การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตและสืบทอดวัฒนธรรมในชุมชน บ้านดงใต้พัฒนา จังหวัดลำพูน ปี 1

“ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด” เปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรม

ทั้ง นิกกี้-ทิวากร สุพรรณ์ และ ขิม-วรรณิกานต์ ตาจุมปา แกนนำเยาวชนบ้านดงใต้พัฒนา ค่อนข้างกังวลใจกับการทำโครงการในครั้งนี้ เพราะทั้ง 2 คนเห็นว่าโครงการที่เลือกทำเป็น “นามธรรม” ไม่เหมือนโครงการอื่น ๆ ที่เน้นเรื่องการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะ หรือประเด็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

“ผลงานในโครงการเราจับต้องไม่ได้ เพราะเราทำโครงการกับคน สร้างคนให้มีจิตอาสา จึงไม่เห็นชิ้นงานเหมือนโครงการอื่น ๆ” นิกกี้บอกความกังวลใจ ขณะที่ขิมช่วยสำทับอีกเสียงว่า “เรามีเวลาในการทำโครงการแค่ 6 เดือน ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่า จะพาโครงการไปรอดมั๊ย”

ผลของความไม่มั่นใจ ทั้งเรื่องโครงการที่เป็นนามธรรมและเงื่อนไขเวลาเพียง 6 เดือนกับเป้าหมายโครงการเพื่อสร้างเยาวชนจิตอาสามาทดแทนรุ่นพี่ ๆ โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องเติบโตพร้อมไปกับการเรียนหนังสือหรือทำงาน ทำให้ทั้งนิกกี้และขิมเกือบถอดใจและเกือบเลิกทำโครงการไปแล้ว

แต่เอาเข้าจริง ‘ความยาก’ และ ‘ข้อกังวล’ ของทั้งนิกกี้และขิมกลับไม่ใช่ความสำเร็จ, การบรรลุเป้าหมายอย่าการทำให้น้อง ๆ ในชุมชนลุกขึ้นมาเป็นจิตอาสาทำงานเพื่อชุมชนเหมือนที่พวกเธอเป็นได้หรือไม่ แต่กลับเป็นเงื่อนไขเวลาที่ทั้งสองเห็นว่า อาจจะทำได้ไม่เต็มที่ เพราะขิมเป็นครู ส่วนนิกกี้เรียนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่

“เราก็ไปคุย ให้คำปรึกษาว่าลองวางแผนการทำงานกันดี ๆ ลองทำเท่าที่สามารถทำได้ก่อน แล้วค่อยมาสรุปกันดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน” พี่รัตน์-จินดารัตน์ สัตย์จริง โคชจากสถาบันหริภุญชัย จังหวัดลำพูนกล่าว

สำหรับโครงการต๋ามฮีตโตยฮอยกอยบ้านเกิด เป็นโครงการที่ขิม นิกกี้ และเพื่อนคือ วิม-วิมพ์วิภา กันทาดง ปิ้ง-ฐิติชญา หอมนาน วิกกี้-ทิวากร สุพรรณ และ ไวท์-วราพิมพ์ กันทาดง ตั้งใจจะพาน้อง ๆ เยาวชนในหมู่บ้านดงใต้พัฒนาออกไปศึกษาทำความรู้จักกับของดีในชุมชน เพื่อให้เกิดความรัก หวงแหน เพื่อให้หันกลับมาเอาใจใส่ ตลอดจนช่วยกันดูแลบ้านดงใด้พัฒนาในอนาคตเหมือนกับคนรุ่นก่อน ๆ ปฏิบัติสืบทอดกันมา

“จริง ๆ เราไม่ต้องทำโครงการนี้ก็ได้ แต่พอคิดภาพที่พวกผมไปทำงานข้างนอกโดยไม่มีแกนนำหลักในการทำงาน ใครจะเป็นคนนำน้อง ๆ เข้ามาร่วมทำกิจกรรมของชุมชน เพราะโครงการนี้มีความสำคัญมาก ๆ ที่จะต้องทำ ต้องมีแกนนำหลักในการที่ไปทำงานเป็นกำลังเสริมของผู้ใหญ่ในชุมชน" นิกกี้อธิบายถึงที่มาของการทำโครงการในครั้งนี้ เพราะเห็นว่ามีความสำคัญ ทั้ง ๆ รู้ว่ายาก

กระบวนการสร้างจิตอาสาโดยธรรมชาติ คือการทำให้เห็น จากรุ่นสู่รุ่น

ทั้งนี้ กระบวนการส่งต่อ “จิตอาสา” จากรุ่นสู่รุ่นของคนบ้านดงใต้คือการ “ร้องขอให้ช่วย” เด็ก ๆ ในชุมชนจึงออกมาปฏิบัติภารกิจในงานบุญงานประเพณีของชุมชนอยู่เป็นระยะ ๆ และเมื่อถูก “ใช้งาน” อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานแบบนี้ถูกส่งต่อ “รุ่นสู่รุ่น” ช่วยให้บ้านดงใต้พัฒนามีคนรุ่นใหม่ มาทำงานช่วยเหลือชุมชนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

“ปกติเวลามีงานบุญงานประเพณี เด็กๆ จะเข้ามาประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ เค้าก็จะรับผิดชอบในส่วนที่เค้าต้องรับผิดชอบได้ อย่างงานจุลกฐิน การออกแบบการแสดง การจัดเครื่องแต่งกาย เด็ก ๆ ก็จะจัดการของเค้าเอง ผู้ใหญ่แค่ให้แนวว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งเค้าก็จะมีพี่โต ๆ คอยดูแล น้องเล็ก ๆ ก็จะเป็นเป็นลูกมือคอยช่วย” ดาวเรือง ตุ้ยดง พี่เลี้ยงเยาวชนบ้านดงใต้อธิบายถึงรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ใหญ่และเยาวชนในหมู่บ้าน

“พวกเราจะมีกลุ่มชื่อว่า ‘กลุ่มเยาวชนรักดงหลวงสบลี้’ เป็นกลุ่มเยาวชนของหมู่บ้าน ที่จะรวมทั้ง 4 หมู่บ้านก็คือ ดงเหนือ ดงเจริญ ดงหลวงและก็วังม่วง 4 หมู่บ้านนี้จะรวมกันและมีเด็กในชุมชน มาคอยช่วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายดนตรี เล่นพวกดนตรีพื้นเมือง กลองสะบัดชัย สะล้อซอซึง กลุ่มนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เด็กในชุมชนมารวมตัวกันเล่นดนตรีและเพื่อให้เด็กในชุมชนห่างไกลยาจากเสพติด แต่หลัง ๆ เริ่มมีน้อง ๆ ผู้หญิงเข้ามาร่วม ซึ่งส่วนใหญ่ จะเล่นดนตรีไม่ค่อยได้ แต่จะถนัดทำกิจกรรมนันทนาการและทำกิจกรรมต่าง ๆ”

อย่างไรก็ตาม สงที่นิกกี้เล่าดูเหมือนว่าบ้านดงใต้จะไม่มีปัญหาเรื่องของการส่งต่อความเป็นจิตอาสาจากรุ่นสู่รุ่นแต่อย่างด แต่สิ่งที่โครงการตามฮีตโตยฮอยอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงคือ “วิธีการ” สร้างคนรุ่นใหม่ของชุมชน

“เรามองว่าที่ผ่านมาเด็ก ๆ ถูกใช้ให้ทำงาน รุ่นผมก็เหมือนกัน อย่างเวลามีงานผู้ใหญ่ก็ให้ไปช่วยยกของ ยกเก้าอี้ เสิร์ฟน้ำ ผมเลยคิดว่า จะมีรูปแบบอื่นอีกหรือไม่ที่จะสร้างน้อง ๆ ให้มีจิตอาสาด้วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องมีคนมาเอ่ยปากให้ช่วยทำนู่นทำนี่แบบรุ่นพวกเรา”

ออกแบบกิจกรรมดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

“ทำให้เด็กสนุก” คือโจทย์หลักของการออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้แก่น้อง ๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 30 คน นิกกี้ให้เหตุผลว่า จากประสบการณ์การไปค่ายของตนเองและการแลกเปลี่ยนกันภายในทีม ทุกคนเห็นตรงกันว่า “ความสนุก” จะช่วยสร้าง “ความประทับใจ” และจะทำให้ผู้ที่มาเข้าค่ายรู้สึกอยากมาอีกในครั้งต่อ ๆ ไป

“ถ้าเราทำให้เป็นวิชาการมากเกินไป น้อง ๆ เบื่อแน่นอน เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของเราคืออายุ 8-15 ปี ถ้าเด็กกว่านี้ จะทำให้เราต้องใช้พี่เลี้ยงประกบน้อง 1 ต่อ 1 ทำให้เราเสียคนทำงานไปโดยเปล่าประโยชน์”

นิกกี้เล่าว่า กิจกรรมช่วงเช้าของการจัดค่าย จะเป็นเกมหนัก ๆ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กสนุกแต่ก็แทรกการเรียนรู้ไปด้วย เช่นกิจกรรม “ตัวเองเป็นใคร” ผ่านการวาดรูปที่เป็นตัวแทนของตัวเอง จากนั้นให้ไปหาสิ่งของแทนคำจำกัดความของตัวเอง และให้บอกเหตุผลของการเลือกสิ่งนั้น น้อง ๆ ที่มาเข้าค่ายเลือกสิ่งของที่สามารถแทนตัวเองได้ และบอกเหตุผลว่าเลือกสิ่งนี้เพราะอะไร

จากนั้นให้น้อง ๆ รู้จักตัวเองผ่านชุดคำถามคือ 1. ฉันเป็นใคร ชื่ออะไร นามสกุลอะไร นามสกุลของตัวเองมาจากที่ไหน มีความสัมพันธ์กับชุมชนอย่างไร 2. ฉันเป็นคนโชคดีเพราะที่บ้านฉันมีอะไร ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นการพาน้อง ๆ ออกไปสำรวจรอบหมู่บ้านโดยใช้รถอีแต๋น ไปดูมาของชื่อบ้านดงหลวงสบลี้ ไปดูต้นไม้ประจำหมู่บ้าน ไปทำความรู้จักกับสถานที่สำคัญ ๆ ของชุมชน และไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ของหมูบ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ ค้นพบคำตอบของตัวเองว่า เราโชคดีที่หมู่บ้านเรามีอะไร

“ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่าเด็กในหมู่บ้านเราเป็นเด็กแบบไหน มีลักษณะอะไร แต่เราไม่เคยได้ยินเขาพูดในแง่วิชาการ แต่พอเขาออกไปนำเสนอ ก็เห็นว่ามี 4 -5 คนพูดจาฉะฉาน บอกได้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ เพราะอะไร ยังไง พูดแบบวิชาการจนเขากลายเป็นจุดเด่นของกลุ่ม บางคนมีลักษณะของความเป็นผู้นำชัดเจน”

และเมื่อจัดค่ายครั้งที่ 2 ก็เป็นจริงตามทฤษฎี “ความสนุกสร้างความประทับใจ” เพราะรอบสองมีเด็กเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แม้คนเดิมหายไปแต่ก็มีคนใหม่เข้ามามากถึง 40 คน

“ทำให้เราต้องมาจัดระบบหน้างานกันใหม่ บทบาทต้องชัดขึ้น เพราะรอบสองของค่ายเป็นการทำแผนที่ชุมชนคือการพาออกไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดทำเป็นแผนที่ เราต้องดูแลน้อง ๆ ให้อยู่ในเส้นทางที่กำหนดให้ได้ห้ามพลาด” นิกกี้บอกวิธีการบริหารจัดการงานเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด

บริหารทีมเป็น + จัดการเวลาได้ = เงื่อนไขทำงานให้ลุล่วง

แม้จะมีเวลาค่อนข้างจำกัด และทีมแกนนำหลักต่างมีภารกิจ แต่ด้วยความเชื่อที่ว่า “จิตอาสาสร้างได้” บวกกับอยากออกนอกกรอบเดิม ๆ ดังนั้นการวางแผนทำงานให้รัดกุมจึงถือเป็นเรื่องสำคัญของทีมที่จะทำให้น้อง ๆ “รักบ้านเกิดตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกให้รัก” โดยแกนนำหลักต้องมาประชุมก่อนว่า ในแต่ละกิจกรรมจะวางบทบาทของทีมทำอย่างไร

อย่างที่บอกคือแผนของเราคือการจัดค่าย 2 ครั้ง โดยมีน้อง ๆ ในชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 30 คน เมื่อคนทำงานมีเวลาว่างไม่ตรงกัน เพราะต้องทำงาน และเรียนหนังสือ เราจึงวางระบบ ให้มีทีมหลัก กับ ทีมหนุน ทีมหลักคือขิมและนิกกี้ทำหน้าที่เป็นคนนำในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมร่วมกับทีมหนุน ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในชุมชน

“เราอยากทำงานตรงนี้เพราะเป็นชุมชนของเราเอง อีกอย่างก็อยากช่วยพี่ ๆ ซึ่งไม่ค่อยมีเวลาว่างเรื่องจากพวกเขาต้องไปทำงาน ถึงจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่ารุ่นพี่ แต่เราก็เลือกที่จะทำ หลังประชุมวางแผนและแบ่งงานกันแล้ว ทีมที่อยู่ที่ชุมชนก็จะคุยกันว่ามีใครมาได้บ้าง ถ้าเหลือกันอยู่ 2 คนก็ต้องทำกันสองคนแต่ถ้าเหลือคนเดียวก็ต้องทำคนเดียว แต่การทำงาน คนเดียวหรือสองคนไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลือจะไม่รู้ เพราะเราสื่อสาร และปรึกษากันผ่านเฟซบุ๊ก พี่ ๆ ก็จะรับรู้ด้วยว่าทำอะไรกันไปถึงไหน” ขิมบอกความมุ่งมั่น

ผลของการบริหารทีมและเวลา เมื่อถึงช่วงของการจัดค่าย มีทีมหนุนมาช่วยงานกว่า 20 คน

“ผมมองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ตอนแรกไม่คิดว่าเราจะทำได้ ถ้าจะให้ตอบว่าบทเรียนจากการทำโครงการคือเรื่องอะไร คำตอบคือ เราพุงเป้าไปที่การสร้างคนรุ่นใหม่คือเด็กเล็ก ๆ ในชุมชนมากเกินไป โดยลืมมองน้อง ๆ ที่เป็นทีมงานของเราเอง เราเห็นว่าพวกเขามาช่วยงานอย่างแข็งขัน ซึ่งจริง ๆ แล้วกลุ่มนี้แหละคือกำลังหลักที่จะมาสานต่องานของหมู่บ้านในอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ช่วยกันพัฒนาน้อง ๆ คนรุ่นต่อ ๆ ไปนะครับ” นิกกี้เล่าความรู้สึก

ด้านขิมชี้ว่า ตลอดช่วงเวลาของการทำโครงการ แม้เธอจะเข้ามามีบทบาทในทีมค่อนข้างน้อย แต่ประเด็นที่เธอเห็นคือการสื่อสารและให้กำลังน้อง ๆ ที่ทำงานอยู่ในชุมชน

“อย่างน้อยการส่งข้อความเข้ามาทักทายในเฟซบุ๊ก ก็ทำให้น้อง ๆ มีกำลังใจในการทำงาน เพราะพวกเขาจะรู้ว่าพี่ ๆ ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน”

และในส่วนของน้อง ๆ รุ่นใหม่ ถึงขณะนี้อาจจะยังระบุไม่ได้ว่า “จิตอาสา” เกิดขึ้นแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ ๆ คือ ทีมงานในโครงการหลัก บวกกับ “ทีมหนุน” อีกว่า 20 ชีวิต คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมของโครงการนี้


โครงการต๋ามฮีตโตยฮอยกอยบ้านเกิด

ที่ปรึกษาโครงการ : แสงจันทร์ มโนสร้อย

พี่เลี้ยงโครงการ :

  • ดาวเรือง ตุ้ยดง
  • ชิตนุสรณ์ ตาจุมปา

ทีมงาน :

  • วรรณิกานต์ ตาจุมปา
  • วิมพ์วิภา กันทาดง 
  • ฐิติชญา หอมนาน
  • ทิวากร สุพรรณ 
  • วราพิมพ์ กันทาดง