นางสาวเยาวนันท์ จงกลชูเดช
นักเรียน โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย
ตำแหน่งที่ได้รับในโครงการต่างๆ
ประวัติและผลงาน

ด.ญ.เยาวนันท์ จงกลชูเดช (ก๊อป)



แรงหนุนจากที่บ้านและโรงเรียน
ก๊อ ปบอกว่า จิตอาสาที่ทำแล้วมีความสุขนี้ ได้รับการสนับสนุนจากพ่อที่บอกเสมอว่า ถ้าว่างก็ให้ไปทำให้เต็มที่ เพราะเรามีชีวิตที่ดีกว่าเขา มีโอกาสกว่าเขา ก็ควรให้เขาบ้าง ส่วนที่โรงเรียนครูก็มีส่วนช่วยสนับสนุน อย่างครูบอล (อ.รัฐธรรมนูญ เปรมชัยพร) ซึ่งเป็นครูประจำชั้น ก็เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวกให้เต็มที่ สอดรับกับความสนใจของนักเรียนที่ถ้าเลือกได้ก็จะออกไปโครงการข้างนอกมากกว่า ในโรงเรียน


ก๊อ ปซึ่งปกติเป็นคนร่าเริง เข้ามาทำกิจกรรมจิตอาสา เพราะโรงเรียนให้เลือกเข้าโครงการหนึ่งห้องเรียนหนึ่งความดี ก๊อปเลือกโครงการนี้เพราะครูแนะนำว่าต้องการให้ทำกับคนมากกว่า จะได้เห็น อะไรมากกว่า (ได้เรียนรู้มากกว่า) และก็จริงอย่างที่ครูว่า เพราะทำกับคนแล้วรู้สึกสบายใจ เราได้ช่วยเขา  เรามีความสุข ทำให้เราอยากช่วยมากยิ่งขึ้น


ก่อน เข้าร่วมโครงการโรงพยาบาลมีสุข กิจกรรมที่ผ่านมาก๊อปมีความเห็นว่าบางครั้งก็ไม่ต่อเนื่อง (ทำๆหายๆ) เพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อดี บางครั้งนักเรียนก็มาทำเอาช่วงใกล้ๆประเมินผลให้คะแนน (ไม่ได้ทำด้วยใจจริงๆ)  บางกิจกรรมเช่นจัดบอร์ดก็ได้รับความสนใจน้อย ไม่มีใครอ่าน เพราะที่โรงเรียนเป็นแบบเดินเรียน ตอนอยู่ม.2 จึงทำกิจกรรมอย่างไม่เต็มใจ เพราะพวกเราอยากออกไปทำกิจกรรมข้างนอก แต่ครูไม่สนับสนุน เพราะยุ่งยากและมีขั้นตอน (เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน) มาก 



ประสบการณ์และความประทับใจ
ก๊อ ปบอกว่าตัวเองเป็นคนเข้ากับคนอื่นยาก แต่เมื่อได้มีโอกาสไปกิจกรรม ได้คุยกับน้องๆที่โรงพยาบาล ได้เล่นกับน้อง ได้อยู่ใกล้ชิดข้างเตียง ทำให้เป็นคนกล้าขึ้น ความประทับใจที่ได้รับคือเล่นกับน้องแล้วยิ้มมีความสุข น้องที่ไปเล่นป่วยเป็นมะเร็ง ก๊อปเห็นแล้วรู้สึกสงสาร อายุแค่นี้เป็นมะเร็ง  ทำให้อยากช่วยอยากดูแลเขามาก อย่างน้อยในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็อยากทำให้เขามีความสุข 



การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง
โครงการ โรงพยาบาลมีสุข ทำให้ก๊อปได้ออกไปข้างนอก ได้รู้จักคนมากขึ้น อยู่แต่ข้างใน (บ้านและโรงเรียน) เราก็ปิด (มุมมองและความคิด) ออกไปข้างนอกเราได้เปิดมากขึ้น ได้ทำกิจกรรม ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ อยู่แต่ในโรงเรียนก็ได้เท่าที่ครูสอนไม่มีอะไรเพิ่มเติมประสบการณ์ชีวิต  แต่ออกมาข้างนอกได้เปิดความคิดใหม่ ได้ลองพูดลองทำ การไปโรงพยาบาลได้เห็นทั้งความเจ็บปวดและการให้กำลังใจ คนที่เขาป่วยญาติก็มาดูแล เห็นภาพแม่ก็นั่งดูแลลูก พอเราเล่นกับลูกเขา น้องเขายิ้ม แม่เขาก็ยิ้ม ทำให้มีความสุขด้วยกันทุกคน ทำให้อยู่ในใจ ถ้ามีโอกาสและว่างก็จะไปอีก


นอก จากนี้ ยังได้ความรู้และทักษะการทำจิตอาสาก่อนไปโรงพยาบาล ที่ๆพี่ๆจากมูลนิธิกระจกเงาให้ความรู้และเตรียมตัวให้เราก่อน เช่นเวลาคุยกับน้องอย่าสัญญาว่าจะเอาของอะไรไปให้ ต้องพูดคุยเรื่องอื่นๆทั่วๆไป เช่นถามว่าสบายดีไหม โดยไม่ตอกย้ำอาการป่วยของเด็ก เป็นต้น


สิ่ง ก๊อปได้มากที่สุดคือเรามีกำลังใจที่จะเรียนหนังสือเพื่อน้องเขา เพราะเราเก่งก็จะช่วยสอนน้องเขาได้ และประสบการณ์ที่ได้สามารถเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย ถึงคนในครอบครัวไม่ได้ป่วย เราก็ช่วยดูแลเขาได้ในตอนนี้ การที่เราดูแลน้องทำให้ก๊อปได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเราอยากได้ของเขา เราก็ต้องให้เขาก่อน (ต่างไปจากเมื่อก่อนที่เราอยากได้จากครอบครัวฝ่ายเดียว)


การ ออกไปทำจิตอาสา ทำให้ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์ของก๊อปเปลี่ยนไป เข้าใจและไม่มองคนที่ภายนอก ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่เห็นผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบางคนเป็นตุ่มน่ากลัว เราอาจคิดว่าเขาเป็นโรคร้ายแรง แต่บางครั้งก็เป็นตุ่มธรรมดาๆ และแค่พูดคุยกับเขาคงไม่ทำให้เราติดเชื้อ


นอก จากนี้ การไปทำอย่างนี้ เราได้ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆมากขึ้น ก๊อปสังเกตเห็นเพื่อนๆ หลายคนตั้งใจเรียนมากขึ้น มีความเกรงใจครู เกรงใจคนรอบข้างมากขึ้น



จิตอาสากับวัยรุ่น
ก๊อ ปอยากฝากถึงเพื่อนๆว่า หากอยู่แต่ในห้องเรียน เราก็อ่านตำราเดิมๆเพื่อสอบ เรียนเพื่อดูว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร จบสูงๆเพื่อจะมีวุฒิไปทำงานดีๆ ชีวิตเหมือนอยู่ในกรอบที่ถูกกำหนดมาเหมือนๆกันทุกคน แต่การออกมาข้างนอกจะได้รู้จักสังคม การรู้จักคนมากขึ้น ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตและการดำรงชีพต่างๆ อีกทั้งได้ลงมือทำด้วย อยู่ในห้องเรียนก็ต้องรีบอ่านหนังสือเวลาสอบ บางวิชาที่ไม่ชอบก็ไม่อยากเรียน การทำอย่างนี้ก็ได้ความสุขที่ใจมากกว่า


อยาก ให้ทุกคนไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือวัยทำงาน สามารถมีจิตอาสาได้ ไม่ว่าจะในที่ทำงาน โรงพยาบาล หรือจิตอาสาเพื่อนส่วนรวมอื่นๆก็ได้ เพราะจิตอาสาเกิดมาพร้อมกับความรักและแบ่งปันกัน จิตอาสาก็คือจิตที่จะให้จริงๆ ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขจริงๆเช่นกัน ผลดีไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนเพราะไป ทำวันหยุด หากอยู่แต่ที่บ้านก็น่าเบื่อ


การ เรียนอยู่แต่ในห้องเรียนเพื่อสอบเพื่อเอาวุฒิอย่างเดียวไม่สามารถเอาไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ และความรู้จำนวนมากก็ไม่ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น วิชาคณิตศาสตร์ที่ใช้จริงก็แค่บวกลบคูณหาร เรื่องรูทก็ไม่ได้เอาไปใช้ การออกไปทำกิจกรรมจิตอาสากับเพื่อน ทำให้ได้ประสบการณ์และเรียนรู้กับคนภายนอก ได้เรียนรู้การเข้ากับสังคมจากการแลกเปลี่ยนพูดคุยกับคนอื่นๆ ซึ่งเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้


แพรว บอกว่าเห็นเพื่อนเปลี่ยนแปลงในเรื่องอารมณ์ดีขึ้น รู้สึกว่ามีความคิดมากขึ้น เติบโตมากขึ้น คำหยาบก็ลดน้อยลง (ในบางสถานการณ์) เพราะจิตอาสาทำแล้วเปลี่ยนแปลงนิสัยเรา การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นการแบ่งเบาภาระสังคม ในทางตรงกันข้าม ความคิดเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  คิดได้กว้างไม่ได้อยู่ในมุมเล็กๆ



จิตอาสากับวัยรุ่น
แพรว พูดถึงจิตอาสากับวัยรุ่นว่า คนเราชีวิตมันสั้น  ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วสิ่งไหนดีสิ่งไหนที่ถูกต้อง ทำแล้วมีความสุขคนอื่นไม่เดือนร้อนก็ควรทำ เพราะจะทำให้ชีวิตเรามีความสุข ไม่ต้องคิดว่าจะตายวันไหนแล้วค่อยทำ แต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยากให้วัยรุ่นไทยหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาส มาทำกิจกรรมดีๆแบบนี้ดู ดีกว่าไปทำอะไรไร้สาระ ใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์


ส่วน อนาคตของจิตอาสาในโรงเรียนศรีสุริโยไทนี้ แพรวในฐานแกนนำกลุ่ม บอกว่าจะตั้งชมรมที่โรงเรียนเร็วๆนี้  อาจจะเป็นตอนขึ้น ม.4 (ถ้าได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิม) ตอนนี้ตั้งโครงการไว้แล้ว จะลองประกาศรับสมาชิกในโรงเรียนดูก่อนว่าประสบความสำเร็จหรือไม่


ส่วน การขยายผลเรื่องจิตอาสาในโรงพยาบาลนี้ แพรวคิดว่าเหตุปัจจัยที่จะทำให้เยาวชนเกิดจิตอาสา สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องมีการอธิบายให้ฟังว่าจิตอาสาหมายความว่าอะไร ทำแล้วได้อะไร หลังจากนั้นก็ต้องมีการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการจริงก่อนลงพื้นที่ (workshop) แล้วก็มาประชุมกัน แบ่งเวร แบ่งคนกันไปทำกิจกรรม


ส่วน การประชาสัมพันธ์ขยายผลเรื่องจิตอาสา จำเป็นจะต้องมีหน่วยงานภายนอกที่มีความรู้อย่างมูลนิธิกระจกเงามาช่วยด้วย และสุดท้ายถ้าจะให้จิตอาสาดำเนินงานไปเรื่อย ๆ ต้องสร้างแรงจูงใจ จูงใจด้วยการอบรมอาจใช้ไม่ได้ อาจเข้าไม่ถึงทุกกลุ่ม (อาจต้องหาวิธีการอื่นๆประกอบด้วย) เพราะการสร้างแรงจูงใจเรื่องจิตสาธารณะทำยากมาก (ต้องค่อยๆบ่มเพาะจากประสบการณ์จริงไปเรื่อยๆ)