นางสาวปัทมวรรณ มานะโรจน์
นักเรียน โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในพระอุปถัมภ์ฯ
ตำแหน่งที่ได้รับในโครงการต่างๆ
ประวัติและผลงาน

แรงหนุนจากที่บ้าน (และโรงเรียน)
เป็น คนกรุงเทพตั้งแต่เกิด ทางบ้านเลี้ยงให้ช่วยตัวเองได้ ไม่ได้เลี้ยงแบบคุณหนู พ่อทำงานที่บริษัทฮอนด้า แม่เป็นแม่บ้านให้ครอบครัวต่างชาติ เมียมเคยตามไปช่วยเลี้ยงแม่ครั้งหนึ่ง เมียมมีทัศนคติต่อเด็กเล็กๆว่าเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่ยังไม่รู้เรื่อง อะไรมาก ทำให้ชอบเด็ก แต่ถ้าเป็นเด็กโตมาหน่อย เล่นซนมากเกินไป หรือนิสัยไม่ดีก็ไม่อยากยุ่ง



พื้น ฐานของครอบครัวไม่ได้มีอิทธิพลต่อการทำงานด้านจิตอาสาของเมียม เพราะพ่อและแม่ไม่ได้สอน ไม่ได้บอกว่าไปทำอย่างนี้ดีกว่า แต่จะเรียนรู้จริงจากโรงเรียน ถ้าโรงเรียนมีโครงการมาและคิดว่าตัวเองจะได้เรียนรู้จริงๆมีสิ่งดีๆมาหยิบ ยื่นให้ เมียมก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าให้ไปทำจิตอาสาด้วยตัวเอง บางครั้งก็ขาดเหตุปัจจัยที่เพียงพอเหมือนทำธุรกิจที่ต้องมีการลงทุน แต่จิตอาสาได้กำไรกลับมาเป็นความรัก รอยยิ้ม และความสุข ที่เราได้ทำให้เด็ก



แต่ ที่บ้านเมียมก็รับรู้ว่า ลูกตัวเองได้ทำกิจกรรมจิตอาสาหลากหลายรูปแบบ แม้พ่อแม่ไม่ได้พูดแต่รับรู้ว่าเราทำอะไรดีๆอยู่ ส่วนมากอยู่กับแม่มากกว่าพ่อ แม่เป็นคนแบบโบราณ ไม่ค่อยมานั่งคุยสนิทสนมกับลูกมากนัก เวลาถ้าโดนแม่ว่าก็จะเก็บไว้เข้าไปคุยกับเพื่อนมากกว่า (แต่แท้จริงแล้วเมียมอยากคุยกับแม่มากกว่านี้)



นอก จากเพื่อนแล้ว ในชุมนุมที่โรงเรียน อาจารย์ประไพ................ซึ่งเป็นที่ปรึกษาก็มีส่วนช่วยสนับสนุน จะถามว่านักเรียนอยากทำอะไร  ให้แสดงความคิดเห็นมากกว่าบอกว่าต้องทำอะไร  จะคอยดูเราอยู่ห่างๆ ครูบางคนก็จะไม่ได้ดูแลนักเรียนในชมรมใกล้ชิดเหมือนอาจารย์ประไพซึ่งจะใส่ใจ รายละเอียดทุกอย่าง




ประสบการณ์จิตอาสาและความประทับใจ
ตอน แรกครูจะให้ไปศูนย์เมอร์ซี่แต่คิวเต็มและเวลาว่างไม่ตรงกัน ก็เลยได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมกับเด็กอ่อนในสลัมคลองเตย ผ่านการประสานงานของชมรมฟ้าสีรุ้ง ได้เล่นกับน้องบ้าง ป้อนข้าวน้อง  อาบน้ำให้ และมอบสิ่งของที่พวกพี่ๆรวบรวมให้น้องๆด้วย เมียมมีความรู้สึกต่อเด็กที่คลองเตยว่าขาดความดูแลจากพ่อแม่ อันเกี่ยวเนื่องจากปัญหาวัยรุ่นที่เป็นพ่อคนแม่คนก่อนอันควร เด็กบางคนมีพ่อแม่มารับกลับบ้านตอนเย็น แต่หลายคนไม่มีพ่อแม่



แม้ จะมีความยากตรงที่เด็กๆจะซนมาก บางครั้งก็ฟังเรา บางครั้งก็ไม่ฟัง ต้องปรับความเข้าใจ  ต้องไหลไปตามเขา มีเด็กหลากหลายอายุตั้งแต่ที่ยังเป็นเด็กอ่อนและอายุมากที่สุด 3 ขวบ เมียมได้ช่วยไกวเปลกล่อมน้องนอนด้วย เมียมคิดว่าตัวเองโชคดีที่มีโอกาสได้ทำ และก็ชอบที่ได้ทำ เพราะบางคนแม้อยากทำแต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะมีภาระเยอะ แม้ว่าคลองเตยอยู่ใกล้บ้านเมียมก็ตาม แต่เพราะชีวิตวัยรุ่นก็มีภาระงานและการเรียนที่ต้องรับผิดชอบมาก หากไม่มีโครงการดีๆแบบนี้ ก็ไม่มีโอกาสรู้ว่าเด็กเหล่านี้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร



ความสุขที่ได้สัมผัส
เมีย มเห็นความเปลี่ยนแปลงก็เกิดกับเด็ก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีพ่อแม่เมื่อได้เจอเมียมก็วิ่งโผเข้าใส่ เมียมต้องหาวิธีการเล่นกับน้อง ทำอะไรให้เขารู้สึกดี เพราะเด็กในวัยนี้ต้องเล่น บางคนยังพูดไม่รู้เรื่อง  จะใส่ความรู้มากไม่ได้ อีกอย่างสื่อก็สำคัญ ต้องหาที่เป็นที่น่าสนใจ เด็กในวัยนี้นัยน์ตาของเขาต้องการสิ่งที่มีสีสัน ล่อให้เข้ามาถามว่านี่อะไร ใช้ทำอะไร เป็นต้น



ประสบการณ์ พาเด็กเล่นและเรียนรู้ แม้ไม่ได้อยากเป็นครู เพราะไม่ชอบ และรู้สึกไม่ใช่ แต่ทำอย่างนี้แล้วมีความสุข เมียมอธิบายวิธีการมีความสุขว่า เรามีความสุขเมื่ออยู่กับเพื่อน และกับคนรอบข้างได้ ทำไมจะสุขเมื่ออยู่กับเด็กไม่ได้  ความสุขที่เกิดเมื่ออยู่กับเด็กคือเรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด อยากทำอะไรก็แสดงออกได้ แต่ความสุขเมื่ออยู่กับแฟนบางทีก็ต้องปิดบัง มองคนโน้นคนนี้ก็ไม่ได้ อยู่กับเด็กไม่มีข้อบังคับ อยู่กับเด็กดีกว่า



อะไรที่เราได้เรียนรู้
เติมเต็มประสบการณ์ชีวิต เมียมบอกว่าได้เรียนรู้หลายอย่าง อย่างแรกได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต  เพราะเราไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างนี้ เราได้เจอสิ่งดีๆ เราได้มอบสิ่งดีๆ ให้แก่คนอื่น ถึงแม้ตัวเองไม่ได้ไปทำกิจกรรมจิตอาสาที่โรงพยาบาล แต่ก็ฟังเพื่อนก็ได้ความรู้ว่า  ทำอย่างไรให้เด็กที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว มีความสุข  ยิ้มได้ ไม่เครียด ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป



ประสบการณ์ ชีวิตอย่างนี้ เชื่อมโยงไปถึงครอบครัวซึ่งปัจจุบันมักจะมีปัญหา เมียมมองว่าปัญหาคือสิ่งที่เราต้องเจอ รับรู้ และแก้ไขในการกระทำของตัวเอง เมียมสะท้อนว่าความคิดของตัวเองโตตามกิจกรรมที่ได้ออกไปทำจริง เช่น มีความคิดว่าคนที่มีเงินเยอะก็ใช่ว่าจะมีความสุข  คนที่มีบ้านหลังโตก็ใช่ว่าจะมีความสุข หรือเด็กจะดีได้อยู่ที่พ่อแม่สอน แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่ลูกจะไม่เหมือนพ่อแม่เช่นกัน



จาก ที่เราได้เคยปฏิบัติจริงในการดูแลเด็กเล็กมาแล้ว ทำให้รู้ว่าว่าหัวอกความเป็นแม่เป็นอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างแม่เป็นคนคอยบอกคอยสอนเรา เวลาน้องร้องไห้งอแงเป็นอะไรไม่รู้ แต่แม่เรารู้ ถ้าเรามีลูกเราก็ต้องคอยดูแลเหมือนที่แม่ดูแลเรา เมียมบอกว่าผู้หญิงส่วนมากรักเด็กอยู่แล้วเพราะความเป็นแม่นี่เอง ดังนั้นการทำกิจกรรมจิตอาสาสร้างความสุขให้กับผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลหรือ จิตอาสาในรูปแบบอื่นๆกับเด็กๆจึงเป็นการจับคู่ที่เหมาะสม



แม้ จะไม่ได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมที่โรงพยาบาล แต่เมียมก็บอกว่าได้เรียนรู้หลายอย่าง  ถ้าได้ไปโรงพยาบาลคิดว่าจะได้เรียนรู้มากกว่านี้ และกระตุ้นให้เมียมอยากไปทำกิจกรรมที่โรงพยาบาลมาก



เติมเต็มวิชาที่เรียน เมียมคิดว่าสิ่งที่ออกไปเรียนรู้ข้างนอกนี้เป็นวิชาสุขศึกษาพลศึกษา เพราะครอบคลุมแทบจะทุกอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่มาเติมเต็มคือเรื่องพฤติกรรม อารมณ์ จิตใจของเรา เรารู้จุดเสี่ยง จุดอันตรายในชีวิต วิชาเกี่ยวกับสังคมก็เช่นเดียวกันจะได้รับการเติมเต็มเด่นหลายอย่าง รวมทั้งวิชาพระพุทธศาสนาด้วย ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ก็เชื่อมโยงได้ แต่ไม่โดยตรงมากนัก (หรือเป็นส่วนน้อย) การเรียนรู้ของจริงนอกโรงเรียนเช่นนี้ มีความแตกต่างจากในห้องเรียนที่เน้นการสอบ ให้วิเคราะห์เยอะมาก แต่ให้เด็กคิดเหมือนคนที่เฉลยข้อสอบมันไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็มีความคิดไม่เหมือนกัน 



อะไรที่เราเปลี่ยนแปลง
เมีย มสะท้อนว่าความคิดของตัวเองก็เปลี่ยนไป หันมาดูแลคนรอบข้างมากขึ้น รู้สึกเสียใจที่เด็กบางคนไม่มีพ่อแม่มาดูแล  และตัวเองรู้สึกอยากอยู่กับพ่อกับแม่มากขึ้น การได้อยู่กับเด็กซึ่งเราต้องให้ใจให้ชีวิตแก่เขา  ทำให้เราคิดว่าถ้าเรามีลูกเราจะต้องทำให้เขามีความสุข ทำไม่ให้เขารู้สึกเสียใจ/ท้อใจ รวมทั้งทำให้เห็นสถานการณ์จริงของพ่อแม่เด็กที่อายุยังไม่มาก แค่ 17-18 ปี ยังไม่พร้อมมีลูก ทำให้เกิดรำพึงกับตัวเองว่าทำไมเขาทำอะไรไม่คิดถึงผลกระทบให้มากก่อน



เมีย มสะท้อนว่าพฤติกรรมตัวเองก็เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน คือดีก็เสมอต้นเสมอปลาย เช่นเดียวกับกลุ่มเพื่อนที่ไปทำจิตอาสาก็เช่นเดียวกัน หากมองถึงบุคลิก/ลักษณะนิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปมากนัก เป็นอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น แต่เพื่อนๆก็สนุกกับสิ่งที่ทำ มีการถ่ายรูปแล้วเอามาอวดกัน บางคนถึงกับบอกว่าเป็นลูกของตัวเอง



เพื่อน ในชมรมจิตอาสา (???) ที่มีอยู่ประมาณ  46 คน มีหลายรุ่น รุ่นน้องบางคนยังไม่ได้เปิดใจว่าอยากทำอะไร  แต่ในจำนวนนี้จำนวนเกินครึ่งที่เป็นแกนนำหลักๆของชมรม การมีชมรมฯเมียมได้เรียนรู้จากเพื่อนด้วย บางคนจะสภาพครอบครัวไม่เพียบพร้อมสมบูรณ์ บางคนพ่อแม่เลี้ยงไม่ค่อยดี แต่รู้สึกไม่ได้ขาดอะไร สู้ทุกอย่าง บางครั้ง การที่เมียมสังเกตเพื่อนคนหนึ่ง ก็ทำให้ได้เรียนรู้จากเพื่อนคนนี้ โดยที่ยังไม่ต้องสัมผัสกับเด็กเลย



จิตอาสากับวัยรุ่น
ภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เมีย มมองว่าการทำกิจกรรมเป็นภูมิคุ้มกันให้กับวัยรุ่นได้หลายอย่าง เช่น การไปเรียนรู้โรคเอดส์  เห็นสภาพแวดล้อมจริงว่าเป็นอย่างไร เป็นบ้านไม้น่ากลัว  มืดๆ ทำให้เราเองก็ระวังตัวในการออกไปข้างนอก อีกอย่างช่วยสอนให้วัยรุ่นรู้จักจำกัดระดับที่เหมาะสมกับตัวเอง (รู้ลิมิตของตัวเอง) เช่น การมีแฟนควรมีความสัมพันธ์แค่ไหน



แล้ว ทำไมผู้หญิงจึงสนใจงานจิตอาสามากกว่าผู้ชาย ประเด็นนี้ เมียมมองว่าผู้หญิงคือแม่ มีความอ่อนหวาน อ่อนโยน มีความลึกซึ้งที่ผู้ชายบางคนมองข้าม ผู้ชายแข็งกระด้าง ลุยๆ ไม่สนใจคนรอบข้าง  เป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อนที่แม่จะเรียนรู้ในการดูแลเด็กให้เติบโตขึ้นมา ได้



ฝากจิตอาสาไว้ในใจเพื่อนๆ เมีย มบอกว่าการออกไปจิตอาสาของโครงการโรงพยาบาลมีสุข เป็นการลงทุนน้อยที่ได้ผลคุ้มค่ามาก เพราะเมื่อนักเรียนได้ลงมือทำแล้ว มีความคิดที่เปลี่ยนไป ได้ไปเรียนรู้คนอื่นจากโอกาสที่โครงการหยิบยื่นให้ จะได้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตนเอง เรามีอยู่คนเดียวแต่สามารถทำอะไรให้หลายๆคนได้ ไม่จำกันเพียงแค่ 2 ชีวิตคือพ่อกับแม่เท่านั้น หากเริ่มต้นจากวัยรุ่นหนึ่งคนได้ ก็สามารถกระจายให้คนอื่นๆรับรู้ได้เช่นกัน 



ทำอย่างไรให้เพื่อนๆสนใจมากขึ้น  เมียมมีความคิดเห็นว่าการทำให้เพื่อนๆสนใจจิตอาสามากขึ้น ควรการกระจายข่าวออกไป ให้แต่ละห้องทำโครงการของตัวเอง แต่โครงการต้องมีจุดสนใจ รวมทั้งมีการประชาสัมพันธ์หลายๆรูปแบบ เช่น ใบปลิว (แต่ใบปลิวพอแจกปุ๊บก็ทิ้งปั๊บ) เสียงตามสาย (ที่โรงเรียนมีเสียงตามสายในยามเช้า) เพื่อให้ความรู้ เล่าให้เพื่อนฟัง ชวนมาเข้าชมรม และบอกข่าวว่าวันนี้มีกิจกรรมดีๆอะไร จะทำให้เพื่อนๆสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ก็ใช้วิธีรู้จักน้องรหัสก็ชวนๆกันมา หรือบางคนก็ไม่รู้จะเข้าชมรมไหนดีก็ชวนเข้าชมรมนี้



เพื่อนๆ ส่วนใหญ่อยากอยู่ชมรมที่ไม่ทำอะไร  อยากอยู่สบายๆ หรือเป็นชมรมที่ได้ออกไปข้างนอก เพื่อจะได้เจอสิ่งใหม่ๆ เจอผู้ชายหน้าตาดีๆ เราต้องทำให้เห็นว่าชมรมจิตอาสานี้ทำจริง ตอนนี้คนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มี 14-15 คน ตอนนี้ทุกคนมีโอกาสได้ทำกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่แล้ว



ทิ้ง ท้าย เมียมยกตัวอย่างจิตอาสาเช่นมูลนิธิกู้ภัยที่อาสาสมัครแทบจะไม่ได้อะไร แต่เขามีจิตใจที่จะช่วยเหลือคน แม้จะมีเหตุการณ์มาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า แต่การช่วยเหลือทำให้สุขของเขาล้นกว่าของเรา เมื่อเราถามว่าแล้วความสุขของเมียมพอหรือยัง ได้รับคำตอบว่า “ความสุขไม่มีพอ อยู่ที่ใจของเราจะพอหรือยัง”