นางศรีวรรณ หงษ์ทอง
ครู
ตำแหน่งที่ได้รับในโครงการต่างๆ
ประวัติและผลงาน

                กิจกรรม “เดือนของแม่”  โรงเรียนกงไกรลาศวิทยามีบรรยากาศเต็มไปด้วยความรักความเอื้ออาทรอันเนื่องมาจากโรงเรียนของเราได้จัดกิจกรรมเดือนของแม่  ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่นำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ 


                ในกิจกรรมเดือนของแม่เราจะเริ่มตั้งแต่  ท่านผู้อำนวยการให้วาทธรรมประจำสัปดาห์ ตลอดทั้งเดือนสิงหาคม คือ “คนดีเริ่มที่ความกตัญญู  ความกตัญญูเป็นบ่อเกิดแห่งความดี”  แล้วให้นักเรียนบันทึกลงในสมุดสื่อใยรักทุกวัน  โดยให้ขยายความว่านักเรียนคิดอย่างไรกับวาทธรรมนี้  ดีหรือไม่ดี  นักเรียนจะทำอะไร  อย่างไร  ได้บ้าง  

                กิจกรรมที่สอง  คือ  ในแต่ละระดับชั้นก็จะให้นักเรียนแต่งคำประพันธ์เกี่ยวกับแม่  โดยความยากง่ายก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละระดับ  เช่น ม.3  แต่งกาพย์ยานี 11  ม.4  แต่งอินทรวิเชียรฉันท์  ม.5  แต่งฉันท์  ป็นต้น  ซึ่งนักเรียนแต่ละระดับชั้นจะแต่งคำประพันธ์ได้นั้นก็ต้องได้เรียนรู้ฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์

               กิจกรรมที่สาม คือ ให้นักเรียนไปสัมภาษณ์แม่เกี่ยวกับการอุ้มท้อง  การฟูมฟักลูก  ความชื่นใจที่ได้จากลูก ว่าแม่รู้สึกอย่างไร  มีอาการอย่างไร อยากกินอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร เหนื่อยไหม ท้อไหม แม่ทำอะไรบ้างในช่วงเวลานั้นๆ จากนั้นก็ให้นักเรียนตั้งวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยจัดกลุ่ม ๆ ละ3 คน แต่ละคนในกลุ่มมีบทบาทดังนี้คือ คนที่หนึ่งเป็นคนเล่า  คนที่สองเป็นคนถาม  คนที่สามเป็นคนจด ให้เล่าเรื่องแม่ของตนเอง  โดยให้เวลารอบละ 15  นาที  เมื่อครบ 3 รอบแล้วก็ให้นักเรียนนำสิ่งที่บันทึกได้ ไปติดตามผนังห้องแล้วให้เพื่อนๆ ที่เหลือเดิน shopping  อ่านบันทึกของเพื่อนและให้คำชื่นชม  บางระดับใช้วิธีการให้แต่ละกลุ่มเลือกตัวแทนกลุ่มที่คิดว่าเรื่องราวน่าประทับใจเป็นตัวแทนมาเล่าให้เพื่อนฟังหน้าห้องเรียน  ซึ่งกิจกรรมนี้ทำให้ได้เห็นน้ำตา และรับรู้ถึงความรู้สึกที่อัดอั้นข้างในของนักเรียนหลายคนโดยการพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด  และได้เห็นบรรยากาศของความเอื้ออาทร  ความเข้าใจ  เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน  ครูก็ได้เรียนรู้จิตใจของนักเรียนมากขึ้น มีการถอดบทเรียนโดยการซักถามนักเรียนเป็นระยะๆ

                กิจกรรมที่สี่  คือ  แสดงละคร “บิลที่ไม่ได้เรียกเก็บ”  โดยมี concept  ว่า “แม่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากลูกเลย”  โดยให้นักเรียนจับกลุ่ม 3  คนแสดงละคร  นักเรียนสามารถแต่งเติมบทเองได้  แต่ให้อยู่ภายใต้ concept  เดียวกัน  นักเรียนแต่ละกลุ่มแสดงให้เพื่อนทั้งห้องดู  โดยที่ทุกคนได้แสดงบทบาทสมมุติด้วยกันทั้งห้อง  ได้แสดงบทบาทเป็นทั้งผู้แสดง  ผู้ชม  ผู้ฟังที่ดี  จากนั้นให้นักเรียนเขียนถอดบทเรียนเกี่ยวกับการชมละคร  ว่านักเรียนรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง  ได้เรียนรู้อะไร  แล้วเคยทำแบบนี้หรือไม่  จะทำอย่างไรต่อไป  เช่น  น.ส.จันทกานต์ จิ๋วพุ่ม  ได้สะท้อนว่า “จากการดูละครและแสดงละคร บิลที่ไม่ได้เรียกเก็บ รู้สึกสะกิดใจตนเอง  เพราะฉันก็เคยทำตัวเหมือนลูกทั้งสองที่อยู่ในละครเช่นกัน  จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ในทุกครั้งที่ขออะไรจากแม่  แม่ก็จะบ่นๆ แต่แม่ก็หามาให้เกือบทุกครั้ง  ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง  ตั้งแต่โตมาแม่ไม่เคยขออะไรจากฉันเลย  ฉันเองรู้สึกสำนึกผิด  และอยากกลับไปแก้ไขคือจะไม่เรียกร้องอะไรจากแม่อีก”  หรือ  น.ส.วรรณนารี  นาคมังสังข์  ได้สะท้อนว่า “จากการดูและแสดงละคร  ทำให้รู้สึกว่า  เราเคยทำอะไรให้แม่บ้างหรือเคยทำให้ท่านภูมิใจบ้างหรือเปล่า  แล้วทำไมเราต้องเรียกร้องสิ่งต่างๆจากแม่  ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่แม่ทำให้ ต่อไปนี้จะไม่เรียกร้องสิ่งของจากแม่  และจะพยายามทำทุกอย่างให้แม่ไม่ต้องลำบากหรือต้องทำให้แม่เหนื่อย”

                กิจกรรมที่ห้า ในวันที่  26  สิงหาคม  2554  ได้ทำกิจกรรมอุ้มท้อง กันทั้งโรงเรียน  ทั้งครูและนักเรียน  ทั้งครูผู้ชายและครูผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีลูกก็ร่วมเล่นด้วย  โดยกิจกรรมนี้จะเน้นให้นักเรียนสัมผัสประสบการณ์ตรง  เรียนรู้การเป็นแม่ในขณะที่อุ้มท้อง  โดยให้ทุกคนนำเป้มาสะพายไว้ข้างหน้า  ในเป้มี ไข่ 1 ลูกพร้อมกับสัมภาระที่ให้มีน้ำหนักอย่างน้อย 3  กิโลกรัม  ให้ทุกคนสะพายเป้แบบนี้ไว้ตลอดเวลาตั้งแต่  08.00  น.  ถึง  14.00  น.  ประมาณ  6  ชั่วโมง  โดยห้ามวาง  ห้ามถอด  ทำกิจกรรมใดก็ต้องสะพายเป้ตลอดเวลา  ทุกคนจะต้องทะนุถนอมไข่ไม่ให้แตก  ไข่ก็เปรียบได้กับลูกของแม่  ที่แม่ต้องฟูมฟักดูแลตลอดระยะเวลา  9  เดือนที่แม่อุ้มท้อง  ซึ่งกิจกรรมนี้ทำให้สัมผัสความรู้สึกของนักเรียนที่รับรู้ถึงความรู้สึกแม่  บางคนบอกหนัก  บางคนบอกเมื่อย  บางคนบอกรำคาญ  บางคนบอกอึดอัด  หายใจไม่ออก  มีนักเรียนหญิงบางคนบอกครูว่า “ครูค่ะ  หนูจะเข้าห้องน้ำ ขออนุญาตถอดได้ไหมค่ะ”  ครูก็ตอบกลับไปว่า  “แล้วตอนแม่หนูตั้งท้องแล้วจะเข้าห้องน้ำ  เขาถอดท้องออกได้ไหมค่ะ”  นักเรียนก็นิ่งสักพัก  แล้วก็ตอบครับ/ค่ะ  แล้วก็ไม่ถามอีกเลย  ครูได้เห็นภาพของนักเรียนหลายๆคนหาวิธีการหลากหลายในการป้องกันไข่ไม่ให้แตก   จากนั้นให้นักเรียนถอดบทเรียนว่า  นักเรียนรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง  ได้เรียนรู้อะไร  แล้วเคยทำแบบนี้หรือไม่  จะทำอย่างไรต่อไป  เช่น  นายเอกชัย  พรหมเผือก  ได้สะท้อนว่า “ในกิจกรรมนี้ เวลาที่อยู่ในสถานการณ์จำลองอุ้มท้องนั้น  ผมรู้สึกอึดอัด จะทำอะไรก็ไม่สะดวก  แต่ในความลำบากนั้นผมได้นึกถึงความลำบากของแม่ที่อุ้มท้องผมมา 9 เดือน  มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ผมทำเพียงแค่  6 ชั่วโมง  ดังนั้นผมจะเป็นคนดีและตั้งใจเรียนให้สมกับที่แม่ให้ชีวิตผมมา” 

                กิจกรรมที่หก  คือ  กิจกรรมตั้งปณิธานทำความดีเพื่อแม่  ให้นักเรียนตั้งปณิธานทำความดีเพื่อแม่  คนละ  1  ความดีที่สามารถทำได้ตลอดทั้งเดือนและตลอดไป  เป็นความดีที่เห็นเป็นรูปธรรม  เขียนลงในกระดาษและติดไว้ที่บอร์ดในห้องเรียน  เช่น น.ส.ศศิธร  แสงมณี  ตั้งปณิธานว่า “จะเล่น facebook  วันละไม่เกิน  3  ชั่วโมง  นายสิทธิเดช  คงสุข  ตั้งปณิธานว่า “ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดทุกชนิด”  น.ส.ดวงกมล  เรียญเพ็ช  ตั้งปณิธานว่า “จะออมเงินทุกๆ วัน”  น.ส.สุวนันท์  ส้มโต  ตั้งปณิธานว่า “จะโทรบอกแม่ทุกครั้งเวลาไปไหนกับเพื่อนๆ”  เป็นต้น

 

               ซึ่งจากกิจกรรมทั้งหกนี้  โรงเรียนได้ทำแล้วทั้งโรงเรียน  ทั้งระบบ  และทุกคน  นักเรียนได้รู้ตนในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
                -ค้นพบความภูมิใจ  ที่ได้รับรู้ความรู้สึกของความเป็นแม่อย่างเต็มเปี่ยม ได้พูดคุยซักถามแม่จากที่นักเรียนบางคนในแต่ละวันแทบจะไม่ได้คุยกับพ่อแม่เลย
                -ค้นพบการพึ่งตนเองในครัวเรือน ที่ตนและผู้ปกครองละเลยไป  คือ การดำเนินชีวิตในครอบครัวที่ลูกยังต้องการความรัก  ความเอาใจใส่จากพ่อแม่
                -รู้ประมาณตน  ในการดูแลตนเอง  การอยู่ร่วมกันในสังคม  การปรับตัว 
                -รู้เหตุผลที่ใช้ตัดสินใจ  มีภูมิคุ้มกัน  มีเหตุผลในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากภาวะเสี่ยงในการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร  หรือนักเรียนชายก็จะรู้สึกให้เกียรติผู้หญิงมากขึ้น


                 ในขณะเดียวกันครูก็ได้เรียนรู้ว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการผลิตเอง  บริโภคเอง  แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้กับกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย  และสามารถตอบโจทย์เรื่องของความพอประมาณ  การมีเหตุผล  และมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้  นอกจากนี้ยังรู้ตนว่า  ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น  จะต้องออกแบบการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้คิดเอง  ทำเอง  แก้ปัญหาเอง  แล้วจะทำให้นักเรียนมีความสุข  และมองเห็นว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพของตนเองในการเรียนรู้  โดยเฉพาะการแสดงละคร  ซึ่งตอนแรกคิดว่า  นักเรียนจะแสดงได้ดีรึเปล่า  ถ่ายทอดเรื่องราวได้ครบถ้วนตาม concept  หรือไม่  แต่เมื่อถึงเวลานักเรียนกลับแสดงได้ดี  มีการเตรียมการที่ดี