การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อสืบสานนาฎลีลาและกลองปู่จา ชุมชนบ้านบวก จังหวัดลำพูน ปี 1

นาฏลีลาผสานกลองปู่จา

เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

แม้โลกยุคดิจิตอลจะใช้เพลงแร็พเล่าเรื่องราวบ้านของตนเองว่า “มีอะไร” แต่ที่บ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เด็ก ๆ บอก “แบบนั้นพวกหนูไม่ถนัด” เพราะทักษะที่มีคือการร่ายรำผ่านบทเพลงและท่วงทำนองที่อ่อนช้อยงดงาม

แม้วิธีการเล่าจะต่างกัน แต่วิธีที่เหมือนกันคือต้องมีเนื้อหา (content) ในการนำเสนอ แร็ป คือการด้นกลอนสด มักมีเนื้อหาของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มุทะลุ ถากถาง เสียดสี วัตถุดิบเนื้อหามักมาจากความคับข้องใจในชีวิตที่เผชิญ

แต่ของบ้านบวก เด็ก ๆ อย่าง เดียร์-จิณห์นิภา ธิกันงา, สายฟ้า-สิรภัทร หล้าเป็ง, ภูมิ-ภูวฤทธิ์ จี๋ภิโร,น้ำมนต์-ธัญญาภรณ์ สมฝั้น และน้องใหม่อย่าง แบม-พิมพ์ชนก หล้าแป้น ต้องใช้เวลาลงพื้นที่ พกพาคำถามที่ตระเตรียมมาอย่างดีเพื่อไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ เก็บรวบรวมข้อมูลวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี นำมาสื่อสารให้คนอื่น ๆ ในชุมชนได้รับรู้ ชื่นชม และดำเนินรอยตามความงดงามของวิถีชีวิตของชุมชนภายใต้โครงการสืบสานนาฏลีลากลองปู่จาของชุมชนบ้านบวก ตำบลดงดำ อำภอลี้ จังหวัดลำพูน

จุดเริ่มต้นของกลองปู่จา

“เราอยากใช้ความถนัดทางด้านการฟ้อนรำของเราเล่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน”

เดียร์บอกแนวคิดการสื่อสารเรื่องราวของชุมชน ก่อนอธิบายว่า กว่าจะได้แนวคิดแบบนี้ สมาชิกในทีมและพี่เลี้ยงผ่านการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปกันพอสมควร เพราะเมื่อเริ่มต้นจะทำโครงการ เด็ก ๆ เลือกที่จะดำเนินรอยตามกิจกรรมที่ผู้ใหญ่นำร่องไว้ให้แล้ว นั่นคือเรื่องการดูแลผืนป่าและแหล่งน้ำ แต่ครูพี่เลี้ยงอย่าง ครูโย-โยทกา พิงคะสันต์ เห็นว่าน่าจะเกินความสามารถของเด็ก ๆ

“ประเมินระยะเวลาการทำโครงการที่มีเพียง 6 เดือน เราคิดว่าไม่น่าจะทำเสร็จ ซึ่งเด็ก ๆ เองก็เห็นด้วย แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำโครงการอะไรดี เลยแนะนำไปว่า ลองดูเรื่องใกล้ๆ ตัว เอาเรื่องที่พวกหนูถนัด”

ซึ่งเรื่องที่ถนัดและใกล้ตัวที่สุดคือ “ดนตรีและการร่ายรำ”

เดียร์บอกว่า เธอสังเกตเห็นกลองปู่จาตั้งอยู่เฉย ๆ อยู่ที่โรงเรียนและไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร

“เดี๋ยวนี้หนูไม่ค่อยเห็นคนตีกลองปู่จากันแล้ว แต่เดิมทีกลองปู่จาจะเป็นการตีบูชาและเรียกรวมคนมาที่วัดเท่านั้น ไม่มีการรำฟ้อนประกอบ หนูว่าคิดว่าถ้าเอามาตีประกอบการฟ้อน มันต้องสวยงามแน่นอน”

เปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นบทกลอน แปลงบทกลอนเป็นท่ารำ

“พวกเราไปนั่งพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ถามว่าสมัยก่อนแม่อุ้ยทำอะไรกันบ้าง เขาบอกว่าก็ไปเก็บผักเก็บปลา เรานั่งฟังเขาเล่าพร้อมกับจดบันทึก จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาดู เรียบเรียง และทดลองเขียนเป็นบทกลอนสั้น ๆ ซึ่งก็ยากเหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนข้อมูลเป็นบทกลอน เพราะต้องเขียนคำให้คล้องจองกัน พอแต่งเสร็จก็ต้องเอาให้ครูสมชาย ชัยอนันตยศ ช่วยตรวจสอบอีกที พอมาถึงการแปลงภาษาเป็นท่ารำก็ยากอีก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาท่าไหนให้เหมาะกับคำของเพลง” เดียร์เล่าพลางทำท่าประกอบ

“อย่างท่อน หลกเป็ดหลกไก่ ก็ทำท่าเหมือนเราหยิบ (จีบคว่ำ) คือเลือกท่าที่สื่อความหมายได้คล้ายกับคำให้มากที่สุด ใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกันกว่าจะได้แต่ละท่า”

อย่างไรก็ตาม แม้จะพบกับความยากลำบาก แต่พวกเธอก็ผ่านมาได้ โดยความช่วยเหลือของครู และความมุ่งมั่นพยายามของทีม และในท้ายที่สุด เด็ก ๆ ก็สามารถ แต่งเพลงที่สะท้อนเรื่องราวอัดงดงามของชุมชนได้ 3 บทเพลง ประกอบด้วย เพลงหลกเป็ด ย่าจุ่ม และเพลงสาวเก็บผัก

--

หลกเป็ด หลกไก่ หลกเป็ด หลกไก่ หลกบ่อได้ ก๊าบตื้น ก๊าบตื้น ฟ้าบ่อฮ้อนฝนตึงบ่อตก โต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่งโต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่ง

--

ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง

--

สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก แม่ฮ้างซ้อนกุ้ง สาวหัวยุ่ง เก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง สาวหัวยุ่งเก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง ...

--

เพลงหลกเป็ดคิดท่ารำได้ 6 ท่า เพลงย่าจุ่มมี 5 ท่า ส่วนเพลงสาวเก็บผักมี 4 ท่า เดียร์และน้ำมนต์เล่าพร้อมช่วยกันทำท่าทางประกอบให้เห็น

เดียร์บอกว่า เหตุผลที่เลือก 3 เพลงนี้ เพราะเพลงย่าจุ่มเป็นการเล่าถึงวิถีชีวิตของคนทำนาสมัยก่อน ส่วนเพลงสาวเก็บผัก เนื้อหาจะบอกให้รู้ว่าคนสมัยก่อนจะเก็บผักริมรั้ว จับปลาในคลองมาทำอาหารโดยไม่ต้องซื้อ และเพลงหลกเป็ดจะบอกเล่าเกี่ยวกับความเชื่อของคนสมัยก่อนที่จะมีพิธีเลี้ยงผี ที่ชาวบ้านจะช่วยกันหลกเป็ด (ดึงขนเป็ด) เพื่อนำมาประกอบในพิธี ซึ่งทั้ง 3 เพลงน่าจะเป็นการสะท้อนวิถีชีวิตของชุมชนบ้านบวกได้ดีที่สุด

ขณะที่สาวๆ กำลังสาละวนอยู่กับการคิดท่ารำเพื่อให้เข้ากับเนื้อเพลง สายฟ้าเด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ตีกลองปู่จาก็ต้องซ้อมตีกลองให้เขากับทำนองเช่นกัน

“ตอนที่ซ้อมตีใหม่ๆ ครูสมชายให้ฝึกตีกลองสะบัดชัยก่อน รู้สึกว่าจังหวะจะเข้าได้กับพวกหลกเป็ดหลกไก่ ผมก็เลยลองฝึกตีดู ตอนแรกตีได้แค่หลกเป็ดหลกไก่ แต่ตีได้ยังไม่สุดนะครับ เพราะกลองปู่จาจะมีกลองเล็ก 3 ใบและกลองใหญ่ 1 ใบ ผมยังจำโน้ตไม่ค่อยได้ ครูจะเขียนโน้ตแปะไว้ให้ที่หน้ากลอง กลองเล็กจะเป็น 1 2 3 ส่วนกลองใหญ่แทนด้วย 0 ผมก็ฝึกตีตามนั้น เช่น หลกเป็ดหลกไก่ ก็ตี 1 2 3 0, 1 2 3 0”

สายฟ้าอธิบายขั้นตอนการฝึกและความยากของการตีกลองปู่จาให้ฟัง เพราะเป็นเพลงใหม่ ทำนองใหม่ที่ต้องเล่นใหม่ทั้งหมด สายฟ้าจึงต้องใช้เวลาฝึกซ้อมค่อนข้างนานกว่าจะเล่นได้

ด้านภูมิและเพื่อนสมาชิกที่ทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีคุมจังหวะ เช่น ฆ้อง และฉาบก็ต้องซ้อมเล่นเพื่อคอยคุมจังหวะให้กลองปู่จาและการฟ้อนนาฎลีลาสามารถเข้ากันได้ เมื่อต่างคนต่างซ้อมจนชำนาญจึงจับมาเล่นรวมกันเพื่อให้ผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

นาฏลีลา+กลองปู่จา ความงดงามที่ลงตัว

หลังฝึกซ้อมจนชำนาญ ก็ได้เวลาที่กลองปู่จา เครื่องดนตรีให้จังหวะ และเหล่านาฏลีลาจะได้มาซ้อมร่วมกัน เพื่อให้ท่ารำและท่วงทำนองของดนตรีไปด้วยกันได้ ซึ่งในช่วงแรก ๆ จังหวะของท่ารำและการตีกลองปู่จายังจูนกันไม่ติด ยังตีฆ้องเพี้ยน ตีช้า ไม่ตรงกับจังหวะของกลองปู่จา ต้องใช้เวลาจูนความพร้อมกันพักใหญ่ กว่าท่ารำ กลองปู่จา และฆ้อง ฉาบจะผสมผสานกันจนได้ลงตัว

สายฟ้าเล่าปัญหาในช่วงนั้นให้ฟังว่า “ตอนแรกๆ มีหงุดหงิดบ้าง เพราะฆ้องตีช้า ฉาบก็ตีเพี้ยน จนผมไม่มีสมาธิจะตีกลอง พอเขาตีช้าก็พาผมล่มไปด้วย พอเริ่มใหม่เขาก็ตีเร็วไปอีก ยิ่งตีก็ยิ่งเพี้ยน คนรำก็รำไม่ได้ มันส่งผลถึงกันเป็นลูกโซ่ ต้องซ้อมกันอยู่นานพอสมควรครับ กว่าจะจับจังหวะได้” สายฟ้าบอกว่าที่เขาสามารถผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะความตั้งใจที่อยากตีกลองปู่จาให้ได้ เลยทำให้เขาอดทนหมั่นซ้อมอยู่เรื่อยๆ จนชำนาญ

เมื่อฝึกซ้อนจนชำนาญ ไม่มีเพี้ยนแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปเล่าเรื่องราวของชุมชนผ่านการร่ายรำ

ต้องลงมือทำเท่านั้นถึงจะรู้

คำถามที่นำมาสู่ การผสมผสานระหว่างกลองปู่จาและนาฏลีลาของเด็ก ๆ ทีมบ้านบวกคือ “หากเอาเสียงกลองปู่จ่ามาผสมกับการรำจะออกมาเป็นอย่างไร” ทำให้เด็ก ๆ ออกไปเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ซึ่งในกระบวนการทำงาน ไม่เพียงแต่ทำให้ชุมชนบ้านบวกเกิดการแสดงนาฏลีลาร่วมกลองปู่จาแนวใหม่ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนเท่านั้น แต่กระบวนการทำงานยังทำให้ทีมงาน “เกิดทักษะใหม่” หลายอย่าง

เดียร์และน้ำมนต์บอกว่า ถึงวันนี้พวกเธอรู้สึกภูมิใจที่สามารถดึงเอกลักษณ์ของชุมชนมาเป็นเอกลักษณ์ของการแสดงได้ เวลามีงานสำคัญตามประเพณีต่างๆ ชาวบ้านจะมาเชิญชวนให้พวกเธอไปแสดง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เด็กและผู้ใหญ่ได้มีโอกาสพูดคุยกัน

“ก่อนหน้านี้ถ้าไม่มาเข้าร่วมโครงการก็คงใช้เวลาแว้นรถไปมา สลับกับรับจ้างเก็บลำใย แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนจากแว้นรถมาแบ่งเวลาซ้อมตีกลองปู่จาแทน” สายฟ้ายังบอกอีกว่าเขายังชักชวนก๊วนเพื่อนสายแว้นให้มาร่วมตีกลองปู่จาด้วย

ส่วนเดียร์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขี้อาย เวลารำจะตัวสั่นเกร็ง การได้หมั่นฝึกซ้อมทำให้เธอเกิดความมั่นใจ อาการสั่นหายไป กลายเป็นฟ้อนไปยิ้มไปด้วยความภาคภูมิใจในบทเพลงที่พวกเธอแต่งขึ้น

ด้านน้ำมนต์ก็ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองจากการทำโครงการนี้ คือ ทักษะการตัดต่อวิดีโอ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยลองทำ แต่เมื่อมีโอกาสได้เข้าอบรมทำให้เธอรู้สึกสนใจและกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติม จนสามารถตัดต่อวิดีโอได้ดีขึ้น ส่วนความกล้าแสดงออกก็มีมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยพูดกับใคร แต่การได้ลงพื้นที่พูดคุยกับกับชาวบ้านที่ต้องถามข้อมูล ทำให้ต้องกล้า ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อมูล

ส่วนภูมิน้องคนเล็ก ที่พี่ๆ ต่างฝากความหวังไว้ให้สานต่อโครงการก็บอกว่า เขารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องงานเอกสารที่ทำเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น

“และทำได้ดีด้วย” พี่ ๆ ช่วยกันยืนยัน


โครงการสืบสานนาฏลีลากลองปู่จาของชุมชน

ที่ปรึกษาโครงการ :

  • ครูโยทกา พิงคะสันต์ 
  • ครูศุภาพิชญ์ ทองชัย

ทีมงาน :

  • ภูวฤทธิ์ จี๋ภิโรจิณห์
  • นิภา ธิกันงา
  • ธัญญาภรณ์ สมฝั้น
  • พิมพ์ชนก หล้าแป้น
  • สิรภัทร  หล้าเป็ง