ไข่ไก่ปลอดเคมี เมนูนี้เพื่อน้อง

‘อาหารจานไข่’ เมนูง่ายๆ ที่ใครก็โปรดปราน เพราะนอกจากไข่จะหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงแล้ว ยังครบถ้วนไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ด้วยปัจจุบันการเลี้ยงไก่ไข่ในเชิงอุตสาหกรรมมักใช้สารเคมีและฮอร์โมนจำนวนมาก ทำให้ไข่ไก่มากประโยชน์อาจปนเปื้อนด้วยสารพิษ
ฟ้า-ขวัญฤทัย ทวีนาน, ไหม-ปิยะธิดา สุขสโมสร, ฟีน่า-อวัสดา หมัดอะดัม, ซัมมาร์-กุลณัฐ สงกา และ จูเนียร์-ภักดีโชติ ภักดีโชติ ?? นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จึงหันมาทำโครงการเยาวชนชวนคิดเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมี เพื่อให้ได้ไข่ไก่ปลอดภัย สำหรับทำขนมและเมนูอาหารกลางวันปลอดภัยให้กับน้องๆ ในโรงเรียน
ทำ 1 อย่างได้ประโยชน์ 3 อย่าง
“จริง ๆ อยากทำเบเกอรี่” จูเนียร์
แต่เนื่องจากวัตถุดิบหลักของการทำเบเกอรี่คือ ไข่ไก่ และในการทำแต่ละครั้ง ต้องใช้ไข่เป็นส่วนผสมมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ หรือ ไข่ไก่จำนวน 8 ฟอง เราไม่อยากใช้เงินลงทุนมาก ก็เลยหันมาเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อนำไข่มาทำเบเกอรี่
การคิดเชื่อมโยงไปถึงการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการมองไปถึงการผลิตวัตถุดิบเอง อาจไม่ถูกต้องตามหลักการผลิตสินค้า เพราะจะทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
แต่น้อง ๆ ทีมนี้ คิดไปไกลกว่านั้น คือการมองเป้าหมาย 3 อย่างคือ อย่างแรก ลดต้นทุนเรื่องไข่ไก่ อย่างที่สอง หากเลี้ยงไก่และให้ผลผลิตปริมาณที่มากพอก็จะนำไปแบ่งปันให้กับน้อง ๆ ในโรงเรียนสำหรับทำอาหารกลางวัน และเป้าหมายสุดท้าย คือการ เผยแพร่ความรู้ด้านการเลี้ยงไก่ปลอดสารเคมีให้แก่ชุมชน
“พอเลือกเลี้ยงไก่ไข่ ก็อยากเลี้ยงไก่ไข่แบบปลอดสารเคมี เพราะดีต่อสุขภาพ” ฟ้า อธิบาย
ซัมมาร์ เล่าว่า หลังจากฟอร์มทีมได้ มีเป้าหมายชัดเจน ก็เริ่มแบ่งหน้าที่กัน ขั้นแรกพวกเขาเริ่มต้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการเลี้ยงไข่ไก่แบบปลอดสารเคมี ก่อนจะลงไปศึกษาดูงานฟาร์มไก่ปลอดสารเคมี ซึ่งมีเธอ ฟ้า และจูเนียร์ รวม 3 คน ไปขอความรู้ที่ฟาร์มบ้านตะเคียนเภา เป็นฟาร์มเลี้ยงไก่แบบปลอดสารเคมีที่เพื่อนต่างกลุ่มแนะนำมา เขาเลี้ยงไก่ 200 ตัว ความรู้ที่ไปถามจากฟาร์ม จะมีทั้งเรื่องหลักการเลี้ยงไก่ปลอดสาร ศึกษาว่าต้องให้อาหารยังไง ถ้าไก่ป่วยต้องดูแลอย่างไร อะไรที่ไก่ไข่กินไม่ได้ ทั้งอาหาร ยา และการดูแล
น้อง ๆ พบว่า วิธีการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมีกับไข่ไก่ทั่วไปมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเลี้ยง อาหาร การรักษาโรค และการใส่ใจดูแล และยังพบอีกว่า ความรู้จากการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารกับไก่ชน หรือไก่ไข่ทั่วไปไม่เหมือนกัน เช่น อาหารของไก่ไข่ปลอดสารเคมีที่กินไม่ได้มีเยอะกว่าไก่ชนมาก เพราะจะติดเชื้อได้ง่ายกว่า
“ตอนแรกที่คิดว่าจะเอาอาหารที่เหลือจากโรงอาหารมาให้ไก่กิน แต่เขาบอกว่าทำไม่ได้ เพราะมีเชื้อโรคมากกว่า แต่ถ้าเป็นข้าวอย่างเดียวกินได้ แต่ปนน้ำแกงไม่ได้ เศษอาหารไม่ได้ พอเป็นแบบนี้ต้องเปลี่ยนวิธีการให้อาหาร หาพืชแทน ซึ่งพืชที่เราไม่เคยคิดว่าไก่ไข่จะกินได้มาก่อน เช่น กระถิน เบญจรงค์ แต่โชคดีหาได้ในโรงเรียนเรา มีเยอะด้วย” ซัมมาร์ อธิบายความแตกต่างระหว่างของการเลี้ยงไก่แบบปลอดสารเคมีและการเลี้ยงไก่แบบทั่วไป
ระดมสมอง ก่อร่าง ‘เล้าไก่’

หลังจากกระจายตัวกันไปสืบค้น สำรวจข้อมูลการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมีในรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ก็ถึงเวลารวมพลระดมสมองนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อออกแบบวางแผนการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมีของตนเอง
“ได้ความรู้มาแล้วก็ประชุมกันอีกรอบ มาช่วยกันคัดกรองข้อมูล เราประชุมกันว่า ใครได้อะไร แล้วแยกประเด็นกันว่า อันไหนจะใช้หรือไม่ใช้ ซึ่งทุกคนลงความคิดเห็นว่าจะเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมีด้วยวิธีการปล่อย หรือเป็นการเลี้ยงในเล้า ปล่อยให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ยบ้างในบริเวณเล้า ไม่เลี้ยงแบบขังในกรงแคบ ๆ เพราะจะทำให้ไก่เครียดมากเกินไป เวลาไก่เครียดจะไม่ค่อยออกไข่ ทำให้ต้องฉีดยาเร่ง” มาร์ เล่า
เมื่อได้แบบแผนการเลี้ยงไก่ไข่ที่ลงตัวแล้ว ถึงเวลาสร้างเล้าไก่ โดยพื้นที่ที่พวกเขาใช้ คือบริเวณด้านหลังโรงเรียนซึ่งทางผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลตำบลปริก ได้มีแนวคิดเปิดพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งมีเด็ก ๆ เข้ามาใช้พื้นที่ทำการเกษตรทั้งการปลูกข้าวโพด กล้วย กระเจี๊ยบ รวมถึงบ่อปลา และแน่นอนว่ากำลังจะมีเล้าไก่ ส่วนเรื่องการก่อสร้างนั้นก็ต้องอาศัยแรงหนุนจากอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ
ครูสุรศักดิ์ หมัดหร๊ะ ที่ปรึกษาโครงการ เล่าว่า ตอนทำเล้าไก่ เด็ก ๆ ก็คิดมาว่าจะทำกันอย่างไร รูปแบบไหน แต่ในเรื่องการก่อสร้างจะมาปรึกษาว่าใครจะมาช่วยได้บ้าง หาช่างที่ไหนมาทำ เพราะเด็ก ๆ จะสั่งปูน อิฐ ทราย กันเองก็อาจจะไม่ถนัด ก็เลยมาบอกให้ครูช่วยติดต่อให้ แล้วก็มีภารโรงมาช่วยกันทำ
เล้าไก่ขนาด 2 เมตร คูณ 2 เมตร สร้างเสร็จอย่างสวยงาม แต่เลี้ยงไก่ได้ไม่นานพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาที่คาดคิดไว้
“จริง ๆ ตอนไปสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างเล้าไก่ เจอปัญหาคือพื้นที่เล้าไก่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านคนในชุมชน ซึ่งเขาเลี้ยงสุนัขกว่า 20 ตัว ข้างบ้านเขาก็บอกว่าอย่าเลี้ยงเลย ไก่ชนเขาเพิ่งถูกกิน แต่เรากับเด็ก ๆ ก็ตัดสินใจเดินหน้าว่าจะเลี้ยงต่อ” ครูสุรศักดิ์ บอก
ขณะที่มาร์ เล่าเสริมว่า สุดท้ายคำเตือนนั้นก็ทำให้ไก่ของพวกเขาถูกสุนัขกัดตายจริงๆ
“เราไปซื้อไก่มาจากฟาร์มบ้านตะเคียนเภาที่ไปศึกษา ซื้อมา 5 ตัว เป็นไก่โตเต็มวัยพร้อมออกไข่ ถ้าไก่เล็กต้องใช้เวลา 6 เดือนจึงจะออกไข่ ไก่โตรอให้มันคุ้นกับพื้นที่มันก็ออกไข่ได้เลย พอเอามาเลี้ยงไม่นานก็โดนสุนัขกินไป 1 ตัว”
เมื่อเดินหน้าแล้วคงไม่อาจย้อนกลับ เด็ก ๆ และคุณครูที่ปรึกษาจึงช่วยกันคิดหาทางแก้ปัญหา ด้วยการช่วยกันล้อมรั้วเล้าไก่ให้แน่นหนาขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขเข้าไปทำร้ายไก่ได้อีก
“ตอนแรกเราไม่ได้ล้อมอวน ไม่ได้กั้นสังกะสีให้หนาแน่น เราไม่คิดว่าหลังจากที่เราเอาไก่มาลงแค่วันเดียว สุนัขจะเข้ามากินไก่เลย ก็เลยไปซื้ออวนมาล้อม กั้นสังกะสีเพิ่ม อวนก็ยกให้สูงขึ้น ซึ่งก็ช่วยป้องกัน แก้ปัญหาเรื่องสุนัขที่เข้ามาทำร้ายไก่ได้”
กินไข่ปลอดภัย เลี้ยงไก่ปลอดสาร

การเลี้ยงไก่ในแต่ละวัน เด็ก ๆ จะแบ่งเวรกันช่วยกันรับผิดชอบในการเลี้ยง ให้อาหาร เก็บไข่เพื่อนำไปใช้เป็นอาหารกลางวัน จดบันทึกการเลี้ยง และสรุปสถิติผลผลิตที่ได้ในแต่ละดือน อีกทั้งยังมีการชักชวนเพื่อนในชุมนุมเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารไว้บริโภคในครัวเรือนของตนเอง พร้อมกับติดตามรายงานผ่าน Facebook และเปิดพื้นที่การเรียนรู้เผยแพร่ข้อมูลจากการศึกษาสู่ชุมชน
“ทุกคนก็จะแบ่ง ๆ กันมาช่วย แต่ช่วงปิดเทอมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ผมเป็นคนดูแลคนเดียว ที่รับทำเพราะว่า ทุกคนมีหน้าที่ของตนเองที่ต้องไปทำ บ้านผมอยู่ใกล้สุด ถ้าผมไม่รับก็ไม่มีใครทำ ผมเลยมาให้อาหาร ให้น้ำ จะให้เฉลี่ย 3 กำมือ วันละ 2 ครั้ง เวลาไปเราก็จะไปจับเหนียงใต้คอไก่ดูว่ามีอาหารหรือไม่มีอาหาร ถ้าอิ่มเหนียงไก่จะใหญ่ เพราะมีอาหารอยู่ แต่ถ้าที่เหนียงไม่มีอาหารก็จะให้อาหารเพิ่ม ส่วนน้ำก็ต้องเปลี่ยนทุกวัน เพราะบางที่ไก่ก็เตะน้ำทิ้ง เหยียบขันบ้าง นอกจากนั้นก็มีให้สมุนไพรบำรุงบ้าง เช่น ใบกระถินณรงค์” จูเนียร์ เล่า
สำหรับวิถีการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสาร ฟ้า อธิบายว่า ไก่ไข่เราปลอดสารตรงวิธีการเลี้ยง อาหาร และยา คือ เลี้ยงด้วยกระถิน เบญจรงค์ มีให้อาหารสำเร็จรูปด้วย แต่เราไม่ได้ฉีดยาเร่งใดๆ ไก่ไม่สบายก็ให้กินสมุนไพร ไม่ได้ให้กินยาปฏิชีวนะ แล้วก็ไม่ได้เลี้ยงในกรงแคบ ๆ ไก่ไม่เครียด
เพียงไม่นานไก่ที่เลี้ยงไว้ เริ่มออกไข่ ซึ่งผลผลิตทั้งหมดถูกนำไปใช้เป็นอาหารกลางวันให้กับน้องๆ ในโรงเรียน และเก็บไว้ทำเบอเกอรี่เมื่อมีงาน ซึ่งทุกคนต่างการันตีว่าไข่ปลอดสารที่ได้นั้นดีทั้งรสชาติและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
“เวลาไข่ออกปุ๊บต้องเก็บปั๊บ วางไข่ไว้นาน ๆ ไก่มันจะมาเจาะไข่ ซึ่ง 1 เดือนแรก มีไข่ 83 ฟอง เสียหาย 6 ไข่ฟองละ 4 บาท เท่ากับ 308 บาทเดือน ซื้อไก่มา 12 ตัว ราคาตัวละ 200 บาท เท่ากับ 2,400 บาท แล้วค่าอาหารอีกเดือนละ 70 บาท ตอนนี้เลี้ยงมาแค่ 4 เดือน เราต้องเลี้ยงไปอีกจนกว่าจะคุ้มทุน แต่ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับความเป็นมือใหม่ ตอนนี้ไก่เจ็บป่วยล้มตายไปเหลือแค่ 4 ตัว ซึ่งก็ต้องเลี้ยงต่อไป ซึ่งแม้ตอนนี้จะไม่คุ้มในแง่เงินลงทุน แต่คุ้มในแง่สุขภาพ มันลดสารตกค้างในร่างกาย ส่วนคุณภาพไข่ที่ได้ แม้จะฟองเล็ก แต่เปลือกบาง แตกต่างจากที่เราซื้อ คือ ไข่ไก่ที่เราเลี้ยงมันจะนิ่มๆ แล้วมีรสชาติมากกว่า มีน้ำหนักมากกว่า ไข่แดงสีจะเข้มกว่า รสชาติจะแตกต่าง เวลาเอาไข่ของเราไปทอดเปรียบเทียบกับไข่ไก่ที่ซื้อมา ใช้น้ำมันเท่ากัน ไข่ไก่ที่เราเลี้ยงจะน่ากินกว่า” ฟ้า เล่า
ผลตอบแทนจากความสำเร็จไม่ได้นำมาซึ่งความภาคภูมิใจเท่านั้น แต่องค์ความรู้ที่สร้างไว้ยังถูกส่งต่อไปยังชุมชน เกิดเป็นทักษะวิชาชีพที่พวกเขาเองก็ใช้ต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต
จูเนียร์ บอกว่า โครงการนี้ทำให้ได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมี ทั้งวิธีการป้องกัน อาหาร ยารักษาโรค เวลาไก่ไม่สบายจะให้ฟ้าทะลายโจร ถ้าเป็นยาเม็ดจะเอาบดละลายผสมน้ำ แต่ถ้าเป็นต้นจะเอามาสับประมาณ 2 ต้นใหญ่ แล้วก็ผสมกับอาหารให้ไก่ได้ 3 ตัว ซึ่งโรงเรียนก็ปลูกฟ้าทะลายโจรไว้ ผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า ได้มีทักษะอาชีพที่เอาไปเลี้ยงต่อที่บ้านได้
ด้าน มาร์ กล่าวว่า การได้ทำโครงการเลี้ยงไก่ไข่ปลอดสารเคมีเป็นประโยชน์แก่ชีวิตเราคือ สมมุติไม่ได้ทำงานในบริษัท เราสามารถนำมาใช้ประกอบอาชีพได้ ตอนไปเสิร์ชข้อมูล เห็นประสบการณ์คนอื่น เขาเป็นเพื่อนกัน 3 คน เรียนจบมาก็กลับมาเลี้ยงไก่ จนมาเป็นเจ้าของฟาร์มไก่ไข่ปลอดสารพิษที่ใหญ่ที่สุด ส่วนความรู้และประสบการณ์ที่นำไปใช้ในชีวิตได้คือ การแก้ไขปัญหา และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คือ เรากล้าคิด กล้าทำ กล้าที่จะลงมือปฏิบัติ กล้าที่จะคุยกัน ปรึกษาครูให้ครูช่วย ได้ออกแบบลงปฏิบัติ มันภูมิใจที่ได้ลงมือทำเอง ที่สำคัญเรายังได้เผยแพร่ความรู้ให้น้องๆ เราไปจัดนิทรรศการ ทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์ อย่างฟ้ากับมาร์เป็นพิธีกรตลอด เราแบ่งบทบาทให้คนที่เหลือในกลุ่มได้พูดให้คนอื่นฟัง ก็กลายเป็นว่าเราได้ช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ให้คนอื่นด้วย
สำหรับ คุณครูสุรศักดิ์ ที่ปรึกษาโครงการ ที่เฝ้าดูการทำงานของเด็กๆ มาตลอด บอกว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นเด็ก ๆ มีพัฒนาการและสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ของตัวเอง
“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็ก ๆ ทุกคน ยกตัวอย่าง จูนียร์จะเป็นเด็กติดเล่น แต่ถ้ามอบหมายงานให้ เขาจะดูแลอย่างดี ซึ่งเขาดูแลไก่คนเดียวเลยตลอดปิดเทอม แล้วเขาเป็นคนศึกษาข้อมูลจริง รู้จริง ที่อึ้งมาก คือล่าสุดตอนไปนำเสนอที่บ้านหัวมา วันนั้นเราเชิญคณะผู้บริหารมาทั้งหมด นายก รองนายก ปลัดเทศบาล คณะกรรมการชุมชน ตัวแทนผู้ปกครองก็มา แล้วก็มีท่านหนึ่งเป็นกรรมการชุมชนของตลาดปริก เขาจะลองภูมิเด็กว่ารู้จริง ทำจริงหรือเปล่า ก็ถามว่าหากเอาไข่ไก่มาสองลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าไข่ไก่ใบไหนปลอดหรือไม่ปลอดสารเคมี แต่จูเนียร์ก็ตอบได้ พอถามปุ๊ป ตอบปั๊บเลย กรรรมการยังพูดเลยว่าแสดงว่ารู้จริง ทำจริง ศึกษาจริง คือว่าถ้าเปลือกไข่ดูภายนอก หากใส่สารเร่งเยอะ สีมันจะเข้ม แดงเข้ม และคนอื่นๆ รวมถึงฟ้าก็มีความกล้าคิด กล้าทำ จากเดิมที่ขี้อาย”
ความร่วมแรงใจในการเลี้ยงดูไก่ไข่อย่างดี ไม่เพียงให้ผลผลิต ‘ไข่ไก่ปลอดสาร’ เพื่อเป็นเมนูอาหารให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนสมดั่งที่พวกเขาตั้งใจ แต่การทำงานในทุกกระบวนการ และการจับมือฝ่าฟันต่อทุกปัญหาและอุปสรรคยังช่วยฟูมฟักให้พวกเขาเติบโตเป็นพลเมืองเพื่ออนาคตของประเทศต่อไป
โครงการไก่ไข่ปลอดสาร
ที่ปรึกษาโครงการ : ครูสุรศักดิ์ หมัดหร๊ะ
ทีมงาน :
- ขวัญฤทัย ทวีนาน
- ปิยะธิดา สุขสโมสร
- อวัสดา หมัดอะดัม
- กุลณัฐ สงกา
- ภักดีโชติ ภักดีโชติ