การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ จังหวัดสงขลา ปี5

ชาร์จใจใส่พลังงานสู่ชุมชน

โครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์

หลังประสบความสำเร็จจากการนำพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดมาใช้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายแก่กลุ่มเกษตรกร น้อง ๆ เจ้าของไอเดีย “ลดพลังงานเสียเงินหันมาใช้พลังงานทางเลือก” จากโรงเรียนจะนะชนูปภัมภ์ที่ประกอบด้วย พิก-อนุพงศ์ ศรีสุวรรณ์ บอม-วุฒิชัย แก้วล้อมวัน เคน-กฤษติพงษ์ หนูนุ่ม เรมี-กรราชัน กลับทับลัง และเกม-วชิรวิชญ์ แสงเจริญ จึงอยากสานต่องานของรุ่นพี่ ซึ่งจบการศึกษาออกไป ด้วยการขยายผลการดำเนินงาน ด้านพลังงานทางเลือก ไปยังชุมชนใกล้โรงเรียน เนื่องจากอยากให้คนใน ชุมชนรู้จักพลังงานทางเลือกในวงกว้าง และหวังว่าหากนำความรู้ตรงนี้ไปให้ชุมชน ในอนาคตชาวบ้านจะสามารถปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานในครัวเรือนของตัวเอง

“โครงการนี้ปีนี้เป็นปีที่ 2 ยังคงใช้ชื่อโครงการเดิมครับ พอรุ่นพี่จบไปรุ่นผมก็ต้องสานต่อ มีน้องมาเพิ่มอีก 2 คน ก็คือน้องเกมกับน้องเรมี ปีแรกเราทำเฉพาะในโรงเรียนก็คือใช้โซล่าเซลล์ กับผักไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งใช้งานเฉพาะในโรงเรียน พอเข้าสู่ปีที่ 2 เราอยากลงพื้นที่ชุมชนเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ชุมชน เพราะเราไม่อยากรู้คนเดียว เราอยากให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์” พิกเล่า

­

ขยายผลความรู้สู่ชุมชน

พื้นที่ชุมชนที่ทีมงานเลือกเป็นแหล่งเรียนรู้เกษตรพอเพียงของ นายวร อุปมล เกษตรกรในพื้นที่ ตำบลภูศักดิ์สิทธิ์ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยมีครูเทพ-สุเทพ คงคาวงศ์ ที่ปรึกษาโครงการ แนะนำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว นอกจากเป็นแหล่งเรียนรู้และศึกษาดูงานของนักเรียน นักศึกษาและเกษตรกรทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังตรงกับเกณฑ์ที่ทีมงานตั้งไว้นั่นคือ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้

“ที่เลือกสวนของน้าวรเพราะเป็นพื้นที่นี้ตรงตามแผนที่เราวางไว้ คือ มีพื้นที่เกือบ 3 ไร่ และยังไม่มีไฟฟ้า น้าวรให้เหตุผลว่าถ้าจะใช้ไฟฟ้าต้องไปติดต่อกับทางการให้มาติดตั้งระบบเสาไฟฟ้าเพื่อเดินสายไฟ คือต้องจ่ายเงินเป็นแสนเพราะทางการต้องขยายพื้นที่การใช้ไฟฟ้า ซึ่งพื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่สวนไม่ใช่แหล่งชุมชน บริเวณนี้จึงมีเพียงกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ใช้สำหรับนอนเฝ้าสวน กลางคืนน้าวรจะใช้เทียนไขจุดเพื่อให้แสงสว่าง น้าวรทำแปลงเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงคือมีนาแปลงเล็กๆ มีบ่อปลา ปลูกอ้อยปลูกผัก ปลูกหน่อไม้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วยมีคนเข้ามาดูงานบ่อย ๆ มีคนดูแลรับผิดชอบชัดเจน คือน้าวร ดังนั้นการนำแผงโซล่าเซลล์เข้ามาติดตั้งน่าจะเป็นประโยชน์ในการดูงานของคนอื่น ๆด้วย” พิกเล่า

หลังจากทีมงานได้ลงไปสำรวจและพูดคุยถึงจุดประสงค์ในการเข้ามาติดตั้งแผงโซลาเซลล์ พร้อมทั้งสำรวจค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน อาทิ ค่าใช้จ่ายสำหรับซื้อเทียนไข ค่าน้ำมันจากเครื่องยนต์สูบน้ำ ซึ่งโดยรวมแล้วน้าวรมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดเป็นเงิน 300 บาท/เดือน

เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ทีมงานกลับมาประชุมวางแผนถึงรายละเอียดของการทำงาน พร้อมทั้งคำนวณถึงต้นทุนของการติดแผงโซลาเซลล์ ว่า สามารถลดค่าใช้จ่ายรายเดือนของน้าวรได้มากน้อยแค่ไหน สวนที่นี่ต้องใช้แผงขนาดกี่นิ้วเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่

“ผมเป็นคนติดตั้งโดยมีเรมีกับเกมเป็นลูกมือ พื้นที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ต้องเป็นที่โล่งไม่มีอะไรมาบดบังแสงแดด โซลาร์เซลล์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อแสงตกกระทบกับเซลล์แบบตั้งฉากการติดตั้งแผงต้องทำมุม 15 องศาจากพื้นดิน และต้องอยู่ใกล้บริเวณที่ใช้งานเพราะสายไฟไม่ยาวมาก ที่คำนวณมาสวนน้าวรต้องใช้แผงใหญ่ขนาด 300 วัตต์ ที่เราเลือกแผงใหญ่เพราะราคาจะถูกกว่าการใช้แผงขนาด 100 วัตต์ 3 แผง อีกอย่างแผงใหญ่สามารถเก็บพลังงานได้เยอะกว่าแผงเล็ก ในแต่ละวันใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 ชั่วโมง ถ้าได้รับแสงเต็มที่ก็จะได้แบตเตอรี่ 2 ลูก แผงโซลาร์เซลล์ที่นำไปติดตั้งมีอายุการใช้งานประมาณ 25 ปี และจากที่สำรวจมาพบว่ากิจวัตรประจำวันของน้าวร คือ การรดน้ำต้นไม้ ผักในช่วงเช้าประมาณ 1-1.30 ชม.โดยใช้ปั๊มน้ำ ซึ่งแบตที่ชาร์จไว้เพียงพอต่อการใช้งานในสวนขนาดนี้ครับ” บอมเล่า

และเมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว บอมและทีมงานได้อธิบายถึงการใช้งานและการบำรุงรักษาให้แก่น้าวรและชาวบ้านที่เข้ามาดูการติดตั้ง บอมยอมรับว่า ตอนติดตั้งไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือประหม่ามากเท่ากับการอธิบายต่อหน้าคนในชุมชน เพราะไม่ชินกับการพูดคุยในที่สาธารณะ เช่นเดียวกับพิกที่แม้ว่าจะกล้าแสดงออกแต่ด้วยวัยวุฒิที่น้อยกว่าความรู้สึกต่างๆ จึงถั่งโถมสู่ทุกคนในทีม

“คนในชุมชนเขาจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา คือเราต้องอธิบายให้เขาเข้าใจเหมือนกับเรา ความรู้สึกคือคิดไปเอง กลัวไปเอง ว่าจะต้องพูดให้คนโตกว่าฟัง กลัวเขาไม่เข้าใจคำพูดของเรา เลยรู้สึกว่ายาก” พิกให้เหตุผล แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อชาวบ้านทุกคนให้ความร่วมมือในการรับฟังและสอบถามข้อมูลอย่างสนใจ ความเครียดและการคิดไปเองของทุกคนจึงหายไปในที่สุด

หลังจากวันนั้นทีมงานได้ลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าของการใช้งาน ซึ่งพบปัญหาแผงรับแสงแดดไม่เต็มที่ ทำให้ได้แบตเตอรี่ไม่เต็ม ทางทีมงานจึงแนะนำให้น้าวรตัดกิ่งไม้ที่บดบังออก ทำให้การใช้งานแผงโซล่าเซลล์ดีขึ้น

­

คาบแห่งการเรียนรู้และลงมือทำ

ขณะเดียวกันทีมงานยังมีการจัดกิจกรรมอบรมความรู้เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์ในโรงเรียนด้วย โดยแบ่งเป็น 2 รอบ รอบแรกเป็นนักเรียนชั้น ม.5 ส่วนรอบสองป็นนักเรียนชั้น ม.2 โดยมีการอบรม 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ทำความรู้จักกับพลังงานโซลาร์เซลล์ 2.ทักษะเบื้องต้นเกี่ยวกับการต่อแผงวงจรโซลาเซลล์ และ 3.ขยะอิเล็กทรอนิกส์

จุดประสงค์ของการอบรมทีมงานเล่าว่า ต้องการให้น้องๆในโรงเรียนรู้จักกับพลังงานทางเลือกเบื้องต้นได้อย่างเข้าใจและเข้าถึงยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละรอบมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 20 คน โดยใช้คาบวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ของครูเทพเป็นคาบอบรมให้ความรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

“ตอนแรกเราวางแผนกันว่าจะชวนวิทยากรข้างนอกเข้ามาช่วยอบรมแต่ช่วงเวลาที่จัดเขาไม่ว่าง เลยต้องเป็นคนในทีมที่เป็นวิทยากรเอง คือผมกับบอมเป็นวิทยากรหลักและมีครูเทพเป็นวิทยากรร่วม อบรมโดยใช้คาบวิชาเรียนของครูเทพซึ่งจะมีน้องที่เรียนเรื่องนี้อยู่แล้ว หลักสูตรที่สอนจะเหมือนกันทั้งม.ต้น ม.ปลาย แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ ม.5 เขาจะชัดเจนมากกว่า ม.2 โดยเฉพาะในเรื่องการทดลอง คือเขามีความเชี่ยวชาญและชำนาญกว่าน้อง ม.2 การอบรมวันนั้นใช้เวลาเรียน 2 คาบต่อกัน” พิกเล่า

ซึ่งแกนนำหลักทั้งหมดยอมรับว่าการอบรมแม้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่แอบกังวลเพราะขึ้นชื่อว่าการอบรมความรู้สึกแรกคือ “ไม่สนุก” และหากทีมงานที่เป็นวิทยากรเล่นมุขแป๊กจะกลายเป็นความ “น่าเบื่อ” แต่ในที่สุดทีมงานก็ผ่านด่านอบรมไปได้ด้วยดี ด้วยเทคนิคสันทนาการและลูกเล่นต่างๆ ที่งัดเข้ามาใช้ระหว่างการทำกิจกรรม

“ความรู้สึกของเราก็คือ กลัวน้องเขาไม่รับ กลัวน้องเขาไม่ชอบ กลัวน้องเบื่อ เรานึกถึงตัวเราเวลาเราไปนั่งอบรมถ้าไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรก็จะเบื่อ แต่ถ้าเป็นสันทนาการเราก็ไม่เบื่อ เราก็เลยเอาตรงนั้นที่เรามีความรู้ด้านเอนเตอร์เทนเข้ามาแทรกด้วย” พิก เล่า

“เพราะว่าการต่อวงจรไม่ยากมาก เข้าใจง่าย เราเห็นปฏิกิริยาของน้อง เห็นผลตอบรับของน้อง อย่างตอนนำเสนอที่มีตัวหนังสือขึ้นบนจอเขาก็จะฟังนิ่ง ๆ แต่พอมาต่อวงจรอะไรแบบนี้ เขาก็เริ่มที่อยากจะทำด้วย ขอทำด้วย ก็เริ่มสนุก ผมว่าถ้าเขาได้ทดลองได้ทำและถ้าต่อเป็นก็จะสนุกว่าการที่จะมานั่งอบรมแล้วเจอแต่ตัวอักษรเพียงอย่างเดียว” บอม เสริม

­

จับมือเคลื่อนงานต่อจนจบ

แม้ช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาสานต่อการทำโครงการจากรุ่นพี่จะลุ่ม ๆดอน ๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่พิกยอมรับว่าไม่อยากเดินหน้าต่อ แต่ด้วยความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้า โครงการนี้จึงยังคงขับเคลื่อนต่อจนจบ

“ช่วงแรกๆ ก็คิดเหมือนกันว่าจะต่อดีไหม ด้วยเรื่องของเวลาด้วย เราจะมีเวลาพอไหม พอเข้ามาแล้วก็มีปัญหาเรื่องของเวลาจริงๆคือเรียนไม่เหมือนกันเจอกันยาก คิดอยากจะหยุดแต่เราก็ไม่กล้าทิ้งงานให้น้องทำเพราะกังวลว่าน้องจะทำได้ไหม ในฐานะรุ่นพี่ไหน ๆ เข้ามาได้แล้วก็ต้องต่อทำให้จบ”

ขณะเดียวกันแรงจูงใจที่ทำให้พิกยังคงทำโครงการต่อเพราะแต่ละครั้งที่พี่ ๆ โคชสงขลาจัดกิจกรรมเวิร์กชอป พิกได้เห็นแนวทางในการทำงานร่วมกับชุมชน อย่างเวิร์กชอปที่พิกรู้สึกประทับใจคือเรื่อง“ปัญหาขยะจากวิถีชุมชน” ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมที่ไม่ได้พาเยาวชนไปเก็บ กวาด ขยะที่เกิดจากพฤติกรรมการทิ้งของคนอื่น เพราะนั่นไม่ใช่การจัดการปัญหาอย่างแท้จริง แต่เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อต้องการปลูกจิตสำนึกและหาแนวทางร่วมกันของเยาวชนในฐานะพลเมืองรุ่นใหม่ ในการจัดการกับขยะที่เกิดจากตัวเองก่อน ก่อนจะจัดการกับขยะที่เป็นปัญหารวม

“กิจกรรมครั้งนั้นลงชุมชนเก้าเส้ง ซึ่งเป็นชุมชนที่เราไม่เคยเข้ามา พอเข้าไปทำให้เราเห็นใจกับปัญหาหลายๆ อย่างของเขา เราก็เดินเข้าไปสอบถามพูดคุยกับชาวบ้าน เราตั้งประเด็นกันก่อนว่าปัญหาของเขาเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วสอบถามชาวบ้านจากนั้นก็นำประเด็นกลับมาคิดกันในกลุ่มต่อว่าเราจะมีวิธีการแก้ปัญหายังไง ตกผลึกหาแนวทางร่วมกัน”

ด้านบอม สะท้อนว่า เข้าร่วมโครงการนี้ทำให้เขาได้ความรู้ในเรื่องพลังงานทางเลือกอย่างโซลาร์เซลล์มากขึ้น เนื่องจากได้ทั้งทฤษฎีและได้ลงมือปฏิบัติจริงตั้งแต่การหาข้อมูล ตลอดจนการติดตั้งแผง ที่สำคัญได้ความรู้จากวิทยากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาสอนในโรงเรียนด้วย

“พอได้เข้ามาทำโครงการ ได้ความรู้จากวิทยากร และได้ลงมือปฏิบัติก็ทำให้เกิดความรู้ตรงนี้ขึ้นมารู้สึกชอบตั้งแต่ตอน ม.5 ที่อาจารย์สมพร ช่วยอารีย์ เป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มาให้ความรู้ในเรื่องวงจรไฟฟ้า เรื่องโซล่าเซลล์ ซึ่งตรงกับที่เราเรียนสายวิทย์มา สามารถนำความรู้ได้ที่มาใช้ได้ด้วยและได้ความรู้ใหม่เพิ่มเข้ามาได้ลองทำ บางทีต่อแล้วลัดวงจรบ้างก็ได้เรียนรู้ไปว่าต้องแก้ไขยังไง ที่ถูกต้องต้องต่อแบบไหน”

ส่วนเคน ยอมรับว่า เขาชื่นชอบเกี่ยวกับการต่อวงจรแผงไฟฟ้าและชอบลงมือปฏิบัติอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว เมื่อฟอร์มทีมกันใหม่เพื่อสานต่องานเดิมของปีที่แล้วจึงให้ความร่วมมือเต็มที่ ยินดี เนื่องจากเคยเป็นผู้ช่วยพวกพี่ ๆ มาก่อน พอขึ้นมาเป็นแกนนำทำให้มีโอกาสได้เข้ามาช่วยทีมอย่างเต็มตัว ทำให้รู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานนี้

ด้านเรมี สะท้อนว่า โครงการนี้ทำให้เขามีความรู้มากขึ้น โดยเฉพาะการต่อแผงวงจร เช่นเดียวกับเกมที่ยอมรับว่าการเข้ามาร่วมทีมแรกๆ รู้สึกกังวลว่า จะยุ่งยากหรือเปล่า และหากเข้าร่วมกิจกรรมแล้วตนจะทำอะไรให้กับทีมได้บ้าง

“ผมอยู่ ม.4 ครับ รุ่นเดียวกับ เรมี ตอนนั้นผมเตรียมตัวกลับบ้าน เจอครูเทพ-สุเทพ คงคาวงศ์ ชวนเข้าร่วมโครงการ ให้ขึ้นไปคุยกับพวกพี่ๆ บนอาคาร พวกผมก็เลยพากันขึ้นไป พี่เขาก็อธิบายให้ฟัง ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำอะไร ยังกังวลอยู่ว่าเราเข้าไปแล้วเราจะมีประโยชน์ไหม พอได้เข้าร่วมได้ทำกิจกรรมก็รู้สึกว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไร จนพักหลังๆ ผมกับเรมี รู้สึกว่าพวกเราไม่มีวันเสาร์อาทิตย์เลย เพราะกิจกรรมเยอะมาก รู้สึกสนุกและอยากทำต่อครับ”

“การเป็นที่ปรึกษาในโครงการนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับเด็ก โครงการนี้สอนให้เด็กดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ในทางที่ถูกต้องในทางที่เขาถนัด ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีประสบการณ์หนึ่ง” ครูเทพที่ปรึกษาโครงการแสดงความคิดเห็นเมื่อถามถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำโครงการ

เช่นเดียวกับนายอำนวย สังราชกิจ ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวเสริมว่า การสนับสนุนให้นักเรียนทำโครงการถือเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเรียนที่นักเรียนสามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วันนี้แม้โครงการจะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่การเรียนรู้ของพวกเขายังไม่จบทีมงานยังคงถ่ายทอดความรู้แก่น้องๆ ในโรงเรียนที่สนใจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเห็นถึงประโยชน์และการใช้งานในระยะยาวสำหรับเทรนด์พลังงานทดแทนในอนาคต


โครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์

ที่ปรึกษาโครงการ : ครูสุเทพ คงคาวงศ์

ทีมงาน :

  • อนุพงศ์ ศรีสุวรรณ์
  • วุฒิชัย แก้วล้อมวัน
  • กฤษติพงษ์ หนูนุ่ม
  • กรราชัน กลับทับลัง
  • วชิรวิชญ์ แสงเจริญ