


อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ กล่าวว่า “เพราะว่าเราพยายามคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดเรื่องเดิมๆ ไอสไตน์พูดว่าเราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยความคิดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับที่สร้างให้เกิดปัญหามาแล้ว อันนี้แหละที่เราบอกให้คิดนอกกรอบเพื่อจะจูน เราไม่มีทฤษฏีมาก เราจะฝึกทำด้วยมือจริงๆ หลายคนที่เข้าเวทีกับผมรู้ดี ผมเน้นกระบวนการครุ่นคิด สังเกตตัวเองทุกครั้งที่ทำอะไร จิตเราเป็นอย่างไร อารมณ์ ความคิดเป็นอย่างไร เห็นความสัมพันธ์ที่เราพูดกับเพื่อน เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ไม่ใช่ฝึกทางทฤษฏี แต่มีสติรู้ตัว เป็นการเรียนรู้โดยปฏิบัติจริง จิตต้องมีสมาธิ ต้องใส่ใจตลอดเวลา”

MR.Christain Birkholz กล่าวว่าเริ่มกระบวนการว่า “Design Thinking หรือวิธีคิดในการออกแบบ เป็นวิธีการที่ใหม่มากๆ ไม่เพียงเป็นแค่วิธีการแต่เป็นหลักปรัชญาด้วย ถ้าพูดให้ง่ายที่สุด คือคิดด้วยมือ ใช้มือคิด ไม่ใช่ใช้หัวคิด ปัญหาใหญ่ที่เราเรียนรู้มานับเป็นหลายร้อยปี เวลาที่เราคิดอะไรก็ตาม ความคิดเราจำกัดตัวเองอยู่ในตัว โดยไม่ทันรู้ตัว ว่าไปแล้ววิธีคิดแบบ Design Thinking นี้ เริ่มต้นจากการดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้ ผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจ ตอนหลังคนเริ่มจับทางได้ ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้เพื่อผลิตภัณฑ์ข้าวของอีกแล้ว สามารถนำมาเป็น “นวัตกรรรมทางสังคม” ได้ กลุ่มคนกลุ่มแรกที่เราดีไซน์มาสู่วิธีคิด คือมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด บริษัทใหญ่ในยุโรปเอาจริงเอาจังกับ Design Thinking มาก โดยเฉพาะ กับProject Management เพื่อทำโครงการออกมาให้ได้ดีที่สุด
สิ่งที่ Design Thinking ต่างออกไปจากการคิดสร้างสรรค์ คือการลงมือทำเลย ลงมือปั้น ทดสอบใช้ได้ - ใช้ไม่ได้ หากใช้ไม่ได้ก็ทำใหม่ เหมือนกับเราทำอาหารขึ้นมาก่อนก็ดูว่ารสชาติดีไหม ก็ปรับปรุงรสชาติขึ้นมาเอง กระบวนเน้น ”สร้างแบบจำลอง” แล้วทดลองทำดูว่าใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำสิ่งใหม่ๆ มักเกิดข้อผิดพลาดเสมอ ผิดก็ไม่เป็นไร แก้ไขให้ได้ดีที่สุด จับจุดสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อเราสร้างอะไรแล้วเราก็ต้องทดสอบ เราสร้างอะไรขึ้นมา คนที่ได้รับประโยชน์ขึ้นมา ต้องทดสอบก่อน ไม่ต้องถามผู้เชี่ยวชาญ ถามคนที่นำไปใช้ว่าดีขึ้นไหม

สำหรับกระบวนการ Design Thinking MR.Christain Birkholz เริ่มให้ผู้เข้าร่วมกระบวนการเข้าใจในแต่ละขั้นแต่ละตอนอย่างแจ่มชัดทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนที่จะนำไปใช้ให้เข้ากับบริบทของตัวเองต่อไป เริ่มกระบวนการด้านทฤษฎีดังนี้
6 ขั้นตอนในการทำกระบวนการ Design Thinking
1.Understand ทำความเข้าใจกับปัญหา เรื่องราว หน้าตาเป็นอย่างไร
2.Observe เป็นคนช่างสังเกต มันสัมพันธ์กับใครบ้าง อย่างไรบ้าง
3.Point of View มิติในการมอง มุมมองที่มองจากหลายๆ มุม อย่าไปยึดมุมมองเดียว
4.Ideaten สร้างสรรค์ไอเดียขึ้นมา
5.Prototyping สร้างโมเดลจำลองแล้วทดลองปรับปรุง
6. Test ได้รับคำวิจารณ์จากผู้ใช้

เราต้องการเงื่อนไขสำคัญในการทำ 6 ขั้นตอนให้เป็นจริง คือความสามารถในการทำงานเป็นทีม อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับความคิดของตัวเองมากนัก สามารถต่อยอดจากความคิดของเพื่อนไปได้เรื่อยๆ สิ่งที่พบบ่อยๆ ว่าหวงแหนความคิดของตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นการปูพื้นฐานเชิงทฤษฏีให้เข้าใจ
4 ขั้นตอนความสำเร็จของการทำกระบวนการ Design Thinking
1. Emphaty เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เปิดมุมมองที่คาดไม่ถึง อยากรู้อยากเห็น ทำให้เกิดการสืบค้นและการตั้งคำถาม
2. คิดบูรณาการ เชื่อมมุมมองต่างๆ เข้าด้วยกันให้ได้
3. Optimism มองโลกในแง่ดี แทนที่จะย้ำเท้าอยู่กับที่ในเรื่องเก่าๆ ต้องมีทางออกในเรื่องดีๆ จนได้
4. สนุกกับการลองสิ่งใหม่ๆ เรามีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้อุปสรรคในสิ่งใหม่ๆ ไม่กลัวผิดพลาด

ตัวชี้วัด การเกิดนวัตกรรมใหม่ 1.คนใช้ได้ผลมีประโยชน์ 2.มีแรงต้านจากสังคมในช่วงเวลานั้นๆ

กระบวนการ Design Thinking ที่ MR.Christain Birkholz ได้นำมาให้กับภาคีเครือข่ายได้ลองทำโจทย์จากง่าย ปานกลาง ยาก โดยการเลือกโจทย์จากการระดม “ปัญหา” ที่มีหลากหลายและให้เพื่อนสมาชิกให้คะแนนว่าจะเลือกปัญหาใดมากที่สุด จนที่สุดเลือกมาได้ 3 ข้อดังนี้
1.ง่าย ปัญหาเรื่อง “การทิ้งขยะ” โจทย์ “ทำอย่างไรให้ไม่มีขยะ”
2.ปานกลาง เรื่อง “เด็กขาดทักษะชีวิต” โจทย์ “เด็กยุคใหม่ต้องการทักษะชีวิตอะไรที่ทำให้สามารถอยู่ในโลกนี้ได้เป็นอย่างดี”
3. ยาก ปัญหาเรื่อง “ครู” โจทย์ “เราจะสร้างครูหรือสร้างการจัดการการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร”
โดยมี กฎกติกาในการทำงานกลุ่ม
1.ทำงานให้ออกมาเป็นภาพ สมองเราจะจำได้แม่น เมื่อเราจำเห็นจากภาพขึ้นมา เข้าใจได้ดี
2. ระหว่างทำงาน กลุ่มพูดทีละคน (เหมือน check in) คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง
3. เสริม”ความคิดแผลงๆ” แปลกๆ บ้าๆ หัวใจ คือการทลายกรอบเดิมๆ ในสมอง
4.ไม่มีการวิจารณ์ใดๆ (ห้าม)
5.เน้นปริมาณ
6.อย่าลืมโจทย์ที่แท้จริง (เข็มทิศคือโจทย์อะไร)
7. ต่อยอดความคิดของคนอื่น

จากนั้นวิทยากรจึงให้แบ่งกลุ่ม ออกเป็น 5 กลุ่มเริ่มจากโจทย์ที่ง่ายก่อนคือปัญหาเรื่อง “การทิ้งขยะ” โจทย์ ไม่มีขยะ
โมเดลผลงาน


ทั้ง 5 กลุ่มได้นำเสนอโมเดลแรกของกระบวนการเช้าวันนี้ด้วยโมเดลดังนี้ กลุ่มต้นไม้ย่อยขยะ,กลุ่มหมู่บ้านกองทุนขยะ,กลุ่มพระเป็นตัวอย่างเก็บขยะ,กลุ่มไปรษณียบัตรมีค่า,กลุ่มสวนสนุกมะยะแลนด์
MR.Christain ให้ข้อเสนอแนะว่าเราคิดอะไรแผลงๆ ไว้ยิ่งดี มีหลายเรื่องที่เราควรให้ผู้เชี่ยวชาญนำไปทำ เพราะเขาเข้าใจกว่า เท่าที่ดูทุกกลุ่มจะมองว่าขยะเป็นของที่มีคุณค่าและต้องทิ้งให้ถูกที่ จึงขอนำเสนอโมเดลขยะล็อตเตอรี่แขวนตามเสาไฟฟ้า เป็นตัวอย่างโมเดลง่ายๆ และให้โจทย์ต่อเนื่องว่าให้ทุกกลุ่มกลับไปคิดเป็นการบ้านให้โฟกัสโมเดลที่จะทำเรื่องขยะเหลือแค่เรื่องเดียว และให้นำมาเสนอในวันพรุ่งนี้

ภาพถังขยะกรุงเทพฯ ของ MR.Christain
หลังจากกลับไปทำการบ้านจากโจทย์ให้โฟกัสเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องขยะเพียงเรื่องเดียว ทั้ง 5 กลุ่มจึงได้นำเสนอโมเดลดังนี้ กลุ่มถังขยะในครัวเรือน / กลุ่มทิ้งที่นี่มีรายได้ / กลุ่มธนาคารขยะ/กลุ่มพลังมดลดขยะ /กลุ่มปุ๋ยราคาถูก ทำให้เห็นภาพของโมเดลได้ชัดเจนขึ้น


หลังจากนำเสนอเสร็จเรียบร้อย MR.Christain ให้ความเห็นว่า การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของทุกกลุ่มทำให้ผลงานดีขึ้น และความคิดบางอย่างสามารถนำไปใช้จริงได้
โจทย์ที่ 2 ปัญหาปานกลาง ประเด็น เรื่องเด็กๆ ขาดทักษะชีวิต โจทย์ เด็กยุคใหม่ต้องการทักษะชีวิตอะไรที่ทำให้สามารถอยู่ในโลกนี้ได้เป็นอย่างดีมีปัญหาใหญ่ๆ ที่เด็กๆ จะต้องเผชิญอยู่เช่นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความรุนแรง ฯลฯ ที่ต้องใช้ทักษะชีวิตในการไปรับมือ โมเดลนี้จะไปเสริมศักยภาพเยาวชนอย่างไร
กลุ่มที่ 1

กลุ่มที่ 2

กลุ่มที่ 3

กลุ่มที่ 4

กลุ่มที่ 5

วันนี้วิทยากรให้ทุกคนใช้วิธีการ นั่งคุยกัน ลงมือทำ เดินคุยทบทวน โดยเปลี่ยนกลุ่มใหม่ ได้โมเดลดังนี้
-โรงละครแห่งความฝัน ให้เด็กคัดเลือกเรื่อง นั่งไทม์แมชชีน กลับไปดูและแสดงละครให้คนดู และถอดบทเรียน
-วิชาชีวิต,วิชาชุมชน,วิชาชีพ,วิชาการ ใช้การเรียนรู้จากชุมชนโดยการบูรณาการทุกวิชาในพื้นที่ชุมชน
-กระทรวงเด็กวัยใส “ปัญญาเรณู” ลักษณะการทำงานเหมือนกระทรวง ให้เด็กทำโครงงาน โดยแบ่งเป็นแต่ละวิชาการ ให้มีการคัดเลือกประธาน ให้ผู้ใหญ่ช่วยดู หลักการทำงานเหมือนกระทรวง
-บวรสร้างเด็กไทยสร้างทักษะชีวิตสู้ภูมิปัญญาชาติ ส่งเสริมให้เด็กมีจิตสำนึกในสังคม
-GAME’S ใช้เกมเป็นตัวเชื่อม (ทำนา,เลี้ยงสัตว์,ทำสวนให้คะแนน) ให้เด็กลงไปดูของจริง กลับมาถอดบทเรียน เน้นการเรียนรู้ที่เรียกว่า การเรียนรู้แบบตรง (Direct Method)
ก่อนจะถึงโจทย์ยาก วิทยากรคั่นด้วยการให้มีหนึ่งแบบฝึกหัดที่พัฒนา เป็นการเรียนรู้ผ่านเกม



MR.Christain ให้ข้อเสนอแนะว่า สิ่งหนึ่งที่เราต้องสรุปให้มั่น มนุษย์ชอบเล่นอะไรสนุก รวมตัวเป็นเผ่าเป็นพันธุ์ หาเกมมาเล่นกันอยู่เรื่อย เพราะฉะนันเมื่อเราเห็นสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของมนุษย์ ไม่ว่าเราอยู่ในวัยใดสามารถเล่นเกมสนุกๆ ได้เสมอๆ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ว่าเราตั้งหัวข้อ เราสามารถเล่นเกมเคารพกติกาจราจรได้ ไม่คิดเอาแต่ฝ่ายตัวเองฝ่ายเดียว เอาใจเขามาใส่ใจเรา เคารพสิทธิผู้อื่น อยู่ที่หัวข้อเราจะตั้ง เราตั้งได้เสมอ อย่างเกมหมากรุกคิดมาเป็นพันปีคนยังเล่นอยู่ฝึกยุทธศาสตร์การวางแผน อยากจะกระตุ้นให้ครูนำหลักนี้ไปใช้เรียนรู้ปรับปรุงใช้จริง
ในเช้าวันสุดท้าย วิทยากรได้ให้โจทย์ยากที่สุดคือ หัวข้อเราจะสร้างครูหรือสร้างการจัดการการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร 1.ในกระบวนการสร้างครูในการเรียนการสอนสร้างครูขึ้นมาอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 2.บทบาทของครูท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงควรเป็นอย่างไร
ให้ทุกคนแบ่งกลุ่มรวมกันครุ่นคิดว่าบทบาทของครูที่จะเป็นประโยชน์ในปี คศ. 2020 (อีก7ปีข้างหน้า) ครูควรเป็นอย่างไร ครูที่จะจัดการกระบวนการเรียนอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร/บุคลิกควรเป็นอย่างไร /ควรมีไฟหรือความสนุกในการสร้างเด็กขึ้นมา มีทักษะความสามารถอะไร
กลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2

กลุ่มที่ 3

กลุ่มที่ 4 และกลุ่มที่ 5

MR.Christain วิเคราะห์ว่าพบกับว่าไอเดียทุกกลุ่มไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่ชอบคือนิยามคำว่าโรงเรียนเสียใหม่ คำว่าคนเรียนกับคนสอนมาพบกันไม่ใช่โรงเรียน จากทุกกลุ่มเห็นชัดเจน ทุกคนตระหนักดีกว่าโรงเรียนในปัจจุบัน พาตัวเองออกจากชีวิตความเป็นจริง ไม่อยู่กับความเป็นจริงเท่าไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กถึงไม่ชอบไปโรงเรียน เพราะไม่เข้ากับชีวิตจริง หรือโลกของเขา คิดเหมือนกลุ่มแรกว่าอยากจะยกเลิกอาชีพครู อยากจะเปลี่ยนว่าทุกคนต้องเป็นครูชั่วคราว 2 ปี (เหมือนอาชีพทหาร) ครูพวกนี้น่าจะอายุ 30 ปีขึ้นไป ผ่านร้อนผ่านหนาวมีประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดชีวิตได้
เพราะฉะนั้น ครูของเราจะกว้างขึ้นไปตั้งแต่ชาวนา พ่อค้า เก่งเศรษฐศาสตร์ ช่างปั้น วาดรูป มีครูที่หลากหลายที่เด็กจะเรียนได้ เพราะฉะนั้นความหลากหลายของชีวิตที่งดงามก็จะถูกดึงอยู่ในโรงเรียน สิ่งที่ทุกกลุ่มจะเน้นสภาวะอารมณ์ของครู รักที่จะให้ความรู้กับเด็กเหมือนลูกเหมือนหลานเป็นเรื่องสำคัญมากในการเรียนการสอน เพราะฉะนั้นตัวชี้วัดที่สำคัญของครูไม่ใช่สอบได้ตามมาตรฐานเท่านั้น ต้องมีตัวชี้วัดในตัวครูว่ามีสภาพอารมณ์จิตใจพร้อมจะเป็นครูไหม ถ้าเราจะไปจุดไฟให้คนอื่น ได้ตัวเราต้องเป็นไฟซะก่อน(สำนวนเยอรมัน) สิ่งที่คิดว่าตัวเองจะผลัดเป็นครูสองปีก็ได้ ถ้าเป็นครูนานๆ ก็จะหมดไฟ สิ่งที่นำเสนอดีๆ อย่างนี้ทำอย่างไรให้ออกมา ทดลองทำในสังคมไทย
MR.Christain Birkhols กล่าวทิ้งท้ายว่า “ความฉลาดเป็นหมู่เป็นกลุ่ม ยั่งยืนกว่าอัจฉริยะคนเดียว หวังว่าทุกคนจะลองทำนำ Design Thinking ไปใช้จริง”
โจทย์ที่มาเรียน Design Thinkingผู้เข้าร่วมกระบวนการครั้งนี้สะท้อนว่าจะสามารถนำความรู้อะไรที่สามารถนำไปใช้ได้ในฐานะครู นักการเมืองท้องถิ่น (อบต.) นักพัฒนาสังคม (จิตอาสา)
ตัวแทนจากอาจารย์
ตัวแทนจากท้องถิ่น - นางจินตนา แกล้วกล้า อบต.หนองสนิท สะท้อนว่า คิดว่าจะนำการเรียนรู้ที่ได้ในวันนี้ กระบวนการของ Design Thinking ไปใช้กับการทำงาน โดยเฉพาะตัวเองทำงานกับเยาวชน จะลองให้เด็กได้ ในฐานะที่เราอยู่กับท้องถิ่น มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เครือข่ายชุมชน ความรู้ที่นำไปใช้ได้ ได้หมดเลย ในส่วนตัวเรื่องของการฟังจากทุกๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะขบคิดหาปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกัน การเคารพความเห็นของแต่ละคน และให้ทุกฝ่ายได้แชร์ความคิด ปัญหา ทางเลือก อาจนำวิธีการแก้ปัญหาไปทดลองใช้ กระบวนการปั้นดินเหนียวจะนำไปใช้บางกลุ่ม สำหรับเด็ก เด็กจะสนุกสนานกับการปั้น เขาไม่สามารถสื่อออกมาได้จะได้ใช้การปั้นเป็นการสื่อสารออกมา
ตัวแทนครู – นางรัฐจิตาภรณ์ ศรีลา โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยาคม สะท้อนว่า“จะนำไปใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ ทั้งเรื่องความคิดและการออกแบบกับนวัตกรรมที่แก้ปัญหาในการเรียน ไปทดลองทำ คิดและทำลองทำ ไม่ดีก็ทำใหม่ คิดใหม่ โดยให้ผู้เรียนสะท้อนมาและนำสิ่งทีสะท้อนนั้นเพื่อนำมาแก้ไขใหม่”
ตัวแทนNGO - นางสาวรัตนติกา เพชรทองมา มูลนิธิกองทุนไทย “กลุ่มเราทำกระบวนการกับเยาวชนอยู่แล้ว แต่การที่เรามาได้เรียนรู้กระบวนการทั้ง 3 วัน ทำให้เราได้เรียนรู้เราสามารถนไปใช้ได้ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราได้ใช้อยู่ เราใช้หัวคิดเป็นหลัก ทำให้เราจะไปจมอยู่กับปัญหา พอมาเข้ากระบวนการย้ำให้เห็นว่า เราอาจจะต้องใช้มือทำ ทำให้เห็นทางออก โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างความแปลกๆ ใหม่ๆ น่าจะนำไปใช้กับน้องๆ เยาวชนได้ และอีกอันหนึ่งที่สำคัญคือเรื่องการคิดโจทย์ของปัญหา กระบวนนี้น่าจะให้เด็กคิดและลองทำเป็นโมเดล น่าจะทำให้เขาเห็นภาพรวมกันกับเราชัดขึ้นก่อนกลับไปทำต่อที่บ้าน”
รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม
1.โครงการพัฒนาเยาวชน โดยการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
1.โรงเรียนบ้านร้านตัดผม ได้แก่นางนวลจันทร์ มีสติ ,นางสาวจตุพร ระดาขันธ์,นางสาวเจษรา จูเจ้ย
2.โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยาคม ได้แก่ นางสาวอัมพร สมปาน,นางรัฐจิตาภรณ์ ศรีลา,ธรรมนันท์ จันดี โรงเรียนกันทรลักษ์วิทยาคม
3.โรงเรียนท่าเสา ได้แก่ นางสาวพัชราพรรณ ชุมมาก,นางสาวชิสากัญญ์ พลายด้วง โรงเรียนท่าเสา
4.โรงเรียนบ้านปะทาย ได้แก่ นางสุวรรณา แสนเก้า,นางรจิรา จิตรบรรจง,นางวัชราภรณ์ ผาปรางค์ โรงเรียนบ้านปะทาย
5.โรงเรียนบ้านหนองหญ้าปล้อง ได้แก่นางกาญจนาสิรัมย์,นางสาวบุบผา ศรีพนามน้อย,นางประภาพร แดงงาม
6.โรงเรียนบ้านสำโรง ได้แก่ นางณัฏฐิดา ปอแก้ว ,นายปุญชรัศมิ์ แผ้วพูลสวัสดิ์,นางสาวนวลฉวี พูลทอง
2.โครงการพัฒนาเยาวชนในชุมชนท้องถิ่น 4 ภาค: หลักสูตรนักถักทอชุมชน ได้แก่
1.นางจินตนา แกล้วกล้า อบต.หนองสนิท
2.นายสมเกียรติ สาระ อบต.หนองอียอ
3.นายวรินทร กรุดเพ็ชร อบต.หนองสาหร่าย
4.นางสาวณัฐพัชร์ เฉลิมพงษ์ อบต.ดอนมะสังข์
5.นายทินารมภ์ คำมูลอินทร์ อบต.วัดดาว
3.จากมูลนิธิกองทุนไทย
1.นางสาวรัตนติกา เพชรทองมา
2.นางสาวลัดดา วิไลศรี
3.นายพงศกร เถาทอง
4.นางสาวอลิษา วีรกมลยุทธ
5.นายวิเศษ คุณฤทธิพงศ์
6.นางสาวเกษณี ซื่อรัมย์
4.จากโครงการเสริมสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบพิบัติภัยสึนามิ
1.นางสาวรัฐกานต์ ไท้สุวรรณ จ.ระนอง
2.นายพิเชฐ เบญจมาศ จ.สตูล
3.นางสาวสุทิน สีสุข จ.ตรัง
4.นางขนิษฐา จุลบูล จ.ตรัง
5.นางกริย๊ะ หลีเคราะห์จ.สตูล
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.scbfoundation.com/activity_detail.php?project_id=292&content_id=5769