นางสาวปภัสรา เลิศอุดม
นักเรียน โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ
ตำแหน่งที่ได้รับในโครงการต่างๆ
ประวัติและผลงาน

ด.ญ.ปภัสรา เลิศอุดม (แพรว)



จิตอาสาของกลุ่มเป็นอย่างไร
น้อง แพรวบ้านอยู่ฝั่งธน พ่อแม่มีอาชีพรับจ้าง แพรวเป็นผู้นำเพื่อน เป็นหัวหน้าห้อง ม.3/3 รู้จักโครงการโรงพยาบาลมีสุขก็เพราะชวนเพื่อนไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต แพรวทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างพี่ๆจากมูลนิธิกระจกเงาและเพื่อนๆใน โรงเรียน

กิจกรรม จิตอาสาของแพรว ไม่ใช่เฉพาะในโรงพยาบาล แต่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยแพรวมีบทบาทในการชวนเพื่อนไปรับของบริจาคในเทศกาลปีใหม่ โดยประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนในโรงเรียน  เพื่อรวบรวมเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆไปเอาไปให้น้อง แพรวบอกว่าชวนเพื่อนไปทำจิตอาสาในโรงพยาบาลไม่ยาก เพราะไปด้วยความสมัครใจไม่บังคับ แม้จำนวนที่ไปจะแค่ 10 กว่าคน แต่ก็อยู่ในระดับที่พอใจ

พูด ถึงจุดเด่นของโครงการโรงพยาบาลมีสุขนี้ มีกิจกรรมให้ทำเรื่อยๆ ได้ลงพื้นที่จริง ไม่น่าเบื่อ  ได้ไปกับเพื่อน ได้อยู่กับน้อง ได้รับประสบการณ์ตรง ส่วนกลุ่มจิตอาสาของโรงเรียนสตรีศรีสุริโยไท แพรวบอกว่า มีจุดเด่นเพราะว่าไม่มีใครเหมือนเรา เพื่อนกลุ่มอื่นๆในโรงเรียนก็จะไม่ได้ทำโครงการที่เป็นรูปธรรมสามารถเห็นผล ได้ชัดเหมือนของเรา อีกอย่างจุดเด่นอยู่ที่ใจ เราไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้า  ทำด้วยใจของเรา (คำว่าอาสาคือทำด้วยใจไม่ทำเอาหน้า) แพรวย้ำว่า พวกเรา “หน้าตาไม่ดีแต่จิตใจดี” นี่คือนิยามของกลุ่มจิตอาสาสตรีศรีสุริโยไท


ประสบการณ์และความประทับใจ
แพรว ไม่ค่อยมีเวลาว่างเพราะเป็นลูกคนโต ต้องดูน้องสองคน วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ต้องรีดผ้า  กลับจากทำจิตอาสาที่โรงพยาบาลถึงบ้านก็เหนื่อยมาก แต่พอนึกถึงรอยยิ้มของน้องๆที่โรงพยาบาลแล้วรู้สึกดี (หายเหนื่อย)

ไป โรงพยาบาลอยู่ทั้งหมดประมาณ 3-4 ครั้ง ได้เล่นกับน้องๆแล้วก็รู้สึกว่าน้องที่เจอเหมือนเด็กปกติทั่วไป อย่างเช่นครั้งแรกเจอน้องตัวเล็กๆคนหนึ่ง ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่เขายังเล่นอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม แพรวก็ได้ชวนน้องวาดรูประบายสี ครั้งที่ 2 เมื่อได้เล่นกับเขา ตอนถึงเวลากลับก็บอกน้องว่าจะกลับแล้ว ไว้วันหลังค่อยมาเจอกันอีก น้องโบกมืออำลาและก็ยิ้ม แต่พอครั้งที่ 3 น้องกลับบ้านไปแล้ว


แพรว มองว่าคุณค่าของงานที่พวกเราไปทำได้ช่วยแบ่งเบาภาระพยาบาล เพราะพยาบาลมีงานเยอะอยู่แล้ว ไม่มีเวลามาเล่นน้อง ทำได้แค่เพียงหน้าที่มาตรวจดูว่าวันนี้เป็นอย่างไร การที่เราไปทำจิตอาสาก็แบ่งเบา ทำให้พยาบาลมีเวลาปฏิบัติหน้าที่ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยแบ่งเบาภาระของคนดูแล เพราะน้องบางคนญาติอยู่ไกลไม่ได้มาหา ต้องอยู่คนเดียวอาจรู้สึกเหงา เราก็ได้ช่วยให้น้องมีความสุขมากขึ้น



การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง
นอก จากเราสามารถเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของน้องๆในโรงพยาบาลในแต่ละครั้งที่เรา มาทำกิจกรรมด้วย อย่างเช่นน้องคนที่เคยเจอ พอไปอีกครั้งไม่ได้เจอแล้ว เพราะอาการดีขึ้น หมอจึงให้กลับบ้าน ทำให้เราดีใจด้วย แม้เราจะทำโดยไม่ได้หวังอะไร แต่เราก็จะได้ความสุขตอบแทน เห็นเขายิ้มเราก็ยิ้มได้แล้ว แพรวยังสะท้อนการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงของตัวเองทั้งในเรื่องส่วนตัว ที่บ้าน และที่โรงเรียนให้ฟังอีกด้วย


ในเรื่องส่วนตัว อย่างแรกที่เปลี่ยนคือจากเดิม ปกติเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย เช่น พูดคำหยาบในระหว่างเพื่อนๆด้วยกัน แต่เราไม่สามารถไปพูดกับน้องได้ ทำให้การพูดสุภาพขึ้น  เรื่องอารมณ์และการแสดงออกก็เช่นกัน เราต้องเก็บความรู้สึกให้ได้ เพราะบางทีน้องยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้เราโกรธก็ต้องเก็บไว้ในใจ จากเดิมที่ตัวเองเป็นอารมณ์แปรปรวน ก็ได้ฝึกความอดทน


สิ่ง ที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือเรื่องอารมณ์ แต่ก่อนอารมณ์ฉุนง่าย ไปเล่นกับน้องก็ต้องฝึกความอดทนเมื่อน้องแสดงอารมณ์รุนแรงกลับมา เพราะสิ่งที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องลงไปเจอด้วยตัวเอง ทำนองสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนั่นเอง


อยู่ที่บ้าน แพวไม่ค่อยเล่นกับน้อง ชอบอยู่โลกส่วนตัวมากกว่า เมื่อผ่านจิตอาสาแล้วกลับไปบ้าน ทำให้เราเปิดกว้างมากขึ้น เล่นกับน้องมากขึ้น (ปกติเมื่อน้องดื้อก็ถูกดุ) ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรง  (เพราะน้องว่ายังเล็กอยู่ ยังไม่มีวุฒิภาวะ)  ทำให้เราเข้าใจเด็กและรักเด็กมากขึ้น


ที่โรงเรียน แต่ก่อนที่จะมาสอบเข้าโรงเรียนสตรีศรีสุริโยไทนี้ แพรวจะสอบได้ที่ 1-2 ตลอด แต่พอย้ายโรงเรียนมาก็รู้ว่ามีคนที่เก่งกว่าเรา ทำให้รู้จักตัวเองและยอมรับตัวเองมากขึ้น และการไปทำจิตอาสาก็ให้ผลดีไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนเพราะไปทำวันหยุด หากอยู่แต่ที่บ้านก็น่าเบื่อ


การ เรียนอยู่แต่ในห้องเรียนเพื่อสอบเพื่อเอาวุฒิอย่างเดียวไม่สามารถเอาไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ และความรู้จำนวนมากก็ไม่ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น วิชาคณิตศาสตร์ที่ใช้จริงก็แค่บวกลบคูณหาร เรื่องรูทก็ไม่ได้เอาไปใช้ การออกไปทำกิจกรรมจิตอาสากับเพื่อน ทำให้ได้ประสบการณ์และเรียนรู้กับคนภายนอก ได้เรียนรู้การเข้ากับสังคมจากการแลกเปลี่ยนพูดคุยกับคนอื่นๆ ซึ่งเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้


แพรว บอกว่าเห็นเพื่อนเปลี่ยนแปลงในเรื่องอารมณ์ดีขึ้น รู้สึกว่ามีความคิดมากขึ้น เติบโตมากขึ้น คำหยาบก็ลดน้อยลง (ในบางสถานการณ์) เพราะจิตอาสาทำแล้วเปลี่ยนแปลงนิสัยเรา การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นการแบ่งเบาภาระสังคม ในทางตรงกันข้าม ความคิดเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  คิดได้กว้างไม่ได้อยู่ในมุมเล็กๆ



จิตอาสากับวัยรุ่น
แพรว พูดถึงจิตอาสากับวัยรุ่นว่า คนเราชีวิตมันสั้น  ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วสิ่งไหนดีสิ่งไหนที่ถูกต้อง ทำแล้วมีความสุขคนอื่นไม่เดือนร้อนก็ควรทำ เพราะจะทำให้ชีวิตเรามีความสุข ไม่ต้องคิดว่าจะตายวันไหนแล้วค่อยทำ แต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยากให้วัยรุ่นไทยหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาส มาทำกิจกรรมดีๆแบบนี้ดู ดีกว่าไปทำอะไรไร้สาระ ใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์


ส่วน อนาคตของจิตอาสาในโรงเรียนศรีสุริโยไทนี้ แพรวในฐานแกนนำกลุ่ม บอกว่าจะตั้งชมรมที่โรงเรียนเร็วๆนี้  อาจจะเป็นตอนขึ้น ม.4 (ถ้าได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิม) ตอนนี้ตั้งโครงการไว้แล้ว จะลองประกาศรับสมาชิกในโรงเรียนดูก่อนว่าประสบความสำเร็จหรือไม่


ส่วน การขยายผลเรื่องจิตอาสาในโรงพยาบาลนี้ แพรวคิดว่าเหตุปัจจัยที่จะทำให้เยาวชนเกิดจิตอาสา สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องมีการอธิบายให้ฟังว่าจิตอาสาหมายความว่าอะไร ทำแล้วได้อะไร หลังจากนั้นก็ต้องมีการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการจริงก่อนลงพื้นที่ (workshop) แล้วก็มาประชุมกัน แบ่งเวร แบ่งคนกันไปทำกิจกรรม


ส่วน การประชาสัมพันธ์ขยายผลเรื่องจิตอาสา จำเป็นจะต้องมีหน่วยงานภายนอกที่มีความรู้อย่างมูลนิธิกระจกเงามาช่วยด้วย และสุดท้ายถ้าจะให้จิตอาสาดำเนินงานไปเรื่อย ๆ ต้องสร้างแรงจูงใจ จูงใจด้วยการอบรมอาจใช้ไม่ได้ อาจเข้าไม่ถึงทุกกลุ่ม (อาจต้องหาวิธีการอื่นๆประกอบด้วย) เพราะการสร้างแรงจูงใจเรื่องจิตสาธารณะทำยากมาก (ต้องค่อยๆบ่มเพาะจากประสบการณ์จริงไปเรื่อยๆ)