ความร้อน ในฤดูแล้ง ที่ทุกคนได้รับพร้อม ๆ กันไม่ว่าเขาหรือเธอจะอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศนี้ หลายคนบ่น บางคนตั้งคำถาม มีไม่น้อยที่พยายามหาคำตอบ.... กระทั่งข่าวไฟป่า และข่าวหุบเขาข้าวโพดลุกลามไปบนหน้าสื่อ....“น่าน” จึงปรากฏต่อสายตาของผู้ที่พยายามมองหา
“จำเลย”
ทำไมต้องน่าน...??
คำตอบอาจจะออกมาแนว ๆ เพราะน่านเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยภูเขา อดีตเคยมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ก็มาจากป่าเมืองน่าน จนกระทั่งมีการชวนเชื่อให้ปลูกข้าวโพด ป่าไม้เมืองน่านก็ถูกบุกรุก แผ้วถาง ป่าเมืองน่านก็ลดลงทุกปี
แต่อีกด้านหนึ่งที่คนที่อยู่ปลายน้ำยังไม่รู้ คือ แม้จะมีการตัดป่าเพื่อปลูกข้าวโพด ก็มีคนอีกหลายกลุ่ม พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้ง “ป่าข้าวโพด” แต่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย “จุดอ่อนของความเป็นน่านคือ มีนักพัฒนาอยู่มากมาย มีกลุ่มองค์กรหลากหลายองค์กร แต่เราขับเคลื่อนกิจกรรมไปไม่ถึงปลายทาง”
พระครูสุจิณนันทกิจ หรือที่รู้จักในนาม “พระอาจารย์สมคิด” ประธานมูลนิธิส่งเสริมการเรียนรู้ชุมชน (วัดโป่งคำ) พระนักพัฒนาพยายามชี้ให้เห็นจุดอ่อนบางประการของการทำงานเพื่อดูแลป่าไม้เมืองน่าน
ถึงกระนั้นก็ตามพระอาจารย์สมคิดยังชี้ว่า
“เราไม่อยากให้ทุกคนคิดว่านี่เป็นปัญหาของจังหวัดน่าน แต่เราจะทำอย่างไรให้ปัญหาเหล่านั้นเป็นปัญหาของทุกคน” ในฐานะพระนักพัฒนา พระครูสุจิณนันทกิจ มองว่า การแก้ไขปัญหา “หุบเขาข้าวโพด” คือการเข้าไปปรับเปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้าน ที่อาศัยรอบป่า โดยใช้ธรรมเป็นฐาน ธรรมที่เป็นธรรมชาติ เป็นองค์ความรู้ภูมิปัญญาของตนเอง
“เราต้องใช้ธรรมเป็นฐาน ใช้งานเป็นทุน ไม่อยากให้คนน่านทิ้งกัน คนน่านจะต้องไม่ทิ้งกัน ถ้าคนน่านได้แสดงตนเป็นแบบนี้มันก็จะเกิดเป็นพลังของคนน่าน อาตมาอยากเห็นคนน่านคิดเป็น คิดเป็นเชิงยุทธศาสตร์ คิดแบบเป็นระบบ”
และด้วยวิสัยทัศน์ของนักพัฒนาที่อยากเห็นคนน่านเห็นคุณค่าความเป็นน่าน
ทำให้พระครูสุจิณนันทกิจ ค่อยๆ เพาะบ่มต้นกล้า หน่ออ่อนของเมืองน่าน เพื่อให้เขาเหล่านั้นเติบโตมาพัฒนาชุมชนของตนเอง ให้เขาสามารถจัดการตนเองตามวิถีของคนเมืองน่านได้ พระอาจารย์สุจิณนันทกิจเห็นว่าการเข้ามาของโครงการเสริมศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน เป็น “โอกาสที่ดี” ที่จะได้เติมเต็ม การทำงานของพื้นที่ที่ยังขาดแคลนทรัพยากร โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาศักยภาพองเยาวชน ด้วยมองเห็นว่า
ปัจจุบันสถานการณ์ของจังหวัดน่านกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ
โดยเฉพาะปัญหาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ที่ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
เมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ชวนทำโครงการเสริมศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน เห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงอยากชวนเด็กและเยาวชนมาเรียนรู้เพื่อให้เขามี “หลักคิด” ในการดำเนินชีวิต และถือเป็น “กุศโลบาย” ที่ต้องการให้เยาวชนเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ผู้ใหญ่ เพราะปัญหาที่จังหวัดน่านเผชิญอยู่ขณะนี้ การขับเคลื่อนในวงผู้ใหญ่มักไม่ได้ผลตอบรับเท่าที่ควร จึงคิดให้เยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานช่วยสื่อสารไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองแทน อีกทั้งยังมองว่าการปลูกฝังทักษะต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กสามารถทำได้ง่าย โดยคาดหวังว่ากระบวนการดังกล่าวจะช่วยสร้างสำนึกรักบ้านรักเมืองจนติดตัวไปจนเป็นผู้ใหญ่ และท้ายสุดจะทำให้ชุมชนมีแกนนำ ผู้นำ หรือสมาชิกที่ดีมาช่วยขับเคลื่อนเมืองน่านให้น่าอยู่ต่อไป
เพราะเชื่อว่าหน่อกล้าเหล่านี้จะกลายเป็นหนึ่งแรงสำคัญในการพัฒนาเมืองน่าน ให้เป็นไปตามวิถีของคนเมืองน่านอย่างแท้จริง พระครูสุจิณนันทกิจจึงพยายามเพาะบ่มเพาะต้นกล้าเหล่านี้ไปทั่วทุกมุมเมืองของจังหวัดน่าน ผ่านการทำโครงการเสริมศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน เพื่อสร้างให้เด็กและเยาวชนได้เกิดการเรียนรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของชุมชนของตนเอง รู้จักตนเองผ่านการทำโครงการ เพื่อให้เขาได้รักและหวงแหนผืนแผ่นดินที่ตนอยู่
อาจกล่าวได้ว่านอกจากต้นกล้าของพืชพรรณที่จะมาช่วยทำให้เมืองน่านไม่เป็นภูเขาหัวโล้นแล้ว พระครูสุจิณนันทกิจยังมองว่า หน่อเนื้อของคนเมืองน่านเองก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันที่จะช่วยกันบ่มเพาะและปลูกจิตสำนึกความเป็นพลเมืองเยาวชนของจังหวัดน่านกลับมาเป็นเมืองน่านอย่างแท้จริง
นี่คืออีกหนึ่งเสียงของคนเมืองน่านที่ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ที่เป็นไปของภาวะภูเขาหัวโล้น หากแต่ท่านยังมองลึกไปจนถึงการปลูกฝังหน่อกล้าที่มีค่ามากกว่าพรรณไม้ให้ นั่นคือหน่อกล้าของเยาวชนที่จะหยั่งรากลึกสู่สำนึกพลเมือง
เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆดังนี้
|
หัวข้อข่าว : |
เพาะกล้าธรรม ยับยั้งป่าข้าวโพด ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ประจำวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2559 |
|
หัวข้อข่าว : |
(กรอบเช้า) เพาะหน่อกล้า'รักเมืองน่าน' ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ข่าวสด ประจำวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 |
|
หัวข้อข่าว : |
(กรอบบ่าย) เพาะหน่อกล้า'รักเมืองน่าน' ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ข่าวสด ประจำวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2559 |