รอยอดีต เสน่ห์แห่ง “สามชุก”สร้างกิจกรรมเยาวชน สู่ชุมชนเข้มแข็ง

สามชุก เป็นตลาดสำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 อดีตย่านนี้เคยเป็นท่าเทียบเรือและศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของจังหวัดสุพรรณบุรีเนื่องจากตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน แต่เมื่อมีถนนใหม่ตัดผ่านหลายสาย ทำให้การคมนาคมทางเรือซบเซาลง ความสำคัญของตลาดสามชุกจึงลดลงตามไปด้วย

­

เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำชาวบ้านจึงได้หาแนวทางเพื่อพัฒนาตลาดสามชุกให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง โดยในปี 2546 ได้เข้าร่วมในโครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และมูลนิธิชุมชนไท โครงการที่สนับสนุนให้ชาวบ้านเกิดความเข้มแข็งและตรงกับความต้องการของชาวบ้าน โดยมีประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นภาคีในการขับเคลื่อนและมีเป้าหมายที่ทำให้สามชุกเป็นเมืองที่มีความสุขและน่าอยู่

­

กฤตยา เสริมสุข หรือป้าแหวว หนึ่งในคณะกรรมการตลาดสามชุก เล่าว่า จากการที่สามชุกเป็นเมืองท่าสำคัญในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า แต่เมื่อมีถนน ทำให้ร้านค้าในตลาดต้องหาทางปรับตัว อีกทั้งเมื่อราชพัสดุเจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่ามายาวนานจะรื้ออาคารตลาดเก่าเพื่อมาสร้างตลาดใหม่ จึงทำให้ชาวบ้านพ่อค้าที่อยู่ในตลาดสามชุกและครูอาจารย์ที่เห็นคุณค่า ร่วมกันระดมความคิด หาทางอนุรักษ์ตลาด

­

โดยรวมกลุ่มกันจัดตั้ง “คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก” และได้มีการประชุมใหญ่และมีมติร่วมกันว่า จะอนุรักษ์และฟื้นฟูตลาดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นมรดกในการเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง จึงมีการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนงานที่จะอนุรักษ์ตลาดสามชุก โดยการตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนต่างๆ เช่น ครู เจ้าหน้าที่เทศบาล นักธุรกิจ ชาวบ้านย่านตลาด ตัวแทนจากชุมชนรอบตลาด กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มแอโรบิค ฯลฯ และมีกิจกรรมแรกที่เกิดกระบวนการทำงานร่วมกัน คือ การช่วยกันทำความสะอาดตลาดสามชุก

­

ป้าแหวว เล่าว่า กิจกรรมแรกที่ช่วยกันทำในตลาดสามชุกฟังชื่อก็ยังตลก คือ “การล้างหยากไย่ร้อยปี” ซึ่งจะเป็นการทำความสะอาดตลาด ทำความสะอาดบ้านเรือนในตลาด โดยตลาดสามชุกเป็นตลาดริมแม่น้ำที่มีหลังคาสูงทำให้มีหยากไย่เป็นจำนวนมาก ก็มาช่วยกันระดมชาวบ้านเข้ามาเก็บกวาดเกิดเป็นความร่วมมือร่วมใจกันทำงาน

­

หลังจากนั้นจึงมีกิจกรรมในตลาดสามชุกเกิดขึ้นอีกมากมายอย่างกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน เช่น กิจกรรมจักรยานแรลลี่ประวัติศาสตร์ให้เด็กๆที่เข้าร่วมได้ปั่นจักรยานไปเรียนรู้วิถีชีวิตและความเป็นมาของตลาดสามชุก เรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมในตลาดโดยมีฐานการเรียนรู้ในตลาด วัดสามชุก และรอบๆชุมชน นอกจากนี้โรงเรียนมัธยมศึกษาในชุมชนยังมีการผลักดันให้เกิดหลักสูตรท้องถิ่นที่บอกเล่าตำนานเมืองสามชุก เพื่อสร้างจิตสำนึกรักบ้านเกิด โดยมีการนำนักเรียนมาเรียนรู้วิชาต่างๆในตลาด เช่นในวิชาภาษาอังกฤษก็มาเรียนรู้ศัพท์เกี่ยวกับสินค้าในตลาด ทำให้เด็กสนุกและได้ความรู้ไปพร้อมๆกัน

­

กิจกรรมอบรมมัคคุเทศก์น้อย ซึ่งจะมีหลักสูตรที่ใช้เวลา 3 วัน โดยในวันแรกจะเป็นการเรียนรู้ในตลาดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตลาดสามชุก วันที่สองจะพาไปเรียนรู้รอบๆชุมชน และวันสุดท้ายจะเป็นการกลับมาสรุปบทเรียนเพื่อให้ทราบว่าได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง ซึ่งมี 4 รุ่นแล้วปีนี้ก็จะเป็นรุ่นที่ 5 โดยจะมีรุ่นพี่ที่เคยเป็นมัคคุเทศก์น้อยมาก่อน มาร่วมกันช่วยกันคิดว่าจะทำกิจกรรมอะไรบ้างและมีหน้าที่คอยดูแลน้องๆและรับผิดชอบกิจกรรมนี้ทั้งหมด โดยจะมีผู้ใหญ่ในชุมชนร่วมให้ความรู้ไปด้วย แต่หลักๆจะเป็นการเรียนรู้จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

­

ด.ญ.สิทธิพร บัวทอง หรือ "น้องใบหม่อน" อายุ 9 ปี นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนอนุบาลสมเด็จพระวันรัต อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในมัคคุเทศก์น้อยแห่งเมืองสามชุก ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสามชุกให้ฟังอย่างเจื้อยแจ้ว น้องใบหม่อนบอกว่า คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดอบรมมัคคุเทศก์น้อยขึ้นเพื่อให้เด็กๆ เป็นมัคคุเทศก์หรือไกด์นำนักท่องเที่ยวเดินชมของดีต่างๆ ในตลาดสามชุก ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ก็เลยพากันมาสมัครอบรมดู โดยในช่วงอบรมมีการพาไปดูงานตามสถานที่ต่างๆ จากนั้นก็กลับมาอบรมต่อที่สามชุกเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตลาดและสถานที่ต่างๆ รวมทั้งวิธีการพูด บุคลิกภาพ จากนั้นก็ทดลองทำงานที่ตลาด โดยมีพี่ป้าน้าอาคอยช่วยแนะนำ จนทำให้มีความชำนาญ ซึ่งจะมาทำช่วงวันเสาร์-อาทิตย์

­

“วันหยุดเมื่อช่วยแม่ทำงานบ้านเสร็จ พวกหนูก็จะมาทำงานที่นี่ ตัวหนูเองทำมาเกือบ 20 ครั้งแล้วค่ะ ก็สนุกมากๆ เลย เพราะทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของที่นี่ให้คนอื่นรับรู้ ได้ความสนุกสนานจากนักท่องเที่ยว รวมทั้งได้ทิปพิเศษจากนักท่องเที่ยวอีกต่างหาก บางวันก็ได้มาก บางวันก็ได้น้อย แล้วแต่ความเมตตาของแขก ทำให้ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อแม่ซื้อขนมหรืออุปกรณ์การเรียน”

­

ป้าแหวว เล่าต่อว่า สำหรับกิจกรรมอื่นๆเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนนั้น ยังมีการแสดงดนตรีของโรงเรียนต่างๆทั้งในชุมชนและรอบๆชุมชนสามชุกมาแสดงบริเวณลานโพธิ์กลางตลาด เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆเหล่านี้หารายได้ในการจัดซื้อเครื่องดนตรีและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากที่ผ่านมามีการสนับสนุนงบประมาณเหล่านี้จากภาครัฐน้อยมาก โรงเรียนและเด็กๆเหล่านี้จึงต้องพึ่งตนเอง โดยที่ผ่านมาก็ได้รับการสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนเงินพอสมควรในแต่ละครั้งที่แสดง ทำให้น้องๆเหล่านี้สามารถซื้อเครื่องดนตรีใหม่ๆและกลายเป็นพระเอก นางเอกที่มีนักท่องเที่ยวมาขอถ่ายรูปมากที่สุดในตลาดเลยทีเดียว

­

สำหรับการทำงานและกิจกรรมทั้งหมดส่วนหนึ่งมีการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตร อาทิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)แต่รายได้หลักของชุมชนนั้นมาจากกล่องรับบริจาคในตลาดที่ตั้งบริเวณพิพิธภัณฑ์ขุนจำนงจีนารักษ์ รวมทั้งการบริจาคเงินหน้าร้านเล็กๆน้อยๆโดยไม่มีการบังคับจากร้านค้าที่ตั้งอยู่ในตลาด สำหรับการทำงานของคณะกรรมการทั้งหมดก็ไม่ได้เงินเดือนทุกคนร่วมกันทำงานด้วยใจเป็นอาสาสมัครช่วยกันทำงาน และจะมีการประชุมแม่ค้าภายในตลาดทุกเดือนเพื่อรับฟังปัญหาของแต่ละร้าน รวมทั้งคณะกรรมตลาดเองก็จะมีการประชุมกันทุก 3 เดือนเพื่อร่วมกันสานนโยบายการทำงานให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนเป็นหลัก

­

ป้าแหวว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กิจกรรมจะมาจากการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหลัก และไม่ได้ทำเฉพาะในตลาด แต่มีชุมชนหลายๆชุมชนรอบๆตลาดเข้ามาช่วยด้วย เวลาชุมชนอื่นๆมีงานก็ไปช่วยเขาบ้าง แลกเปลี่ยนกัน ทำให้เกิดเป็นเครือข่าย สร้างชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น ระบบการจัดการในตลาดจึงใช้วิธีบอกต่อและขอความร่วมมือ เพราะเราเป็นภาคประชาชน ไม่มีเทศบัญญัติ ไม่มีกฎระเบียบอะไรทั้งสิ้น แต่จะใช้หลักการทำงานแบบมนุษยสัมพันธ์ส่วนตัวของแต่ละคนเข้าไปร่วมกันทำงาน”

­

อาจจะสรุปคร่าวๆได้ว่า ปัจจัยที่ทำให้การดำเนินงานของตลาดสามชุกประสบความสำเร็จนั่นคือ การที่เทศบาล ชุมชน และภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง การมีทุนทางสถาปัตยกรรมที่มีค่า การมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนและการสร้างกิจกรรมร่วมเพื่อกระตุ้นความสัมพันธ์ของคนในท้องถิ่น เหล่านี้ยังทำให้วัฒนธรรมในอดีตซึ่งบ่มเพาะมาเป็นเวลากว่า 100 ปี สร้างตลาดสามชุกให้ผ่านพ้นปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันและยังได้รับขนานนามว่าเป็นตลาด 100 ปีพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ด้วยบรรยากาศภายในตลาดที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิมเช่นในอดีต ซึ่งถามป้าแหววว่าอะไรคือจุดเด่นของที่นี่ ป้าแหววยิ้มด้วยความภูมิใจและบอกว่า เสน่ห์สำคัญของคนสามชุก คือ อัธยาศัยไมตรีของแม่ค้า ซึ่งผูกใจผู้พบเห็นให้มิรู้ลืม

­