บทเรียนความสำเร็จการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพvเพียงในโรงเรียนจากเวทีจัดการความรู้โรงเรียนเครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียง วันที่ 23-24 พฤศจิกายน 2550 ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ หาดตะวันรอน
โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี
ผู้อำนวยการโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยเพชรบุรี เล่าว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนเป็นไปด้วยดี
เพราะเป็นการระเบิดจากข้างในที่ทั้งครูและนักเรียนอยากทำเองและการสืบสานงานพระราชดำริตามคำขวัญของโรงเรียนเป็นหน้าที่ที่พวกเราทำแล้วมีความภาคภูมิใจ ดังที่อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า “ผอ.ครับ ตอนแรกผมคิดว่าจะทำงานวิชาการส่ง แต่ผมขอขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดผลดีก่อน แล้วค่อยกลับมานั่งคิดว่าผมจะทำผลงานวิชาการอะไรดีกว่า” นับเป็นความโชคดีของโรงเรียนที่ครูอาจารย์มีทัศนคติเช่นนี้ หรือแม้กระทั่งนักเรียนเองได้เห็นพัฒนาการทางด้านความคิดของลูกศิษย์ ในเรื่องการนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขา ทั้งในการเรียนและกลับไปสู่วิถีชีวิตที่หอพัก
นายอภิวัฒน์ พงษ์พาณิช หรือ “ตูน” นักเรียนชั้นม.5 เล่าให้ฟังเกี่ยวกับกิจกรรม “ข้าวโพดแนวหอพัก” ว่าได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์
สมัยที่เรียนอยู่ชั้นม. 4 ที่ปลูกข้าวโพดเพื่อใช้ศึกษาเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์พืช คอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีแต่ไม่ได้รับประทาน เมื่อขึ้นชั้นม. 5 จึงตั้งใจปลูกข้าวโพดอีกครั้ง เพื่อให้น้องๆ และเพื่อนทุกคนในหอพักได้รับประทาน จึงชักชวนเพื่อนๆ ทำโครงการปลูกข้าวโพดโดยรวมหุ้นกันได้งบประมาณ 2,000 บาท จากนั้นไปจ้างเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงให้ช่วยเตรียมแปลงปลูก โดย“ตูน”ให้เหตุผลที่ต้องจ้างเกษตรกรมาช่วยเตรียมแปลงปลูกว่า เนื่องจากพวกตนไม่มีประสบการณ์เรื่องการเตรียมแปลงปลูก ประกอบกับต้องเรียนหนักอีกทั้งยังต้องซ้อมกีฬา ประเมินเวลาแล้วคิดว่าหนักเกินไปและอาจส่งผลถึงการเรียนด้วยความตระหนักถึงความพอประมาณเช่นนี้ “ตูน”จึงจำเป็นต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปจ้างเกษตรกรมาช่วยเตรียมแปลงปลูก และได้ไปขอความรู้จาก “ลุงเรียง” เกษตรกรในชุมชนท่านหนึ่ง
ซึ่งประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์มาก มายเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ มาใช้ กับโครงการปลูกข้าวโพด ด้วยการปลูกพืชผัก สวนครัว เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า เพิ่มเติมรอบๆ สวนข้าวโพด เนื่องจากพืชสวนครัวมีอายุการ เก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 3-4 อาทิตย์ สามารถ เก็บเกี่ยวส่งขายโรงครัวของโรงเรียน ทำให้มี รายได้เวลาระหว่างรอข้าวโพดออกฝัก 70-90 วัน และเกิดภูมิคุ้มกันหากแปลงข้าวโพดเสีย หาย นอกจากการนำผักปลอดสารพิษขายโรง ครัวจะทำให้”ตูน”และเพื่อนๆ ได้บริโภคอาหาร ปลอดภัยแล้ว รายได้ที่เกิดขึ้น”ตูน”และเพื่อนๆ ไม่ได้นำมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่กลับนำไปใช้ เป็นกองทุนหมุนเวียนซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่อง ใช้ที่เสียหายในหอพักชาย ทำให้ไม่ต้องขอ งบประมาณจากโรงเรียนดังเช่นอดีต
นายฐิติพันธ์ พาเรือง หรือ “ตั้ม” ที่ได้ร่วมกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง เล่าว่า “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในความคิดของตนนั้น คือหลักคิดว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ซึ่งการปลูกฝังหลักคิดนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเกษตรหรือแค่เพียงเกษตรกร วัยรุ่นสามารถทำได้” นอกจากนี้“ตั้ม”ได้ทำกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียง คือ จดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน “ตั้ม”บอกว่าตอนแรกๆ ที่จดงงๆ เพราะไม่เคยจดมาก่อน แต่การได้จดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันทำให้รู้จักรับผิดชอบมากขึ้น ทำให้ผมรู้จักประมาณตนในการใช้เงินมากขึ้น การซื้อของแต่ละครั้งจะคิดก่อนว่าวันนี้ควรซื้อ หรือไม่ควรซื้ออะไรบ้าง เช่น เมื่อหิวน้ำจะซื้อน้ำกินจะดูว่าวันนี้ซื้อน้ำไปกี่แก้วแล้ว ถ้าเห็นว่าวันนี้ซื้อไปแล้ว 2 แก้ว จะเลิกซื้อแต่จะหันไปดื่มน้ำเปล่าที่โรงเรียนแทน
โรงเรียนโยธินบูรณะ
นางสาวปริศนา ตันติเจริญ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เล่าว่า โรงเรียนโยธินบูรณะน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในโรงเรียนตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งช่วงนั้น แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” คืออะไร แต่ก็ได้เริ่มทดลองปฏิบัติด้วยการให้เด็กทำกิจกรรมลดละเลิกพฤติกรรมเพื่อพ่อ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทำให้รู้ว่าการจะเริ่มต้นทำอะไร ถ้ายังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้จะเป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน จึงนำกิจกรรมที่นักเรียนทำเข้าสู่กระบวนการวิจัย ศึกษาบริบทของโรงเรียนโยธินบูรณะ ซึ่งผลงานวิจัยทำให้ได้ภาพรวมของโรงเรียนที่เป็นแนวทางในการรณรงค์ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนใน 4 ด้าน คือ 1. การบริโภค 2. การเรียนและการใช้เวลาว่าง 3. พฤติกรรม และ 4. การประหยัดพลังงาน อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อาจารย์ปริศนาเริ่มขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในกลุ่มสาระสังคมที่สอนอยู่ในชั้น ม.4 ก่อน โดยสอนหลักปรัชญาก่อน ส่วนของการนำไปประยุกต์ ใช้จะร่วมมือกับ กลุ่มสาระการงานอาชีพ ที่สอนเกี่ยวกับทักษะชีวิตต่างๆ เช่น งานบ้าน งานประดิษฐ์ คอมพิวเตอร์ รวมทั้งภาษาไทย
ซึ่งพบว่าได้ผลดีมาก เด็กสามารถนำหลักปรัชญาที่ครูสอนไปปรับใช้ได้จริง ทั้งยังสามารถสื่อสารให้คนอื่นรับรู้ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงได้จากกิจกรรมที่ จัดทำขึ้นในลักษณะโครงงาน ที่น่าภาคภูมิใจคือนักเรียนและครูร่วมกันผลิตสื่อต่างๆ เช่น สื่อมัลติมีเดีย สื่อการ์ตูน นิทานซีดีที่นักเรียนแต่งขึ้นนำไปใช้เป็น เครื่องมือในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
นางสาวปริณดา แก้วทอง นักเรียนชั้นม.5 เล่าว่า ได้ไปเข้าค่ายกับเพื่อนๆประมาณ 30 คนทำให้เราเข้าใจและนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ เมื่อกลับมาจากค่าย จึงตั้งกลุ่มเล็กๆ กลุ่มแรกในโรงเรียนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน ใช้ชื่อว่า Moderate Young Club (MOYO) หรือกลุ่มเยาวชนที่เดินทางสายกลางตามแนวพระราชดำริ ล่าสุด MOYO เป็นชุมนุมหนึ่งในโรงเรียนที่มีสมาชิกกลุ่มย่อยๆ รับผิดชอบหน้าที่แตกต่างกัน คือ บางกลุ่มมีหน้าที่เผยแพร่ บางกลุ่มมีหน้าที่จัดทำข้อมูล หรือจัดทำทะเบียน
นายสุทธิชนม์ มนนามอญ นักเรียนชั้นม. 3 กล่าวถึงกิจกรรมในชุมนุม MOYO CLUB ว่า มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น กิจกรรมเก็บขวดน้ำที่เหลือทิ้งไปขาย หรือ กิจกรรมการนำกระดาษหน้าที่สาม ซึ่งเป็นกระดาษที่ไม่ได้ใช้แล้วไปให้คนตาบอดทำอักษรเบรลล์ หรือ กิจกรรม MOYO Radio ซึ่งจะจัดขึ้นในทุกวันศุกร์ กระจายเสียงเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้เพื่อนๆ รับทราบ “การเข้าร่วมชุมนุม MOYO CLUB เริ่มแรกจะมีเพื่อนๆประมาณ 30 คนเป็นแกนนำและกลับมาชักชวนเพื่อนๆ บอกต่อๆ กัน มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกสามสิบคนซึ่งเป็นแกนนำรุ่นแรกในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก็ยังอยู่ครบ” นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการไปจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อนๆนอกโรงเรียน เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ บางใหญ่ สำหรับการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง “สิ่งที่เห็นได้ชัดคือได้เรียนรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตัวเอง แม้ในช่วงแรกๆ จะไม่รู้ว่ากิจกรรมที่ทำๆ อยู่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไร แต่เมื่อได้ไปร่วมกิจกรรมแล้วกลับได้กับตัวเอง เช่น สนใจการเรียนมากขึ้น และรู้จักการแบ่งเวลาเรียน รู้จักประหยัด และมีเหตุมีผล ตัวอย่างเช่น เราเป็นคนกินข้าวเยอะ เมื่อห่อข้าวมากินที่โรงเรียนเองก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวมาก และกินได้อิ่มกว่า ส่วนเพื่อนในชุมนุมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพียงแต่ช่วยกันทำงานมากขึ้น “ผมคิดว่าความพอเพียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น การซื้อของบางอย่างสำหรับเราอาจมองว่าสิ้นเปลือง แต่สำหรับเพื่อนเขาอาจคิดว่านี่ก็พอเพียงแล้ว คือ ระดับความพอเพียงของคนเราไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และค่อยๆ ปฏิบัติไปตามกำลังความสามารถของแต่ละคน”
โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย
ครูทีปกร แสงอินทร์ ครูผู้ช่วย เล่าว่า “โครงการนักสืบสายน้ำเน้นการอนุรักษ์เพื่อความยั่งยืนของธรรมชาติ วิธีการคือ ให้นักเรียนไปสืบค้นข้อมูลว่าในลุ่มน้ำประแสมีส่วนไหนบ้างที่เกิดภาวะวิกฤต เกิดการเน่าเสียอย่างไร เริ่มต้นนักเรียนพบว่าสาเหตุหลักๆ มาจากชุมชนมีการเปลี่ยนแปลง มีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งและมีการปล่อยน้ำทิ้ง หลังจากนั้นโรงเรียนได้ส่งครูและนักเรียนไปเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับโครงการรักษ์เขาชะเมาเพื่อไปหาวิธีการในการดูแลลุ่มน้ำ โดยขอความอนุเคราะห์อุปกรณ์ สื่อ และเครื่องมือวิธีการในการดูแลรักษาสภาพลุ่มน้ำโดยชุมชนจากมูลนิธิโลกสีเขียว จากนั้นจึงตั้งเป็น “กลุ่มนักสืบสายน้ำ” ซึ่งมีหน้าที่หลัก คือ จัดค่ายให้กับน้องๆ ระดับชั้น ม.2 มีครูเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล หลังจากเสร็จงานเด็กก็จะมาสรุปบทเรียนกันว่างานที่ทำไปมีข้อดีข้อเสียอย่างไร โดยให้เด็กแลกเปลี่ยนความรู้และผลที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง จากที่ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 ถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 6 แล้วพบว่าสภาพลุ่มน้ำประแสในปัจจุบันที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังมีกลิ่นอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็สามารถนั่งเรือไปชมหิ่งห้อยได้แล้ว ขณะนี้เทศบาลกำลังพยายามพัฒนาลุ่มน้ำประแสในเชิงของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และมีการขยายอาชีพให้กับชุมชน
การดำเนินกิจกรรมนักสืบสายน้ำของโรงเรียนมกุฏเมืองราชวิทยาลัยนี้ ช่วยกระตุ้นให้เด็กนักเรียนและคนในชุมชนได้เรียนรู้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดี โดยรู้ว่าจัก “พอประมาณ” ในการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเอง ไม่ก้าวตามกระแสทุนนิยม “มีเหตุมีผล” ในการเลือกฟื้นฟูทรัพยากรที่เคยอุดมสมบูรณ์ให้ฟื้นคืนมาเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรในอนาคต นอกจากนี้ กิจกรรมนักสืบสายน้ำยังส่งผลให้เด็ก “มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี” คือรู้ว่าทรัพยากรธรรมชาติคือสิ่งที่ทุกคนควรหวงแหนและร่วมกันอนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ของชุมชนในอนาคต
โรงเรียนเทศบาลจามเทวี
นางสาวรัตนาภรณ์ ริยะป่า ครูการงานอาชีพ เล่าว่า “กิจกรรมที่กำหนดของโรงเรียนจะถูกแยกเป็น “5 หน่วยการเรียน” คือ พืชผักรักไทย , ไร่นาสาธิต , ชีวิตจิ้งหรีดน้อย, สับ ซอย หมัก เพิ่มคุณค่า, และเลี้ยงปลาได้ประโยชน์ โดยทั้งหมดเป็นกิจกรรมที่มีอยู่ในโรงเรียนคือ “อุทยานการเรียนรู้” ซึ่งทำให้ครูไม่ต้องไปคิดเพิ่ม เพียงแต่ไปหยิบจับ เอาสิ่งของที่มีอยู่ในโรงเรียนมาปรับใช้ให้เข้ากับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น เช่น “พืชผักรักไทย” เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิชาเกษตร ตั้งแต่เริ่มเตรียมดิน การปลูกพืช รวมถึงวิชาคณิตศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวพืชผักไว้ขาย เป็นต้น “ชีวิตจิ้งหรีดน้อย” แม้จะเป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของวิชาวิทยาศาสตร์ล้วนๆ โดยเฉพาะการศึกษาวงจรชีวิตของจิ้งหรีด แต่ในส่วนของวิชาการงานเด็ก ๆ ได้วิชาการทำอาหารจากจิ้งหรีด รู้จักคุณค่าและประโยชน์ของจี้งหรีดซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้าน “สับ ซอย หมัก เพิ่มคุณค่า” เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำน้ำหมักชีวภาพหรือ “น้ำอีเอ็ม” ในหน่วยการเรียนรู้นี้จะมีวิชาคณิตศาสตร์สอดแทรกอยู่คือเรื่องของการคำนวณ ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์จะเป็นเรื่องของจุลินทรีย์ในน้ำหมัก วิชาเกษตรก็เป็นเรื่องของการผลิตน้ำหมักชีวภาพ การนำผลผลิตไปใช้รดต้นไม้ ใช้เป็นยาฆ่าแมลง เป็นน้ำยาล้างห้องน้ำ เมื่อเหลือจากใช้เองภายในโรงเรียนแล้วจึงจะนำไปขายในชุมชน โดยในหน่วยการเรียนรู้นี้นอกจากเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ ข้างต้นแล้ว เด็กๆ ยังได้เรียนรู้การนำกลับมาใช้ใหม่ของวัสดุเหลือใช้โดยเฉพาะ “เศษอาหาร” “ที่เป็นประโยชน์มากที่สุดคือเอามาใช้เป็นน้ำยาล้างห้องน้ำในโรงเรียน เพราะช่วยประหยัดงบประมาณของโรงเรียนได้หลายร้อยบาท และที่สำคัญคือไม่มีสารตกค้างหลงเหลืออยู่ทั้งในห้องน้ำและในดินเหมือนกับการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำจากตลาด”
โรงเรียนบ้านเหล่ากกหุ่งสว่าง
ครูวชิราภรณ์ ช่างปรุง เล่าให้ฟังว่า การขับเคลื่อนกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบของสหกรณ์เป็นการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ “การทำกิจกรรมสหกรณ์ต้องมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและเพื่อนๆ อีกทั้งยังสอดแทรกคุณธรรมด้านความเสียสละเข้าไปด้วย เพราะร้านสหกรณ์จะเปิดขายในวันหยุดด้วย จึงต้องมีการผลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแล นอกจากนี้ กิจกรรมในร้านสหกรณ์ยังใช้หลักความพอประมาณ เนื่องจากเราจะไม่กักตุนสินค้า และสินค้าแต่ละประเภทจะต้องเหมาะสมกับบริบทของหมู่บ้าน หากสินค้าชนิดใดมีราคาแพงเกินไป สหกรณ์จะสั่งซื้อสินค้านั้นก็ต่อเมื่อมีคนสั่งเท่านั้น ที่สำคัญคือสหกรณ์นี้จะเน้นขายสินค้าประเภทอุปโภคและบริโภคเป็นหลักหรือสินค้าที่ชุมชนผลิตเอง เช่น ขนมพื้นบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ ครูยังได้การนำกิจกรรมสหกรณ์มาบูรณาการในการเรียนการสอนโดยสอดแทรกในทุกสาระวิชา อาทิ ในวิชาภาษาไทย เด็กๆ จะนำชื่อสินค้าไปแต่งเรียงความ เช่น เรื่อง “สหกรณ์ของเรา”
หรือในวิชาภาษาอังกฤษก็สอนให้เด็กๆ ให้รู้จักศัพท์ต่างๆ หรือแม้แต่วิชาวิทยาศาสตร์ก็ยังสามารถนำผงชูรสหรือสินค้าต่างๆ มาใช้ในการทดลองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิชาการงานอาชีพซึ่งช่วยสอดแทรกการฝึกอาชีพค้าขาย หรือแทรกในวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการทอนเงิน บัญชีรายรับรายจ่าย และในวิชาสังคมยังได้นำหลักคุณธรรมเรื่องจริยธรรม ความเอื้ออาทรและความเสียสละ ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักหน้าที่ของตนเองมากขึ้น หรือในวิชาศิลปะ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ศิลปะการจัดแต่งหน้าร้านว่าทำอย่างไรให้ร้านค้าเป็นที่ดึงดูดใจของผู้ซื้อ หรือฝึกทักษะการประชาสัมพันธ์ให้เด็กๆ กล้าพูด กล้าขาย ที่สำคัญคือสหกรณ์แห่งนี้มีสมาชิกทั้งเด็กๆ และครูทั้งหมดในโรงเรียน ทำให้เป็นกิจกรรมสหกรณ์ที่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทุกคนแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบในการทำงาน เช่น จะมีฝ่ายตรวจรับสินค้า สำรวจสินค้า กำหนดราคา โดยขั้นตอนเหล่านี้จะมีทั้งครูและนักเรียนเข้าร่วมด้วย ด้านการกำหนดราคาสินค้าก็จะกำหนดให้ต่ำกว่าราคาป้าย โดยจะให้นักเรียนคิดราคากันเองว่าจะเอากำไรเท่าไร เช่น ซื้อสินค้ามา 10 บาท เขาจะเอากำไร 1-2 บาท ไม่เกินนี้ และยังได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของในสหกรณ์ “สหกรณ์” จึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชาวบ้าน เพราะบางครั้งร้านค้าของในชุมชนบางแห่งก็ยังมาซื้อของจากสหกรณ์และนำมาขายต่อ โดยไม่ได้มองว่า “สหกรณ์คือคู่แข่ง” แต่เป็นตัวช่วยด้วยซ้ำเนื่องจากว่ามีหุ้น แถมยังได้กำไรจากการขายอีก กิจกรรมสหกรณ์ จึงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชนต่อเนื่องได้อีกทางหนึ่ง
น้องดอกอ้อ ศรีเร่ นักเรียนชั้นม.3 และน้องนิตยา รูปพรรณ นักเรียนชั้นม.2 ช่วยกันเล่าว่า “พวกหนูได้มีโอกาสทำกิจกรรมในศูนย์การเรียนรู้ฯ เรื่องการเพาะพันธุ์กล้าไม้ โดยได้เรียนรู้วิธีการต่างๆ ตั้งแต่การปลูก การใส่ปุ๋ย หากไม่มีกิจกรรมนี้เวลาว่างก็ไม่ได้ทำอะไร จะไปเล่นกีฬาหรือไม่ก็อ่านหนังสือการ์ตูน เมื่อได้มาทำกิจกรรมเพาะพันธุ์กล้าไม้ก็รู้สึกสนุกและมีความรู้เพิ่มขึ้นด้วย โดยได้เรียนรู้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง รู้ว่าการเพาะพันธุ์กล้าไม้ทำอย่างไร มีคุณธรรมด้านความเสียสละในการดูแลต้นไม้ให้แก่ส่วนรวม โดยแบ่งเวรกันทำงาน ช่วยกันรดน้ำต้นไม้ หรือใส่ปุ๋ย ดูแลต้นไม้ เพราะถ้าไม่ช่วยกันทำงานก็ไม่สำเร็จ และกิจกรรมนี้ยังทำให้พวกหนูรู้จักความพอประมาณ คือ การทำงานตามกำลังและทุนทรัพย์ที่มี ไม่ทำมากเกินไปจะทำให้เราเดือนร้อนได้ หรือการเรียนรู้ตนเองว่าสภาพหมู่บ้านของเรามีดินเปรี้ยว ทำให้เวลาปลูกอะไรจะต้องปรับสภาพดินก่อน เช่น นำปูนขาวมาโรยและขนดินทรายมาถม และเมื่อเรียนจบไปแล้ว พวกหนูคิดว่ากิจกรรมนี้ยังเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีในการมีความรู้ติดตัวหรือไปประกอบเป็นอาชีพในอนาคตต่อไปได้”
โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
อาจารย์บุญทวี ชาวปากน้ำ กล่าวถึง หนังสือ“อนุทินชีวินวิวัฒน์” ว่า จัดทำขึ้นตาม “โครงการการเรียนรู้สู่สากลบนความเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก” ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์พิสิฐ นาครำไพ ศึกษานิเทศเขต1 เพื่อให้นักเรียนทุกระดับชั้น (ม.1- ม.6) เป็นผู้บันทึกและบรรลุเป้าหมายที่จะต้องก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมที่หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว ช่วงแรกๆ ที่ให้นักเรียนบันทึกเรามุ่งเน้น 2 ประเด็นคือ การใช้เวลา และการใช้เงิน เพราะเมื่อเด็กจดบันทึกแล้ว เราจะกระตุ้นให้เด็กๆ วิเคราะห์ข้อมูลที่จดบันทึกไปนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ซึ่งเมื่อเด็กลงมือทำแล้ว จะเห็นข้อมูลและรู้ได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนคือ เด็ก ๆ ลดความฟุ่มเฟือยลง มีการออมมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความรักสามัคคีมากขึ้น กริยามารยาทดีขึ้น แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน แต่ด้วยคุณลักษณะของนักเรียนที่เปลี่ยนแปลงไป คือเรียนดี มีความรับผิดชอบ คิดวิเคราะห์เป็น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้น ทำให้โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีได้รับการเลื่อนระดับให้เป็นโรงเรียนเกรด A ในปัจจุบัน”
เมธิน อินทรประสิทธิ์ หรือ น้องกู๋ นักเรียนชั้นม.4 เล่าว่า “เริ่มบันทึกอนุทินชีวินวิวัฒน์ ตั้งแต่อยู่ชั้นม.3 เพราะได้รับมอบหมายจากครูหมวดวิชาสังคม แรกๆ ไม่คิดว่าการบันทึกจะมีประโยชน์อะไรกับตนเอง คิดเพียงว่านี่คือการบ้าน ทำแล้วจะได้คะแนนเท่านั้น แต่เมื่อลงมือทำอย่างจริงจัง ก็ทำให้รู้จักตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ และการได้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ของนักเรียนนี่เองที่นำไปสู่ “การปรับเปลี่ยน” วิธีคิด วิถีปฏิบัติ ของตัวเองในหลายด้าน อาทิ
“...จากเดิมเป็นครอบครัวเดี่ยว มีพ่อ แม่ พี่ และคุณย่า แต่เมื่อมาทำแผนที่เครือญาติออกมา ผมถึงรู้ว่าเราก็ญาติเยอะเหมือนกัน แล้วเริ่มรู้สึกสนุกที่ได้เจอญาติๆ ก่อนหน้านี้เวลาไปเยี่ยมคุณย่าก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับใคร แต่พอทำอนุทินชีวินวิวัฒน์ แล้วไปบ้านคุณย่า เรารู้เลยว่า ลูกคุณอาคนนี้ชื่ออะไร ก็เรียกชื่อเลย เขาก็แปลกใจว่ารู้จักชื่อเขาได้อย่างไร ถือเป็นโอกาสที่จะได้คุยกันและสนิทกันมากขึ้น ในครอบครัวก็มีความสุข เช่น พี่สาวผม จากประวัติเครือญาติแล้วไม่มีใครเรียนจนปริญญาตรีมาก่อน พอผมทราบว่าพี่สาวผมจบปริญญา ก็บอกเขาว่านี่เป็นหลานคนแรกของคุณย่า คุณยายที่จบปริญญาตรีเป็นคนแรกเลย พี่สาวฟังแล้วรู้สึกดีมากที่เขาเป็นคนพิเศษ…”
“...เมื่อก่อนผมรู้อย่างเดียวว่า ถ้าจะเรียนให้ได้เกรดดีๆ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือต้องขยัน ทุกๆ วันผมจะทำการบ้าน และอ่านหนังสือไปจนถึงตี 2 ตี 3 ช่วงใกล้สอบบางทีอ่านถึงตี 4 อ่านจนเบลอ แต่หลังจากผมบันทึกตารางเวลากิจกรรมประจำวันในอนุทินชีวินวิวัฒน์ ทำให้ผมรู้ว่าที่ต้องเรียนหนักขนาดนั้นเป็นเพราะใช้เวลาไม่มีประสิทธิภาพ ผมก็เลยจัดระเบียบเวลาตัวเองใหม่ จากที่เคยทำการบ้านไปด้วย ดูทีวีไปด้วย ก็เลิกดูทีวี ทำให้มีเวลาทำการบ้านมากขึ้น 4 ทุ่มกว่าก็เสร็จ อ่านหนังสือต่อประมาณเที่ยงคืน ตี 1 ก็ได้นอน เช้าไปเรียนก็สดชื่น...”
“...บางคนอาจจะบอกว่า เราประหยัดสุดๆ แล้ว การจดบันทึกรายรับรายจ่ายจึงไม่มีประโยชน์ แต่ไม่จริงเลย ผมเองได้เงินวันละ 40 บาท เวลาขอเงินเพิ่มเพื่อทำงานส่งครู พี่สาวจะบอกว่าใช้อะไรนักหนา จึงจดบัญชีรับจ่ายให้ดู เลยพบว่ายังมีส่วนที่ประหยัดได้อีก คือ ค่าน้ำ เลิกซื้อน้ำ เอาขวดไปกรอกน้ำดื่มแทน แต่ถึงขนาดนั้น เงินที่ได้ยังไม่พออยู่ดี แต่เมื่อให้พี่ดูบันทึกที่เราจดไว้พี่จึงเข้าใจและไม่ต่อว่าอีก เพราะรู้ว่าเราประหยัดสุดๆ แล้ว ที่สำคัญคือ การนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันระหว่างเพื่อนๆ จะมีประโยชน์มาก หนึ่งคือได้รู้ว่ามีคนที่ประหยัดตั้งเยอะ ทำให้เรามีกำลังใจ ส่วนเพื่อนที่ได้เงินมากกว่าเราก็เริ่มเกิดคำถามว่า เอ๊ะ!! ทำไมเงินเขาไม่เหลือ ทำให้เขาลดความฟุ่มเฟือยลงและออมเงินมากขึ้น...”
โรงเรียนป่าเด็งวิทยา
อาจารย์ณัฐภาคย์ พัฒนพิเชียร ผู้อำนวยการโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ตัวเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงคือ ได้มีโอกาสส่งครูและนักเรียนจำนวนหนึ่งเข้ารับการอบรมค่ายความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง “เดินตามแนวคิดของพ่ออยู่อย่างพอเพียง” ณ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านกิจกรรมฐานการเรียนรู้ที่สื่อให้เข้าใจถึงการนำหลักความพอเพียงมาใช้ในการปฏิบัติงาน ที่อธิบายถึงการทำงานแต่ละอย่างที่ยึดหลักความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันตนเองและใช้ความรู้คู่คุณธรรม หลังจากจบค่ายนี้แล้ว ทำให้เกิดแรงผลักดันขึ้นทั้งกับนักเรียนและครูในโรงเรียนป่าเด็งวิทยากลุ่มเล็กๆ กลับมาทำกิจกรรมเพื่อพยายามขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการอบรมให้ครูในโรงเรียนนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปบูรณาการเข้ากับหลักสูตรและชวนกันคิดกับนักเรียนด้วยการมองหาศักยภาพรอบๆตัว
นางสาวสินีนุช ปานอุทัย เล่าว่ามีโอกาสเข้าไปทำโครงการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพกับครูและเพื่อนๆ จากการที่ตัวเองได้ไปเข้าค่ายร่วมกิจกรรมต่างโรงเรียน และเห็นเพื่อนๆเล่าว่า มีของดีในจังหวัดมากมาย แต่ตัวเองกลับไม่รู้เลยว่ามีของดีหรือสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้างใกล้บ้าน จึงได้เข้าร่วมโครงการนี้กับโรงเรียน โดยใช้ช่วงเวลาปิดเทอมไปออกค่ายสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆโรงเรียน ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพบว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ทำให้ได้ศึกษาทั้งเรื่อง นก แมลง ผีเสื้อ สมุนไพร และปู 7 สี “ตอนแรกยังไม่รู้ว่าบ้านเรามีอะไรดี และสิ่งที่ชุมชนควรอนุรักษ์คืออะไร เมื่อปิดเทอมจึงออกไปสำรวจในป่ากับเพื่อนๆ โดยมีทั้งครูและเจ้าหน้าที่อุทยานคอยสอนให้ความรู้ ตัวอย่างเช่น ปู 7 สี หรือปูคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นปูท้องถิ่นมีเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรีเท่านั้น และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความสะอาดของน้ำ ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า หากอนุรักษ์ปู ? สี ก็จะส่งผลให้เรามีน้ำกินน้ำใช้ที่สะอาดและมีสิ่งแวดล้อมที่ดีตามมา ซึ่งสอดคล้องกับหลักคำสอนของพ่อใน 3 ห่วง 2 เงื่อนไขคือ ได้รู้จักตนเอง ภูมิใจในชุมชน ซึ่งหากคนในชุมชนไม่สนใจแล้วน้องๆรุ่นต่อไปก็อาจจะไม่รู้จักหรือไม่มีธรรมชาติที่งดงามเหล่านี้เหลืออยู่”
โรงเรียนบ้านแม่ระกา
อาจารย์สุพล จันต๊ะคาด ผู้อำนวยการ เล่าว่า “จากการนำหลักของเศรษฐกิจพอเพียงไปบูรณาการปรับใช้ในทุกหลักสูตร รวมทั้งเปิดให้นักเรียนออกไปเรียนตามแหล่งเรียนรู้ บางรายวิชาก็เชิญวิทยากรท้องถิ่นเข้ามาสอน ซึ่งไม่ได้สอนแค่ความรู้เท่านั้น แต่ยังสอนคุณธรรมและจริยธรรมไปพร้อมๆ กันด้วย” แม้โรงเรียนบ้านแม่ระกาจะเพิ่งเริ่มโครงงานมาได้เพียง 2-3 ปี แต่ก็เริ่มมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว สังเกตได้จากเด็กที่จบแต่ละรุ่น จะไม่ละทิ้งถิ่นฐานทั้งหมดเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งสมัยก่อนเมื่อเด็กเรียนจบภาคบังคับ(ม.3) มักจะทิ้งถิ่นไปทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่อื่นๆ บางรายก็ถูกพ่อแม่ที่ออกไปทำงานก่อนรับไปอยู่ด้วย เหลือไว้เพียงแค่เด็กและผู้สูงอายุอยู่ด้วยกันภายในหมู่บ้าน ถ้าหากไม่หาทางแก้ไข ก็จะทำให้ชุมชนอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่หลังจากเริ่มปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนไประยะหนึ่งพบว่ามีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นในชุมชน ทั้งอาชีพเกษตรอินทรีย์ และมีเตาเผาถ่านในชุมชนเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือกลุ่มเด็กๆ ยังพร้อมที่จะขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป โดยจัดตั้งเป็น“เครือข่ายเยาวชนแม่ระกา” มีการทำงานร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ เช่น หมออนามัย องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ฯลฯ ผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้ช่องว่างและความขัดแย้งระหว่างโรงเรียนกับชุมชนหายไป จนชุมชนบ้านแม่ระกา ได้รับเลือกจากกรมส่งเสริมสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้เป็นชุมชนต้นแบบด้านสวัสดิการชุมชน ”
ด.ญ.ชุดาภรณ์ ย่อมครบุรี หรือน้องแอน นักเรียนชั้น ป.6 เล่าว่าที่ผ่านมามีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมถ่านและน้ำส้มควันไม้ ทำให้สามารถนำสิ่งที่เหลือใช้กลับมาทำประโยชน์ได้อีก นั่นคือเศษกิ่งไม้ตามหัวไร่ปลายนา หรือกิ่งไม้ที่ถูกตัดตกแต่งทิ้ง ก็นำมาเผาเป็นถ่านในถังน้ำมัน 200 ลิตร ทำให้ได้ถ่านและน้ำส้มควันไม้ เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างพลังงานทดแทน เดิมชาวบ้านเผาถ่านแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์จากน้ำส้มควันไม้ แต่โครงงานนี้ทำให้ทราบว่าน้ำส้มควันไม้มีประโยชน์สูงมาก เอามาใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรได้ผลดี โดยใช้น้ำส้มควันไม้เข้มข้นมากำจัดหรือไล่แมลงศัตรูพืช ขณะเดียวกันถ้าผสมน้ำให้เจือจางลง ยังเป็นฮอร์โมนเพิ่มผลผลิตให้พืชได้อีกด้วย และที่สำคัญคือช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นของน้ำเน่า ช่วยดูดซับพิษหรือสารเคมีที่ตกค้างอยู่ตามพื้นดิน”
โรงเรียนหนองรีมงคลสุขสวัสดิ์
ครู ศิวพร แย้มแตงอ่อน อาจารย์แกนนำเล่าให้ฟังว่า สิ่งหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กๆเข้าร่วมกิจกรรมของชุมนุมที่สร้างอาชีพ เหล่านี้คือ พวกเขาเห็นรอยยิ้มของพ่อแม่และความภาคภูมิใจในการได้แบ่งเบาภาระของครอบครัว เบื้องต้นจะเน้นให้เด็กทำกิจกรรมด้านการเกษตรผ่านกิจกรรมชุมนุมในโรงเรียน เช่น สอนให้นักเรียนปลูกผักและพืชสวนครัวไว้ใช้ประโยชน์ และกิจกรรมที่เน้นการสร้างอาชีพ เช่น ชุมนุมถั่วเคลือบ ซึ่งทั้งครูและเด็กร่วมด้วยช่วยกัน และนำตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ที่ช่วยกันปลูกไว้แล้วในโรงเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทดลองจนได้สูตรถั่วเคลือบสมุนไพรที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย และเมื่อมีงานเทศกาลประจำตำบลหรืองานประจำจังหวัด เด็กๆ ก็จะนำทั้งถั่วเคลือบสมุนไพร กล้วยทอดสมุนไพรเหล่านี้ไปขายภายในงาน กิจกรรมนี้นอกจากสร้างความสนุกสนานและความภูมิใจให้กับเด็กๆ แล้ว รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายของเหล่านี้ เด็กๆ ยังสามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ เราสอนเด็กด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการเล่าถึงความพอเพียงอย่างการใช้เงินในชีวิตประจำวัน ว่ามีเหตุผลหรือไม่ พ่อแม่ทำงานหนักในโรงงานนำเงินมาให้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวันๆ ละ ?? บาท ก็แนะนำเด็กๆ ว่าให้ลองหยอดกระปุกออมสินวันละ ?? บาท แล้วดูว่าหากวันไหนพ่อแม่ไม่มีเงินให้ เงิน ?? บาทที่เก็บไว้นี้ก็จะมีประโยชน์ต่อไป ให้เด็กๆ ได้รู้จักค่าของเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง นอกจากนี้ครูศิวพร ยังมีวิธีเด็ดๆให้เด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมนั่งล้อมวงคุยกันเล่าถึงวิถีชีวิตของแต่ละคนว่าเป็นอย่าง ไร เพื่อร่วมกันเรียนรู้การรู้จักตนเอง การเรียนรู้ “ความพอเพียง” จากประสบการณ์จริงเหล่านี้ ทำให้เด็กๆหนองรีสุขสวัสดิ์ สามารถนำหลักคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้และสร้างเป็นอาชีพติดตัว อันจะนำไปสู่ภูมิคุ้มกันที่ดีในอนาคต
