผลมากขึ้น ว่าจะทำอะไรก็ต้องคิดใคร่ครวญถึงข้อดีข้อเสียก่อนลงมือ เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้ทีมงานจัดการชีวิตตนเองได้ดีขึ้น แม้ว่าชีวิตนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ต้องเรียนหนัก และเป็นรุ่นพี่ที่ต้องนำน้อง ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน แต่เมื่อได้ทำโครงการซึ่งเป็นภาระที่เพิ่มมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ แล้วสามารถจัดการเวลา จัดการงานต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดความพร้อมที่จะก้าวออกไปสู่โลกกว้างอย่างมั่นใจ

“ตอนที่คิดจะทำโครงการนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะเสียการเรียนไหม แต่คิดว่าน่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสีย แม้ต้องเสียเวลาบางคาบเรียนไป ต้องกลับมาตามงานจากเพื่อน แต่สิ่งที่ได้มันคุ้มค่ามาก โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเวลา เพราะพี่ ม. 6 ต้องอ่านหนังสือ ทำกิจกรรม คุมกิจกรรมทุกอย่างให้รุ่นน้อง ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นก็จะสบาย คนอื่นที่เขามีภาระมากกว่าเราเขายังผ่านมาได้ บางคนเขาต้องไปทำงานตอนกลางคืนเพื่อส่งตัวเองเรียน เขายังแบ่งเวลาได้ เลยลองทำดู ซึ่งเราก็ทำได้” มาร์กี้สะท้อนบทเรียนการจัดการชีวิต

“ประสบการณ์ที่พี่ๆ สงขลาฟอรั่มจัดเวทีให้นำเสนอเรื่องราวการทำงาน เป็นเวทีฝึกฝนความกล้าแสดงออกที่ทีมงานทุกคนต่างยอมรับว่า มีผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างมาก การทำงานที่ทำให้ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนต่างวัย ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ทำให้ได้ฝึกทักษะการเข้าหาคน เวทีเรียนรู้ที่ได้ไปพบกับเพื่อนต่างโครงการ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ชั้นดี เพราะการได้เห็นเพื่อนกลุ่มที่ทำงานเก่ง ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานของกลุ่มตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการพัฒนาทักษะการทำงาน ทักษะชีวิต ที่จะติดตัวต่อไป”

ทักษะการทำงานเป็นทีมคือ สิ่งที่เพิ่มพูนหลังผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน “เพราะในทีม ถ้าเอาแต่ความคิดตนเอง งานก็คงไปไม่รอด ไม่มีการพัฒนา เราจึงต้องฟังความคิดเห็นของทุกคนในทีม ไม่เอาความคิดของเราเป็นหลัก ที่สำคัญคือต้องมีความสามัคคี ไม่งั้นงานก็ไม่สำเร็จ” ด้าเล่ามาร์กี้ที่เกือบจะเป็นลมเมื่อครั้งต้องจับไมโครโฟนเล่าเรื่องการทำงานของโครงการครั้งแรก บอกว่า ประสบการณ์ที่พี่ๆ สงขลาฟอรั่มจัดเวทีให้นำเสนอเรื่องราวการทำงาน เป็นเวทีฝึกฝนความกล้าแสดงออกที่ทีมงานทุกคนต่างยอมรับว่า มีผลต่อการพัฒนาตนเองอย่างมาก การทำงานที่ทำให้ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนต่างวัย ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ทำให้ได้ฝึกทักษะการเข้าหาคน เวทีเรียนรู้ที่ได้ไปพบกับเพื่อนต่างโครงการ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ชั้นดี เพราะการได้เห็นเพื่อนกลุ่มที่ทำงานเก่ง ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานของกลุ่มตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการพัฒนาทักษะการทำงาน ทักษะชีวิต ที่จะติดตัวต่อไป


หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อตนเองและสังคม

คุณอารีเฟน อับดุลกาเดร์ ที่ปรึกษาสงขลาฟอรั่ม สะท้อนว่า โครงการนี้มีความคล้ายกับโครงการที่พึ่งของผู้ศรัทธา คือใช้หลักเรื่องของความสะอาด ซึ่งนอกจากการทำความสะอาดและปรับปรุงห้องน้ำแล้ว ยังให้ความรู้เรื่องการใช้ห้องน้ำที่ถูกสุขวิธีเพื่อชักจูงให้คนให้ความร่วมมือมากขึ้น เป็นเรื่องที่เหมือนจะง่ายแต่ยาก เพราะเป็นความเคยชินของคน ที่เห็นปัญหาอยู่ก็ไม่แก้ไข

 “ในมิติของศาสนา การมีจิตอาสา การทำงานเพื่อส่วนรวมก็มีการกล่าวถึง เพราะหน้าที่ของมุสลิมมี 2 อย่าง คือ หน้าที่ที่ต้องทำเอง เราต้องทำเอง เช่น การละหมาด การถือศีลอด และหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อสังคม เช่น ถ้ามีคนตายในหมู่บ้านเราต้องไปช่วย ดูดายไม่ได้ ถ้าเราดูดายเท่ากับการรับบาปทางสังคมไปด้วย หน้าที่ 2 อย่างถ้าเราทำควบคู่กันไป นั่นคือหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อตนเองด้วยตนเอง และหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อสังคม เป็นเรื่องที่ควรนำไปสู่การปฏิบัติให้มากขึ้น มันมีหลักการทางศาสนาอยู่ แต่การนำไปสู่การปฏิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญซึ่งโครงการของเด็ก ๆ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำหน้าที่ต่อสังคม” คุณอารีเฟนกล่าวทิ้งท้าย

เพราะใส่ใจความเป็นไปของสังคมที่ตนเองอาศัย ไม่ปล่อยเรื่องเล็กที่เป็นปัญหาเรื้อรังให้คงอยู่ การเข้ามาปรับปรุง ทำความสะอาดห้องสุขาของโรงเรียน เป็นเสมือนการขัดเกลาจิตใจของทีมงาน ที่นำหลักคิดทางศาสนาเรื่อง ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธามาเป็นแนวในการปฏิบัติ อีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักปฏิบัติในฐานะมุสลิมที่ดี ที่ต้องมีหน้าที่ต่อสังคม การเรียนรู้ในทางโลกเรื่องความสุขอนามัย จึงสอดประสานกับหลักการทางศาสนา ซึ่งเป็นผลที่ทำให้เกิดการเติบโตของจิตวิญญาณมุสลิมที่ดีภายในตัวตนของทีมงานทุกคน


ที่ปรึกษาโครงการ : คุณครูสุกัญญา บินหมัน โรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ

ทีมทำงาน : นักเรียนชั่นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนส่งเสริมศาสนาวิทยามูลนิธิ

( อัสมา ปานงาม ) ( ฟารีดา ขะเดหรี ) ( อิสริยา มรรคาเขตต์ ) ( ฮุสณี ลารง ) ( ฟารีด้าห์ เบ๊ญโล๊ะ )

­