บุหรี่คือ ฮะรอม
โครงการสานพลังต่อต้านบุหรี่
“ฐานคิด” ที่เป็นหลักยึดที่ทำให้ทีมงานตั้งใจทำโครงการคือ “สำนึก” ที่คิดอยากตอบแทนชุมชน อยากตอบแทนสังคม เพราะตระหนักว่า กว่าจะเติบโตเป็นตัวเป็นตนถึงวันนี้ คนอื่น ๆ ในสังคมแม้ไม่ได้เลี้ยงดูมาโดยตรง แต่คนในสังคมมีส่วนดูแลทางอ้อม โดยการขัดเกลา หรือเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต ให้ได้เรียนรู้แบบอย่างทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี
ฟะห์-ซารีฟะห์ นิหลง อะห์-ซอรียะห์ อาแวกะจิ มะหล่อ-มูอำหมัด มามะ มะเท่ห์-มูฮำหมัด กะอาบู และนาวี สาม่าน และเพื่อน ๆ บันฑิตจากคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเขตปัตตานี อีก 10 คน ล้วนถูกกล่อมเกลาให้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 และได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกหลายครั้ง จนพบว่าพวกเขาทำงานเข้าขากันได้อย่างดียิ่ง
คือโอกาสพัฒนาชุมชนถิ่นเกิด
เมื่อทราบข่าวจากรุ่นพี่บัณฑิตอาสาว่าโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลาเปิดรับสมัครเยาวชนที่สนใจทำโครงการเพื่อชุมชนพวกเขาจึงสนใจ เห็นว่าท้าทายเพราะต้องไปทำงานเพื่อชุมชน เมื่อตกลงกันว่าจะทำโครงการสมาชิกแต่ละคนต่างเสนอชุมชนบ้านเกิดของตนเอง เพราะเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการพัฒนาชุมชนถิ่นเกิด แต่เมื่อคิดทบทวนถึงเงื่อนไขที่ทำให้ทำงานได้สำเร็จ จึงตกลงกัน กำหนดเกณฑ์ในการเลือกชุมชนคือ สะดวกในการเดินทางคืออยู่ใกล้มหาวิทยาลัย และต้องมีเพื่อนในกลุ่มเป็นคนในชุมชนเพื่อให้สะดวกต่อการประสานงานกับคนในพื้นที่ สุดท้ายบ้านตะโละโบะ ซึ่งเป็นบ้านของอะห์และมะห์เท่ เข้าเกณฑ์ดังว่า จึงเห็นตรงกันเลือกที่นี่เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของโครงการ
“เมื่อวิเคราะห์ศักยภาพของทีมงานก็พบว่า หากทำเรื่องแก้ปัญหายาเสพติดอาจจะเกินความสามารถที่มีอยู่ เพราะเป็นประเด็นที่ใหญ่ ซับซ้อน และสุ่มเสี่ยง ทีมงานจึงเลือกวิธีสร้างการเรียนรู้เพื่อป้องกันแทน... ด้วยเชื่อว่าหากเริ่มป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนสูบบุหรี่ ปัญหายาเสพติดก็จะลดลงตามไปด้วย”
การหาประเด็นทำโครงการคือเรื่องต่อมาที่ต้องร่วมกันคิด เพื่อน ๆ ในทีมให้สิทธิ์คนในพื้นที่เสนอเรื่องราวที่อยากทำ ซึ่งทั้งคู่เห็นตรงกันว่าปัญหายาเสพติดกำลังระบาดในชุมชนมากขึ้น และนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ลักเล็กขโมยน้อย ปัญหาสุขภาพ แหล่งมั่วสุมของเยาวชน ความสูญเสียของครอบครัว สถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจค้นในหมู่บ้าน และจับเยาวชนที่ค้ายาเสพติด
ระหว่างการค้นหาประเด็นอยู่นั้น ทีมงานได้สืบสาวไปถึงต้นตอของปัญหายาเสพติดในชุมชนก็พบว่า ส่วนใหญ่คนที่เสพยาเริ่มต้นจากการสูบบุหรี่ ทั้งยังมีแนวโน้มเกิดนักสูบหน้าใหม่ที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ ประกอบกับเมื่อวิเคราะห์ศักยภาพของทีมงานก็พบว่า หากทำเรื่องแก้ปัญหายาเสพติดอาจจะเกินความสามารถที่มีอยู่ เพราะเป็นประเด็นที่ใหญ่ ซับซ้อน และสุ่มเสี่ยง ทีมงานจึงเลือกวิธีสร้างการเรียนรู้เพื่อป้องกันแทน จึงเลือกทำ “โครงการสานพลังต่อต้านบุหรี่” ด้วยเชื่อว่าหากเริ่มป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนสูบบุหรี่ ปัญหายาเสพติดก็จะลดลงตามไปด้วย
เมื่อประเด็นการทำงานและพื้นที่ลงตัว ทีมงานจึงแบ่งบทบาทหน้าที่ มะเท่ห์รับหน้าที่เขียนโครงการ มีฟะห์เป็นผู้ช่วยด้านเอกสาร นาวีรับผิดชอบเรื่องสื่อต่าง ๆ มะห์หล่อดูแลเรื่องพิธีการ สันทนาการ ส่วนอะห์รับหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
ซึ่ง “ฐานคิด” ที่เป็นหลักยึด ที่ทำให้ทีมงานตั้งใจทำโครงการคือ “สำนึก” ที่คิดอยากตอบแทนชุมชน อยากตอบแทนสังคม เพราะตระหนักว่า กว่าจะเติบเป็นตัวเป็นตนถึงวันนี้ คนอื่น ๆ ในสังคมแม้ไม่ได้เลี้ยงดูมาโดยตรง แต่คนในสังคมมีส่วนดูแลทางอ้อม โดยการขัดเกลา หรือเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต ให้ได้เรียนรู้แบบอย่างทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี อีกทั้งแรงบันดาลใจที่เมื่อพวกเขายังเด็ก มักมีพี่ ๆ จากต่างถิ่นเข้ามาจัดกิจกรรมในชุมชน เมื่อมีโอกาสจึงอยากเป็นผู้ให้บ้าง แม้สิ่งที่ทำจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมได้ทั้งหมด อย่างน้อยการทำให้เด็กเพียงหนึ่งคนเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะไปเป็นตัวต่อที่ทำหน้าที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อๆ ไปได้

สร้างความไว้ใจกับชุมชน
หลังตัดสินใจทำงานเพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ทีมงานเริ่มหาข้อมูลเพื่อใช้ในการทำงาน โดยมีแหล่งข้อมูลสำคัญคือ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ซึ่งให้ข้อมูลจากงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ว่า ปัจจุบันนักสูบหน้าใหม่อายุน้อยลง เดิมเริ่มสูบที่อายุ 18 ปี ขยับเป็นอายุ 15 ปี 13 ปี และล่าสุด 9 ปี และที่น่ากลัวคือมีแนวโน้มว่าผู้หญิงสูบบุหรี่มากขึ้น ดังนั้น การจะป้องกันนักสูบหน้าใหม่จึงควรเริ่มต้นสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จากข้อมูลที่พบทีมงานจึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการทำงานคือ กลุ่มเด็กที่เรียนระดับประถมศึกษา ที่ยังไม่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่
แต่การจะทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใช่จะทำได้ง่าย ๆ เพราะภายใต้สถานการณ์ความรุนแรงที่เป็นข้อจำกัด ทัศนคติของคนในพื้นที่ที่อาจจะมองว่าพวกเขารับทุนจากภายนอกมาขับเคลื่อนให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ การลงพื้นที่ในช่วงแรก ๆ จึงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่า เราไม่ใช่คนมาสอดแนม หรือคนร้าย แต่จะเข้ามาจัดกิจกรรมให้กับลูกหลานคนในหมู่บ้านให้ห่างไกลบุหรี่ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจต่อโทษและภัยของการสูบบุหรี่ และเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์เพื่อให้เกิดชุมชนปลอดบุหรี่ “เราต้องไปสร้างความไว้ใจกับคนในชุมชนก่อนทำงาน เพราะเป็นบริบทของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ไม่ค่อยไว้ใจคนนอก จึงต้องเข้าไปชี้แจงรายละเอียดให้เขารับรู้ โครงการจะได้ราบรื่น” มะห์หล่อเล่า
การทำงานดูเหมือนจะเริ่มลงตัว แต่จนแล้วจนรอดกลับต้องสะดุดลง เมื่อทีมงานทุกคนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 จึงต้องไปฝึกงาน ไม่สามารถแบ่งเวลามาทำงานได้ จึงต้องจัดประชุมทำความเข้าใจทีมงานทั้งหมดเป็นการด่วนเพื่อวางแผนการทำงานอย่างละเอียด กำหนดวันเวลานัดหมายกันให้ลงตัว ให้ทุกคนรับทราบว่าจะต้องทำกิจกรรมอะไรบ้าง บทบาทหน้าที่ของแต่ละคนเป็นอย่างไร โดยกำหนดกิจกรรมหลัก ๆ ของโครงการคือ ศึกษาความรู้ถึงโทษและภัยของบุหรี่ และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชุมชน โดยลงพื้นที่สอบถามจากปราชญ์ชุมชน คือ โต๊ะอิหม่าม ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. ซึ่งทีมงานถือเป็นโอกาสเข้าไปพบปะและชี้แจงโครงการกับผู้นำในชุมชนไปในตัว เมื่อได้ข้อมูลแล้วจึงลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์และรับสมัครสมาชิกตัวน้อย จากนั้นจึงจัดค่ายเรียนรู้เรื่องบุหรี่แก่เยาวชน เปิดพื้นที่การเรียนรู้ รณรงค์โทษภัยของบุหรี่ และติดตามประเมินผล
“บุหรี่ในปัจจุบันมีสารที่ทำให้ผู้สูบเสียสุขภาพทำให้บุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต โดยจุฬาราชมนตรีของไทย ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ มาเลเซีย มีการฟัตวา (การวินิจฉัย) ร่วมกันว่า บุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตโดยศาสนา ถ้าใครสูบก็แสดงว่าบาป มันไม่ใช่ทำร้ายร่างกายอย่างเดียว แต่มันเป็นบาปด้วย”

หลักศาสนา กลยุทธ์ลดนักสูบหน้าใหม่
มะเท่ห์เล่าว่า การได้พบกับผู้นำในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ทำให้ทีมงานทราบว่า หมู่บ้านตะโลโบะซึ่งมีประชากรราว 200 หลังคาเรือน มีคนสูบบุหรี่ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก นอกจากนี้ยังทราบถึงบุคคลที่จะเป็นผู้ให้ความรู้ในกิจกรรมค่าย โดยเฉพาะครูโรงเรียนตาดีกาที่แนะนำว่ามีหลักการทางศาสนาที่เกี่ยวกับเรื่องบุหรี่อยู่
“แต่ก่อนอิสลามสอนว่า บุหรี่สูบก็ได้ ถ้าไม่สูบก็ดี สูบก็ไม่ได้อะไร แต่ไม่สูบได้บุญ นี่คือหลักการของศาสนาอิสลามในอดีต ผมกับเพื่อน ๆ ได้สอบถามข้อมูลกับครูโรงเรียนตาดีกามา เขาแนะนำให้ไปคุยกับนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟาฏอนี จังหวัดยะลา (เดิมชื่อวิทยาลัยอิสลามยะลา) ซึ่งบอกข้อมูลสำคัญคือ บุหรี่ในปัจจุบันมีสารที่ทำให้ผู้สูบเสียสุขภาพทำให้บุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต โดยจุฬาราชมนตรีของไทย ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ มาเลเซีย มีการฟัตวา (การวินิจฉัย) ร่วมกันว่า บุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตโดยศาสนา ถ้าใครสูบก็แสดงว่าบาป มันไม่ใช่ทำร้ายร่างกายอย่างเดียว แต่มันเป็นบาปด้วย” มะห์หล่อเล่าถึงการได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญ ที่นำหลักการทางศาสนามาใช้เพื่อให้คนไม่สูบบุหรี่
ทีมงานเชื่อมั่นว่า การใช้หลักศาสนามาเป็นแรงจูงใจ เป็น “กลยุทธ์” ที่ได้ผลมากกว่าข้อมูลความรู้เรื่องสุขภาพ “ถ้าเราบอกว่าห้ามสูบบุหรี่ เดี๋ยวเป็นมะเร็ง เป็นโรคนั้น โรคนี้ ทั้งเด็กผู้ใหญ่เขาไม่กลัว เพราะถึงจะเป็นมะเร็งหรือไม่เป็นมะเร็งก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ถ้าเรานำหลักการทางศาสนามาใช้ บอกว่าการสูบบุหรี่เป็นบาป ถ้าได้บาป ตายแล้วย่อมตกนรก ใครบ้างที่จะไม่กลัวการตกนรก คิดว่านี่คือเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถคุยกับเด็กได้” นาวีเล่า
เมื่อหาข้อมูลจนได้กลยุทธ์ในการทำงานแล้ว ทีมงานจึงลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์โครงการ โดยทำโปสเตอร์ติดตามบอร์ดในสถานที่ส่วนกลางของชุมชน เช่น มัสยิด อบต. โรงเรียนตาดีกา และขอความร่วมมือจากมัสยิดช่วยประกาศเสียงตามสาย พูดคุยกับชาวบ้านในลักษณะปากต่อปากเพื่อชี้แจงโครงการ และเชิญชวนเด็กๆ ชั้นประถมศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนตาดีกา
“การรับสมัครเด็ก ๆ เราให้ครูตาดีกาคัดเลือกเด็กให้จำนวน 30 คน เพราะเราไม่ได้ใกล้ชิดกับเด็ก แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นเด็กที่ยังไม่สูบบุหรี่ ตอนที่เราลงไปคุยกับผู้ปกครอง ถึงแม้ผู้ปกครองบางคนจะสูบบุหรี่ แต่เขาก็ยินดีส่งลูกเข้าร่วม เพราะไม่อยากให้ลูกเขาติดบุหรี่” มะห์หล่อเล่า
แม้ว่าคุณครูจากโรงเรียนตาดีกาจะช่วยคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ครบจำนวนที่ต้องการแล้ว แต่ทีมงานยังมุ่งมั่นที่จะไปพบกับผู้ปกครองของนักเรียนที่ร่วมโครงการ เพื่อบอกเล่ากิจกรรมที่จะทำ โดยหวังว่าจะเป็นการกระจายข่าวสารของโครงการให้เป็นที่รับรู้กันโดยถ้วนทั่ว
“สิ่งที่เราอยากได้จากการลงพื้นที่ คือความไว้ใจจากชาวบ้าน เพื่อที่ว่าเวลาเราเริ่มทำโครงการ หากเกิดปัญหาชาวบ้านจะได้ช่วยเหลือเรา เรียกว่าสร้างต้นทุนทางสังคมเพิ่ม และทำให้เราได้รู้จักกับชาวบ้านด้วย” นาวีเล่า
สำหรับอ๊ะห์และมะเท่ห์ซึ่งเป็นสมาชิกในหมู่บ้านก็ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง ลงพบปะพูดคุยกับชาวบ้านตามประสาคนบ้านเดียวกัน ซึ่งการเป็นคนในชุมชนก็ทำให้ชาวบ้านยิ่งไว้วางใจ ฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกหลาน
“เราต้องอาศัยหลักวิชาการ เพราะคำวินิจฉัย (ฟัตวา) ก็ออกมาชัดแล้ว คำวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีและจากต่างประเทศก็ชัดเจนแล้ว เรามีหลักฐานว่าสิ่งที่เราเผยแพร่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วฮาดิษ คำสอนของท่านนบี ท่านก็บอกโดยตรงว่า ห้ามให้มนุษย์ทำร้ายตนเองและผู้อื่น ใครทำร้ายตนเองและผู้อื่นถือว่า บาป การสูบบุหรี่ถือเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น” มะห์หล่อเล่าย้ำหลักการที่ศรัทธา
คำวินิจฉัยของสำนักจุฬาราชมนตรี ที่ได้ออกคำสั่งประกาศ ที่ 02/2549 ที่ว่า “การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม)” เพราะการสูบบุหรี่นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเอง และบุคคลใกล้ชิด ถูกใช้อ้างอิงในการทำงานของทีมงาน เพราะในชุมชนยังมีคนรุ่นเก่าที่ยังมีชุดความเชื่ออีกแบบว่า การสูบบุหรี่ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม เพราะประกาศดังกล่าวเพิ่งถูกเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ การสร้างความเข้าใจใหม่กับชาวมุสลิมบางกลุ่มจึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เสริมภูมิคุ้มกันให้วัยใส
หลังจากพบปะ สื่อสารการทำโครงการกับผู้ใหญ่ ก็ถึงเวลาของกิจกรรมค่ายที่จัดขึ้นในชุมชนเพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน ไม่สูบบุหรี่ การจัดกิจกรรมมีทั้งกิจกรรมให้ความรู้ทั้งด้านสุขภาพและหลักศาสนา ทีมงานเลือกจัดการเรียนรู้ในรูปแบบของกิจกรรมฐาน ซึ่งประกอบด้วย ฐานแรกคือฐานฝึกสมอง ฝึกความจำ ให้เด็กเล่นเกมฝึกความจำ พร้อมทั้งสอดแทรกความรู้ เช่น ถ้าคนสูบบุหรี่จะมีสมองไม่ดี ความจำไม่ดี ฐานที่ 2 ทดสอบปอด โดยให้เด็กแข่งขันกันเป่าลูกโป่ง ใครเป่าลูกโป่งให้โตได้ในครั้งเดียว แสดงว่าปอดแข็งแรง เป็นการสอนให้เด็กรู้ว่า คนที่สูบบุหรี่ปอดจะอ่อนแอ ฐานที่ 3 ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย คนที่สูบบุหรี่ส่วนมากจะมีร่างกายที่อ่อนแอ ฐานที่ 4 ความรู้เรื่องบุหรี่ผ่านรูปภาพ โดยให้เด็กต่อจิ๊กซอว์ภาพสถานที่ปลอดบุหรี่ โดยพยายามลดการบรรยายให้เหลือน้อยที่สุด มีเฉพาะช่วงให้ความรู้หลักการทางด้านศาสนาที่ว่า “บุหรี่คือฮะรอม” ซึ่งมีวิทยากรมาให้ความรู้ในวันแรก
“เมื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กประถมศึกษาซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังเปิดรับการเรียนรู้และการปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ จึงออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านฐานกิจกรรม เพื่อไม่ให้การเรียนรู้น่าเบื่อ แต่ต้องไม่ใช่กิจกรรมที่เล่นสนุกเพียงอย่างเดียว ต้องมีสาระที่ต้องการสื่อสารสู่กลุ่มเป้าหมายด้วย”
ทีมงานยอมรับว่าการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในค่าย ได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมจากการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ผสมผสานกับความรู้เรื่องโทษภัยของบุหรี่ ฯลฯ เมื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กประถมศึกษาซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังเปิดรับการเรียนรู้และการปลูกผังสิ่งต่าง ๆ จึงออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านฐานกิจกรรม เพื่อไม่ให้การเรียนรู้น่าเบื่อ แต่ต้องไม่ใช่กิจกรรมเพื่อความสนุกอย่างเดียว ต้องมีสาระที่ต้องการสื่อสารสู่กลุ่มเป้าหมายแทรกไว้ด้วย
การเข้าค่ายจึงเป็นเสมือนการติดอาวุธทางปัญญาให้เด็กๆ ห่างไกลบุหรี่ และหลังจากนั้นทีมงานยังได้ตอกย้ำด้วยการจัดกิจกรรมเดินรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ในชุมชน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับชาวบ้าน โดยมอบหมายให้เด็ก ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ผ่านโปสเตอร์ที่วาดเองว่าอยากบอกอะไร แผ่นพับความรู้ สติกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ขบวนแห่เล็กๆ เดินซอกซอนไปตามถนนในหมู่บ้าน พร้อมตะโกนคำขวัญ “บุหรี่คือ ฮะรอม” ได้รับความสนใจจากสมาชิกในชุมชน
“ขณะที่เรากำลังเดินๆ อยู่ มีผู้ปกครองขับรถมาถามว่าทำอะไร เด็กก็บอกว่า บุหรี่ฮะรอมนะ สูบแล้วบาป คือเด็กเขารู้ว่าผู้ใหญ่คนนี้สูบบุหรี่ เขาก็กล้าบอกตรงๆ แล้วเอาสติกเกอร์กับแผ่นพับแจกให้ ผู้ใหญ่คนนั้นก็รับไว้แล้วรีบไปเลย เป็นตัวอย่างว่าเด็กนั้น ถ้าเราปลูกฝังไว้แล้วเขาจะทำจริง ในอนาคตข้างหน้าเขาเองก็จะระวังมากขึ้น เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปหากเขาจะสูบบุหรี่ เขาอาจจะคิดขึ้นมาได้ว่าตอนเขาเด็ก ๆ เขาเคยทำการรณรงค์เรื่องนี้ แล้วเขาจะสูบเองหรือ นี่เท่ากับว่าเราสามารถป้องกันเด็กไว้ก่อนเลย” มะห์หล่อเล่า
กิจกรรมการเดินรณรงค์กลายเป็นกิจกรรมแรกของชุมชน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องบุหรี่และยาเสพติด ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครเข้ามาจัดกิจกรรมในชุมชนเช่นนี้มาก่อน การให้ความรู้ของหน่วยงานก็เป็นการเชิญแกนนำบางกลุ่มเข้าไปอบรมแล้วก็จบ การทำกิจกรรมของโครงการจึงเป็นเชื้อไฟที่กระตุกกระตุ้นให้ชาวบ้านสนใจ และเยาวชนเองก็เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ทำกิจกรรมในชุมชนของตนเอง หลังจากจัดกิจกรรมครบถ้วนตามแผน ทีมงานได้ประเมินผลการทำงาน โดยให้เพื่อนที่เป็นคนในชุนชมร่วมกับครูในโรงเรียนตาดีกา ติดตามพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายทั้ง 30 คน ซึ่งเมื่อได้สอบถามครูตาดีกาและเพื่อน ๆ ก็พบว่าพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกไม่ได้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการไปสูบบุหรี่ หลังจากเลิกเรียนเด็ก ๆ จะไปเล่นกีฬา อะห์กับมะห์เท่ เป็นคนสอดแนมคอยหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนเด็ก ๆ บริเวณสนามกีฬา
“ถ้าย้อนมองตัวเองก่อนที่จะมาเจอสงขลาฟอรั่ม กับตอนนี้ที่เราได้เข้าร่วมเวทีต่างๆ ได้ปลุกสำนึกพลเมือง เมื่อก่อนผมไม่ได้เอาอะไรเท่าไร เอาแต่เรียน ไม่ได้มีตัวตนในชุมชน พอทำโครงการนี้ก็ทำให้ชุมชนเห็นค่าของเรา ว่าอย่างน้อยเป็นเด็กเรียนมหาวิทยาลัย ช่วยสังคม ช่วยชุมชน ทำให้เรามีจุดยืนในชุมชน มันภาคภูมิใจ”

สร้างสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเรา
ทีมงานเห็นร่วมกันว่า จุดที่ยากที่สุดของการทำโครงการในครั้งนี้คือ การจัดการเวลา เพราะเป็นช่วงที่แต่ละคนต้องไปฝึกงาน จึงหวั่นใจว่า ถ้าได้รับทุนแล้วอาจทำโครงการได้ไม่ต่อเนื่อง มีปัญหา แต่เมื่อร่วมแรงร่วมใจสร้างข้อตกลงร่วม กำหนดแผนการทำงานล่วงหน้า เพื่อล็อกวันในการทำงานร่วมกันได้ ก็สามารถก้าวข้ามปัญหามาได้ ซึ่งบทเรียนการจัดการตนเองในครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่คาดว่าจะสามารถนำไปจัดการชีวิตการทำงานในอนาคตได้เป็นอย่างดี
แม้เป็นเด็กกิจกรรมที่มีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมต่างๆ มามากมาย แต่กระบวนการทำงานในโครงการยังช่วยเสริมทักษะการทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเรียนในห้องเรียน แต่เมื่อต้องทำงานกับชุมชนจริงๆ ทำให้ทีมงานได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ทีมงานเล่าว่า จากประสบการณ์การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ที่เคยชินกับการจัดกิจกรรมในลักษณะค่าย ทำให้ในช่วงแรกทีมคิดว่าจะเข้ามาจัดค่ายในชุมชนเช่นเดิม แต่ก็ได้พี่เจาะห์- อาอีเซาะ ดือเระ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงสงขลาฟอรั่มแนะนำวิธีการทำงาน ทำให้ทีมต้องปรับการทำงาน มีการวางแผนการทำงาน สืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เข้าพบผู้นำชุมชน ประชาสัมพันธ์โครงการกับชาวบ้านก่อนที่จะจัดค่าย ซึ่งทีมงานต่างยอมรับว่าได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น
การมีพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาโครงการคอยให้กำลังใจ และให้คำชี้แนะ ทำให้การทำงานมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น ก่อนจะทำกิจกรรมทุกครั้ง ทีมงานใช้เวลาในการประชุมวางแผน จากคำแนะนำให้ระมัดระวังในการใช้หลักการทางศาสนาในการทำงาน ทำให้ทีมงานต้องคิดใคร่ครวญ สืบค้นแหล่งอ้างอิง รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสม เช่น การเลือกวิทยากรที่จะให้ความรู้เรื่องหลักการทางด้านศาสนา ต้องเป็นคนที่คนในชุมชนให้การยอมรับ ซึ่งทีมงานก็ได้เชิญนายก อบต. ซึ่งท่านเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนตาดีกา จึงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องศาสนา มาเป็นวิทยากร
การทำงานยังพัฒนาความกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น ฝึกการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีเรื่องให้คิด ให้แก้ปัญหาตลอดทางของการทำงาน จึงต้องมีการปรึกษาหารือกันในทีมอยู่เรื่อย ๆ การทำงานจึงเน้นการแลกเปลี่ยนอย่างมีส่วนร่วมและเท่าเทียม ไม่ใช่ทุกอย่างตัดสินโดยหัวหน้าโครงการหรือคนที่อยู่ในพื้นที่ การทำงานในระหว่างที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปฝึกงานในที่ต่างกัน เป็นบทพิสูจน์สัจจะของเพื่อนที่มีต่อกัน และเป็นการแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบของทุกคน สิ่งนี้กลายเป็นการขันน็อตให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเหนียวแน่นยิ่งกว่าเดิม “ถ้าย้อนมองตัวเองก่อนที่จะมาเจอสงขลาฟอรั่ม กับตอนนี้ที่เราได้เข้าร่วมเวทีต่างๆ ได้ปลุกสำนึกพลเมือง เมื่อก่อนผมไม่ได้เอาอะไรเท่าไร เอาแต่เรียน ไม่ได้มีตัวตนในชุมชน พอทำโครงการนี้ก็ทำให้ชุมชนเห็นค่าของเรา ว่าอย่างน้อยเป็นเด็กเรียนมหาวิทยาลัย ช่วยสังคม ช่วยชุมชน ทำให้เรามีจุดยืนในชุมชน มันภาคภูมิใจ” นาวีบอก
“เมื่อก่อนคิดว่าปัญหาต่าง ๆ ในประเทศของเราต้องรอให้ผู้ใหญ่เป็นคนแก้ไข แต่พอได้ทำโครงการมองว่า แม้เราจะเป็นเยาวชน เราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ต้องทำงานบนพื้นฐานความต้องการของชุมชนจริง ๆ” ขณะที่ฟะห์เสริมว่า ตอนนี้ทำงานเป็นบัณฑิตอาสา ได้นำความรู้จากการทำโครงการนี้ไปใช้ เช่น การหาข้อมูลก่อน ก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ทำให้การทำงานเป็นบัณฑิตอาสาของเราง่ายขึ้น
ส่วนอะห์บอกว่า เมื่อก่อนคิดว่าปัญหาต่าง ๆ ในประเทศของเราต้องรอให้ผู้ใหญ่เป็นคนแก้ไข แต่พอได้ทำโครงการมองว่า แม้เราจะเป็นเยาวชน เราก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ต้องทำงานบนพื้นฐานความต้องการของชุมชนจริงๆ
จากพื้นฐานที่มีประสบการณ์จากการเรียนในสาขาวิชาการปกครอง และการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เมื่อเพิ่มการเรียนรู้ในโครงการจึงช่วยเสริมประสบการณ์การเป็นพลเมืองอาสาของทีมงานให้เข้มข้นขึ้น วันนี้ทีมงานแยกย้ายกันไปทำงานในอาชีพต่างๆ ตามศักยภาพและโอกาสของแต่ละคน แต่สำนึกที่ถูกกระตุ้นและติดตั้ง ทำให้ต่างสนใจต่อปัญหาที่ไม่เคยคิดเอาธุระ หรือที่เคยคิดว่า เกินความสามารถตนเอง เพื่อเข้าไปเป็นหนึ่งแรงที่จะร่วมแก้ไขให้คลี่คลาย และสร้างสังคมสันติสุขขึ้นในพื้นที่สลาตันรูเมาะกีตอ (ภาคใต้บ้านเรา)

ข้อมูลอ้างอิง
การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ฮะรอม (สิ่งที่ต้องห้าม) ของศาสนาอิสลาม โดยมีเหตุผลว่าทำไมต้องห้าม (ฮะรอม) จากข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ บทบัญญัติในอัลกุรอานที่ผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ทรงตรัส ว่า
1. ซูเราะห์ อัล อะอรอฟ : 175 ความว่า “และจะอนุมัติให้แก่พวกเจ้าซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้า ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย”
2. ซูเราะห์ อัล บะกอเราะห์ : 195 ความว่า “และจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศ”
3. ซูเราะห์ อันนิซาฮ์ : 29 ความว่า “และจงอย่าฆ่าตัวเองของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรง เมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ”
4. ซูเราะห์ อัลอิสรอฮฺ : 27 ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่ายนั้น เป็นพวกพ้องของเหล่าชัยฏอนนั้น เนรคุณต่อพระเจ้าของมัน”
บทบัญญัติในอัลหะดิษท่านนบี หรือซุนนะฮฺ (วจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัด) บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม ความว่า
1. อัลหะดิษ หมายเลข : 1446 ความว่า “และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามการทำให้สูญเสียซึ่งทรัพย์สินโดยไร้ประโยชน์”
2. อัลหะดิษ หมายเลข : 223 ความว่า “แท้จริงความสะอาดนั้น เป็นครึ่งหนึ่งของการศรัทธา และการกล่าว อัลฮัมดุลิลละฮฺนั้น เป็นสิ่งที่จะเติมเต็มตาชั่ง”
นักวิชาการ นักปราชญ์ (มุจญตะฮิดผู้นำมัซฮับ) ต่าง ๆ อาทิ
1. นักวิชาการจากมัซฮับหะนะฟีย์ เช่น ท่านอีซา อัชชะฮาวีย์, ท่านอับดุลดุลบากี, ท่านมุฮัมหมัด อิบนุศิดดีก อัซซุบัยดีย์
2. นักวิชาการจากมัซฮับมาลีกีย์ เช่น ท่านอิบรอฮิม อัลลิกอนีย์, ท่านอะบูอัลฆัยษุ อัลเกาะชาชฺ
3. นักวิชาการจากมัซฮับซาฟีอีย์ เช่น ท่านชัยคฺ นัจดีน อัดดิมัชกีย์, ท่านชัยคฺ อิบนุ อิลาน อัศศิดดีกีย์, ท่านอุมัร อิบนุ อับดุรเราะมาน อัลหุสัยนีย์ ฯลฯ
4. นักวิชาการจากมัซฮับฮัมบาลี เช่น ท่านอะหฺมัด อัสสันฮูรีย์ อัลบะฮูตีย์
ทั้งหมดต่างให้เหตุผล ถึงผลของการสูบบุหรี่คือ 1) ทำให้เกิดอาการมึนเมาหรือทำให้เกิดภาวะที่สติปัญญาเคลิบเคลิ้ม 2) ทำให้เกิดความเชื่องช้า เซื่องซึม และเหนื่อยอ่อน 3) ทำให้เกิดภัยอันตรายใน 2 ด้าน ด้านที่ 1 เป็นภัยต่อร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และนำไปสู่การเป็นโรคต่าง ๆ ด้านที่ 2 เป็นภัยต่อทรัพย์สิน การสูบบุหรี่เป็นการจ่ายทรัพย์สินที่ฟุ่มเฟือย เพราะบุหรี่เป็นสินค้าเปล่าประโยชน์ องค์การวิชาการอิสลาม และนักวิชาการร่วมสมัย ได้ออกคำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) มีมติ ว่า การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ภายใต้เหตุผล และหลักฐาน ที่จะสนับสนุนในคำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) โดยเฉพาะเหตุผลทางการแพทย์ ที่พบว่า ในบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นโทษร้ายแรงมากมาย และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ อนามัย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินของผู้สูบ ดังนั้น การสูบบุหรี่นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเอง และบุคคลใกล้ชิด ซึ่งทางคณะกรรมการฟัตวาแห่งอัลอัซฮัร อัชชะรีฟ รวมถึงสำนักจุฬาราชมนตรีของไทย ได้ ออกคำสั่งประกาศ ที่ 02/2549 ว่า “การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม)” แล้ว
ดังนั้นเมื่อเป็นที่ประจักษ์แน่ชัดจากบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามตลอดจนจากผู้รู้ต่าง ๆ และสถาบันทางศาสนา และวิชาการอิสลาม เช่นนี้แล้ว คนมุสลิมที่ยังนิยมสูบบุหรี่อยู่ ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า การสูบบุหรี่ของท่านนั้นได้เป็นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม) แล้ว ท่านกล้าที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองสู่การ ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ อันจะแสดงถึงแรงศรัทธา (อีมาน) และที่สำคัญความเข้มแข็งที่เกิดจากความเพียรพยายามหมั่นดูแลรักษาสุขภาวะตัวเอง ที่จะให้ท่านกลายเป็นผู้ที่มีพลัง และความเข้มแข็งของอีมานหรือตักวา (ศรัทธา) และเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)
ข้อมูลโดย : อาจารย์สุบันโญ จีนารงค์ คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ที่มา : สำนักงานแผนงานสร้างสุขมุสสิมไทยและมูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.) www.muslim4health.or.th
โครงการสานพลังต่อต้านบุหรี่
ที่ปรึกษาโครงการ : อัมรี จาหลง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ทีมทำงาน : บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
( ซารีฟะห์ นิหลง ) ( นาวี สาม่าน ) ( มูฮำหมัด กะอาบู ) ( ซอรียะห์ อาแวกะจิ ) ( มูอำหมัด มามะ )