“พลเมืองเยาวชน” ในศูนย์ฝึกฯ
โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน
โครงการนี้ทำให้ผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะต้องดูแลอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ เช่น มีด กรรไกร ทำให้ผมต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง รู้จักคิดก่อนทำถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะข้อผิดพลาดในอดีตคือบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ ซึ่งหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง เราจะไม่ได้อยู่ในจุดๆ นี้อีก และคงไม่ได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้อีกแล้ว ทำให้เราต้องคิดให้ไกลกว่าเดิม...ต้องทำตัวของเราให้มีคุณค่ามากที่สุด
“ทุกอย่างต้องใช้เวลาแลกกับความไว้ใจ..กว่าจะได้ใส่เสื้อ Active citizen ตัวนี้ แต่ละวันผมต้องนั่งสานตะกร้าไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ วันแล้ววันเล่า...ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ กันหลายเดือน กว่าครูจะไว้ใจในพฤติกรรมของผม ผมพยายามทำตัวให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อขอโอกาสเหมือนเพื่อนคนอื่นบ้าง”ความรู้สึก และความในใจที่ไอซ์จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 9 จังหวัดสงขลา พรั่งพรูออกมา แสดงให้เห็นว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้มาทำโครงการนี้ ส่วนหนึ่งเพราะโทษในคดีอาญาของไอซ์ค่อนข้างสูง จึงไม่ง่ายนักที่ใครจะกล้าใช้ตำแหน่งหรือชีวิตการันตี เพื่อให้เขาออกไปทำกิจกรรมข้างนอกศูนย์ฝึกฯ ได้
นั่นคือคำบอกเล่าถึงชีวิตหลังกำแพงสูงในศูนย์ฝึกฯ จากปากของเยาวชนโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนที่รับไม้ต่อจากรุ่นพี่ ใช้เวลาว่างพัฒนาทักษะอาชีพและทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมภายหลังถูกจำกัดอิสรภาพ
นอกจากไอซ์แล้ว ยังมีเพื่อนร่วมทีมประกอบด้วย จักร ปาย และเพื่อนๆ ในศูนย์ฝึกฯ อีกจำนวนหนึ่งที่เดินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ โดยมีครูเขี้ยว-ประชิด ตรงจิต เป็นที่ปรึกษาโครงการ
อิสรภาพในการเรียนรู้
“เห็นรุ่นพี่ที่ทำโครงการนี้ได้ออกไปข้างนอกบ่อยๆ ก็อยากออกไปบ้าง การอยู่ในศูนย์ฝึกฯ เป็นเรื่องน่าเบื่อ” คือเหตุผลข้อแรกที่ทำให้จักรเข้ามาทำโครงการนี้ ประกอบกับมีรุ่นพี่ที่ทำโครงการฯ นี้เล่าถึงประสบการณ์การทำโครงการให้ฟังว่า ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ได้ไปพบเจอ เพื่อนข้างนอก ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น รวมถึงประสบการณ์การลงพื้นที่ชุมชนในฐานะ “วิทยากร” ที่เป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวเดินสู่เส้นทางของการเป็น “ผู้ให้” ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการฯ ปีนี้
“ความคิดแว่บแรกที่ครูพาออกไปข้างนอก รู้สึกกลัว แต่ก็อยากออกไป กลัวไปเองว่าเราจะเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่น แต่อีกใจกลับคิดว่า เราออกมาหาประสบการณ์ดี ๆ คิดดี ทำดี ไม่ใช่ตัวประหลาด”จักรบอกเล่าความรู้สึกตอนแรก
เช่นเดียวกับไอซ์ที่เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า ครั้งแรกที่ได้ออกมาข้างนอกรู้สึกตัวชาวาบไปเสี้ยวนาที เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่ศูนย์ฝึกฯ กว่าหนึ่งปี เขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกเลย เวลาเดินไปไหนหรือทำอะไรต้องมีครูคอยเดินตาม หรือจับตามองแทบทุกฝีก้าว แต่การเข้าร่วมโครงการนี้ราวกับปราการแห่งการแบ่งแยกในใจถูกทำลายลง เพราะครูเขี้ยวปล่อยให้เขาทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ได้อย่างสบายใจโดยไม่มีการจำกัดอิสรภาพ
“ครูคือคนที่ให้โอกาสและไว้ใจเรา แล้วทำไมเราต้องทำให้ครูเดือดร้อนด้วย ครูทำเหมือนผมเป็นคนปกติทั่วไป สนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้ผมได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน ได้ช่วยพี่เลี้ยงยกของจัดบอร์ด ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ทำให้เรารู้สึกสนุก และทุกครั้งที่ไปร่วมผมจะได้ข้อคิดใหม่ๆ กลับมาทุกครั้ง ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น”
“ครั้งแรก ก่อนที่ครูจะพาออกไปข้างนอก ครูเข้ามาถามผมว่า ถ้าพาออกไปข้างนอกจะหนีไหม ตอนนั้นผมรู้สึกน้อยใจมาก เหมือนครูไม่ไว้ใจเราเลย อยู่ในศูนย์ฝึกฯ ผมทำตัวดีมาตลอด เพื่อขอโอกาส จนมาวันหนึ่งครูเขี้ยวขออนุญาตกับทางศูนย์ฝึกฯ พาผมออกมาข้างนอก ทำให้รู้สึกว่าครูคือคนที่ให้โอกาสและไว้ใจเรา แล้วทำไมเราต้องทำให้ครูเดือดร้อนด้วย ครูทำเหมือนผมเป็นคนปกติทั่วไป สนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้ผมได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน ได้ช่วยพี่เลี้ยงยกของจัดบอร์ด ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ทำให้เรารู้สึกสนุก และทุกครั้งที่ไปร่วมผมจะได้ข้อคิดใหม่ๆ กลับมาทุกทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้น”
ส่วนปายเล่าถึงความรู้สึกที่ได้ออกไปข้างนอกว่า ตื่นเต้นมาก ได้ทำกิจกรรมสันทนาการกับเพื่อนโครงการอื่นๆ โดยมีพี่เลี้ยงจากสงขลาฟอรั่มคอยแนะนำเรื่องการวางตัวเมื่อมาทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเพราะไม่มีใครรังเกียจถึงที่มาที่ไปของตน

ครูต้องก้าวข้ามความกลัว
โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 โดยปีแรกเน้นไปที่การจัดกิจกรรมเรียนรู้ ฝึกการจักสานพลาสติกและการจัดจำหน่าย โดยคาดหวังว่าจะนำรายได้มาเป็น “ทุน” ให้เพื่อนที่ไม่มีญาติมาเยี่ยมมีเงินไว้ซื้อของใช้ส่วนตัว และเป็นเงินทุนในการเริ่มต้นประกอบอาชีพให้สมาชิกในกลุ่มภายหลังได้รับการปล่อยตัว รวมทั้งแกนนำเยาวชนจะได้ “พัฒนาทักษะเรื่องการจัดการกับอารมณ์” ของตนเองผ่านการทำงาน
“ความรับผิดชอบ และสำนึกพลเมือง คือโจทย์สำคัญที่เราต้องทำและต้องพัฒนาให้เขาเข้าใจ”
เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 เพื่อยกระดับทักษะการทำงานและเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เยาวชนในโครงการ จึงเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ จากเดิมที่เยาวชนนั่งสานตะกร้าอยู่ในศูนย์ฝึกฯ และออกไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้างนอก มาเป็นเป้าหมายในโครงการปี 2 ที่เติมช่องว่างจากปีที่ผ่าน คือ 1. การบริหารจัดการเงินที่เป็นระบบมากขึ้น 2.การหาตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ และ 3.การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยหวังว่าทั้ง 3 เป้าหมายจะช่วยเพิ่มทักษะการทำงาน ทักษะการอยู่ร่วมกันในสังคม และการเพิ่มความรู้ให้เยาวชน โดยมีเป้าหมายแฝงซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญ คือ “สำนึกพลเมือง”การคิดดี ทำดี ที่จะฝังไว้ในตัวเยาวชนทุกคนให้ได้
ครูเขี้ยวบอกว่า “ความรับผิดชอบ” และ “สำนึกพลเมือง” คือโจทย์สำคัญที่เราต้องทำและต้องพัฒนาให้เขาเข้าใจ ก่อนหน้านี้ได้ปรึกษากับผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯ คนเก่าว่าอยากเปิดโอกาสให้เด็ก “รู้จักการให้” บ้าง และอยากให้โครงการนี้มีพัฒนาการยิ่งๆ ขึ้นไป จึงมองว่า นอกจากการสานตะกร้าแล้ว เราน่าจะพาเด็กกลุ่มนี้ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องการจักสานให้คนภายนอกด้วย โดยวางเกณฑ์ไว้ว่า คนที่จะไปสอนต้องเข้าใจแนวคิด และรู้ระบบหรือโครงสร้างของโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นอย่างดี เพราะนอกจากการถ่ายทอดความรู้แล้ว พวกเขายังสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านได้โดยไม่เคอะเขิน ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะเมื่อออกไปข้างนอก เราไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าคนที่มาร่วมเรียนรู้เป็นอย่างไร ตั้งใจฟังหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองในสนามจริง
การพาเด็กออกมาข้างนอกโดยไม่มีผู้คุมสักคน แม้รู้สึกกลัวว่าเด็กจะหนี แต่ครูเขี้ยวยืนยันอย่างหนักแน่นว่าต้องพาเด็กกลุ่มนี้ออกมาเรียนรู้ความเป็นไปของโลกข้างนอกด้วย โดยครูเองก็ต้องก้าวข้ามความกลัวนี้ไปให้ได้ ภายใต้ “ความเชื่อใจซึ่งกันและกัน” ระหว่างครูกับศิษย์

จัดระบบระเบียบการทำงาน
ผลจากการแตะมือระหว่างรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทำให้การทำโครงการเกิดความต่อเนื่อง แม้แกนนำคนใดคนหนึ่งได้รับการปล่อยตัวก็ตาม เมื่อระบบการทำงานได้รับการสานต่อ ทีมงานจึงทำงานตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเร่ิมจากการจัดระบบบริหารจัดการเงินใหม่ จากเดิมที่วางแผนว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จะเก็บไว้ใช้เป็นทุนที่หมุนเวียนในโครงการ อีก 20 เปอร์เซ็นต์เก็บไว้เป็นกองกลางสำหรับช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่ขาดแคลนของใช้ ส่วนที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ไว้เป็นเงินปันผลสำหรับสมาชิกในโครงการ แต่เมื่อลงมือทำงานจริงพบว่าไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก หากจะให้เงินปันผลเฉพาะทีมงาน ก็ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไป เพราะสมาชิกคนอื่นๆ ที่เข้ามาเรียนรู้กับพวกเราก็เพื่อนกันทั้งนั้น เกรงว่าเพื่อนจะรู้สึกไม่ดี
ด้วยเหตุนี้พวกเราจึง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการการเงินใหม่ โดยยังคงเงินทุนหมุนเวียน 50 เปอร์เซ็นต์ไว้เหมือนเดิม แต่นำทุนกองกลางและเงินปันผลมารวมกันไว้ซื้อของใช้ส่วนตัว โดยทุกคนที่อยู่ในโครงการสามารถมีสิทธิ์ใช้ได้ หากมีการซื้อขนมสมาชิกทุกคนที่อยู่ในโครงการต้องได้รับประทานทุกคน และเมื่อออกไปทำกิจกรรมภายนอกของโครงการ เมื่อสมาชิกภายนอกใช้เงินรับประทานขนมหรืออาหาร เมื่อ กลับเข้าศูนย์ฝึกฯ ก็ต้องซื้อขนมมาให้เพื่อนได้รับประทานทุกคน สำหรับเงินปันผล ก็จะให้ตามความสามารถของแต่ละคน ซึ่งมีครูที่ปรึกษาจะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ ซึ่งที่ผ่านมา สมาชิกที่ปล่อยตัวหรือลาเยี่ยมบ้านก็ได้รับเงินส่วนนี้ติดตัวไปด้วยมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถ
หลังจัดระบบบริหารการเงินลงตัว ทีมงานได้ทำการศึกษาช่องทางการจำหน่าย และสำรวจความต้องการของตลาด จนได้รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “เสื่อกระจูด” หรือที่ภาษาใต้เรียกว่า “สาดจูด” ด้วยการไปเรียนรู้ขั้นตอน และวิธีการทำในพื้นที่บ้านหัวเขียว ตำบลทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง หลังจากฝึกแล้วก็นำมาถ่ายทอดให้กับเพื่อนในกลุ่ม จนได้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานระหว่างงานจักสานจากเส้นพลาสติกที่ต่อยอดแต่งเติมเล็กน้อยจากเทคนิคเดิมๆ กับงานจักสานจากกระจูดที่สามารถพลิกแพลงไปในรูปแบบต่างๆ
เมื่อผลงานที่ทำอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถนำออกตลาดได้แล้ว ตลาดนัดชุมชนบ่อยาง คือเป้าหมายที่ทีมงานจะนำผลงานที่พวกเขาใช้ความเพียรผลิตขึ้นออกจำหน่ายในท้องตลาดทุกเย็นวันจันทร์
“งานของเราค่อนข้างมีความละเอียด และต้องใช้สมาธิสูงมาก และด้วยความที่เราเป็นผู้ชายซึ่งมีไม่มากนักที่จะให้ความสนใจงานฝีมือ หรืองานหัตถกรรม เช่นนี้ จึงเป็นแรงจูงใจที่นำมาใช้เป็นจุดขายได้อย่างดี แม้งานนี้จะเป็นงานเล็กๆ ที่พวกเราสามารถทำได้ภายใต้ข้อจำกัด แต่พวกเราก็ภูมิใจที่เห็นงานของเราได้รับความสนใจจากคนทั่วไป และสามารถนำไปเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมได้หลังจากที่เราได้รับการปล่อยตัว” จักรเอ่ยขึ้น
ขณะที่ไอซ์เสริมว่า ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาทำนอกจากจะไปวางขายที่ตลาดนัดบ่อยางแล้ว พวกเขายังได้รับมอบหมายให้นำผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายในงานยุติธรรมจังหวัดเคลื่อนที่ในแต่ละเดือนอีกด้วย

ออกเดินทางสู่การเป็นผู้ให้
“การเป็นวิทยากร ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการมีวุฒิภาวะ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะต้องควบคุมอารมณ์ การพูดจา การวางตัว รวมถึงเข้าใจหัวอกของการเป็นครูมากขึ้นว่า ยากแค่ไหนที่จะสอนให้คนอื่นเข้าใจ”
แม้จะถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แต่ทีมงานก็ยังคิดถึงการเป็นผู้ให้ โดยหลังผ่านการกระตุก กระตุ้น และเสริมพลังเชิงบวกจากพี่เลี้ยงสงขลาฟอรั่ม ครูเขี้ยว และครูท่านอื่นในศูนย์ฝึกฯ ทีมงานได้แสดงฝีมือการเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับ กลุ่มแม่บ้านตำบลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และกลุ่มเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทีมงานทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกในนามของวิทยากรจากศูนย์ฝึกฯ รวมถึงการได้ไปเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นครั้งแรกของทีมงานด้วย
“สอนกลุ่มแม่บ้านง่ายกว่าการสอนเด็กศูนย์ฝึกฯ เพราะเด็กศูนย์ฝึกฯ เป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงไม่ค่อยใส่ใจ ส่วนป้าๆ แม่บ้านเขาจะเอ็นดูเรา และตั้งใจทำตามที่เราสอน น้องบางคนในศูนย์ฝึกฯ ที่ตั้งใจก็มี แต่เป็นส่วนน้อย ผมไม่ขออะไรมาก ใน100 คนที่เราสอนขอเพียง 10 คนที่สานตะกร้าเป็นผมก็ภูมิใจแล้ว ไม่ได้หวังให้เขาทำเป็นทั้งหมด เพราะอย่างน้อยนั่นคือ อาชีพเสริมที่เขาจะติดตัวไปตอนที่เขาออกไปจากศูนย์ฝึกฯ เหมือนผมที่มีทักษะในด้านนี้”
จักรเอ่ยขึ้นหลังถูกตั้งคำถามถึงความยากง่ายของการเป็นวิทยากรทั้ง 2 กลุ่ม พร้อมทั้งกล่าวติดตลกหากมีคนทำได้เพียงแค่ 10 คน ถือว่าฝีมือการสอนของเขาใช้ได้เลยทีเดียว
ส่วนไอซ์มองไปถึงลู่ทางการรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ของชุมชนกลุ่มแม่บ้าน พร้อมเชื่อว่าหากผู้นำและสมาชิกในกลุ่มเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการที่ดีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อทำเป็นอาชีพเสริมของชุมชนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ผมอยากสอนให้เขาทำได้ เขาจะได้ไปประกอบอาชีพหลังเลิกงาน ตอนเย็นก็กลับไปทำเรื่อย ๆ วันละใบหรือจะทำเป็นสินค้าโอทอปของชุมชน โดยการรวมกลุ่มกันในหมู่บ้าน มีประธานกลุ่มจัดรูปแบบการประชาสัมพันธ์ มีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีเงินปันผล หากทำได้ก็จะเป็นอาชีพเสริมของคนในชุมชนนั้นได้เป็นอย่างดี”
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 คนมองว่าการเป็นวิทยากรครั้งนั้น ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการมีวุฒิภาวะ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพราะต้องควบคุมอารมณ์ การพูดจา การวางตัว รวมถึงเข้าใจหัวอกของการเป็นครูมากขึ้นว่ายากแค่ไหนที่จะสอนให้คนอื่นเข้าใจ

“พลเมืองเยาวชน” ในศูนย์ฝึกฯ
เงินที่ได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนต่อทุน ส่วนที่นำไปช่วยเหลือเพื่อน และส่วนปันผลของสมาชิกแต่ละคนโดยครูเขี้ยวจะให้แต่ละคนนำเงินที่ได้ไปเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อรอวันปล่อยตัวที่พวกเขาจะได้คืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง
“ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเงิน 20,000 บาท ที่ขายยาได้ตอนนั้น ซึ่งต้องเสี่ยงกับอิทธิพลมืดและตำรวจ กับเงิน 200 บาท ที่ขายตะกร้าได้ตอนนี้ แม้ค่าเงินจะแตกต่างกันลิบลับ แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในหยาดเหงื่อแรงงานที่หาเงินมาได้อย่างสุจริต แลกกับการนั่งหลังขดหลังแข็งสานตะกร้าวันแล้ววันเล่า กว่าจะได้มาสักใบมันรู้สึกภูมิใจมาก”
“ตอนที่ยังขายยารู้สึกเหมือนเราเป็นจ่าฝูง เป็นผู้นำ มีเพื่อน ๆ คอยตามเอาอกเอาใจ ยกย่อง พอถูกจับมาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ มีเพื่อนไม่กี่คนที่มาเยี่ยม หากย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ขายยา ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเงิน 20,000 บาท ที่ขายยาได้ตอนนั้น ซึ่งต้องเสี่ยงกับอิทธิพลมืดและตำรวจ กับเงิน 200 บาท ที่ขายตะกร้าได้ตอนนี้ แม้ค่าเงินจะแตกต่างกันลิบลับ แต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในหยาดเหงื่อแรงงานที่หาเงินมาได้อย่างสุจริต แลกกับการนั่งหลังขดหลังแข็งสานตะกร้าวันแล้ววันเล่า กว่าจะได้มาสักใบมันรู้สึกภูมิใจ ส่วนเงินปันผลที่ได้มาจะเก็บเอาไว้เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
จักรบอกถึงค่าของเงินที่แม้จะแตกต่างในจำนวน แต่ความภูมิใจที่ได้กลับมีมากกว่า
ขณะที่ไอซ์ที่มีความฝันอยากมีที่สักแปลงปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ และทำเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เขามองว่า คำสอนของในหลวงคือหลักปรัชญาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย สอนให้คนไทยรู้จักความพอเพียงพอประมาณและมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่
“ผมอยากมีบ้านเล็กๆ ปลูกผักเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกเป็นห่วงโซ่หมุนเวียนกันไป ผมได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือเกษตรทฤษฎีใหม่ที่ในหลวงเคยบอกว่า มีที่ดิน 1 ไร่ทำอย่างไรให้ขายได้ตลอดทั้งปี ผมเชื่อว่าทำได้จริง ๆจากเกษตรกรตัวอย่างหลาย ๆ คน อีกอย่างผมชอบอ่านหนังสือแนวนี้ เพราะอยากกลับบ้านไปเป็นเกษตรกรอยู่อย่างสมถะพอเพียงที่บ้านเกิด แค่นี้ก็พอใจแล้วครับ” ด้านปายตอบสั้น ๆ ว่า อยากเป็นช่างซ่อมรถทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ เพราะชื่นชอบและหลงใหลการซ่อมเครื่องยนต์ หากมีเงินสักก้อนจะเปิดร้านซ่อมบำรุงใกล้ ๆ บ้าน “โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน คือประสบการณ์ชีวิตที่ดี ที่ทำให้พวกเขาได้รับโอกาสสำคัญ นั่นคือโอกาสของการเป็น “ผู้ให้” ยิ่งพวกเขาให้ความรู้กับคนอื่นมากเท่าไร พวกเขาก็ได้รับความสุขและความภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น”
ถึงแม้การเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ ของทั้ง 3 คนจะต่างที่มาต่างวาระกัน แต่ในวันนี้ทั้ง 3 คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนคือประสบการณ์ชีวิตที่ดี ที่ทำให้พวกเขาได้รับโอกาสสำคัญ นั่นคือโอกาสของการเป็น “ผู้ให้” ยิ่งพวกเขาให้ความรู้กับคนอื่นมากเท่าไร พวกเขาก็ได้รับความสุขและความภาคภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น
“โครงการนี้ทำให้ผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะต้องดูแลอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ เช่น มีด กรรไกร ทำให้ผมต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง รู้จักคิดก่อนทำ คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะข้อผิดพลาดในอดีตคือบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ ซึ่งหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง เราจะไม่ได้อยู่ในจุดๆ นี้อีก และคงไม่ได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกแล้ว ทำให้เราต้องคิดให้ไกลกว่าเดิม เมื่อก่อนไม่รู้ว่าเวลาทำผิดแล้วเราจะเป็นอย่างไร แต่วันนี้รู้แล้วว่าชีวิตที่ต้องมาอยู่ศูนย์ฝึกฯ ไกลบ้าน ไม่มีใครมาเยี่ยม เป็นอย่างไร ถามว่าใครบ้างไม่อยากกลับบ้าน ใครบ้างไม่อยากมีอิสรภาพ แต่ในเมื่อเราทำผิด เราก็ต้องชดใช้ความผิด และเมื่อรู้ตัวว่าผิด เราก็ต้องทำตัวของเราให้มีคุณค่ามากที่สุด”
ไอซ์สะท้อนความรู้สึกลึก ๆ ที่อยู่ในใจเช่นเดียวกับปายที่บอกว่า เขาขอบคุณโครงการสานสายใยที่ให้โอกาสเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องความใจร้อน
“เปลี่ยนแปลงเรื่องอารมณ์และจิตใจ ผมสามารถพูดคุยเข้าหาเพื่อนต่างจังหวัดได้ดี รู้สึกใจเย็นขึ้น ไม่คิดฟุ้งซ่านเหมือนเมื่อก่อน เวลาที่แม่มาเยี่ยมแม่บอกให้ผมทำตัวดี ๆ จะได้กลับบ้านเร็ว ๆ รู้สึกว่าแม่ยังห่วงเราอยู่” ด้านจักรบอกว่า รู้สึกประทับใจในความหลากหลายของกิจกรรมตลอดระยะเวลาการทำโครงการ โดยการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในตัวเยาวชน รวมทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสำนึกพลเมืองที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเขาและเพื่อน ๆ
“อยากให้โครงการนี้มีต่อไปเรื่อย เพราะเป็นโครงการที่สร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ครูกับศิษย์ พี่กับน้อง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานระหว่างกัน แต่ที่ดียิ่งกว่าคือ โครงการนี้ทำให้เข้าใจถึงวิสัยทัศน์ของศูนย์ฝึกฯที่ว่า เป็นองค์กรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีแก่เด็กและเยาวชน ภายใต้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งผมคือเด็กคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น”
วันนี้สมาชิกบางคนยังถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมของศูนย์ฝึกฯ บางคนได้กลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว ซึ่งเชื่อว่า “พลัง” ความเป็นพลเมืองที่ถูกหล่อหลอมจากครูเขี้ยว ครูในศูนย์ฝึกฯ พี่เลี้ยงจากสงขลาฟอรั่ม เพื่อนร่วมทีม และเพื่อน ๆ ในโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา คือกำลังแรงใจให้พวกเขา “กล้า” ที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเอง พยายามเรียนรู้ อดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้าที่มีอยู่มากมายในศูนย์ฝึกฯ และสังคมข้างนอก ใช้เวลาว่างที่มีอยู่สานตะกร้า เพื่อฝึกปรือฝีมือให้เชี่ยวชาญ จนเกิดความมั่นใจในทักษะและความรู้ที่มีอยู่ในเนื้อในตัว จนสามารถออกไปถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนภายนอก สมดังเจตนารมณ์ของโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน และเป็นทักษะอาชีพติดตัวสำหรับคนที่ออกไปแล้วได้สมความตั้งใจ
โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน
ที่ปรึกษาโครงการ : ประชิด ตรงจิต