“สยามกัมมาจล” สืบสานปณิธานการดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม
นับจากสยามได้เปิดประเทศเพื่อค้าขายกับชาติตะวันตก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ส่งผลให้การค้าขายทั้งภายในและภายนอกประเทศขยายตัวมากขึ้น ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านระบบเศรษฐกิจไทยจากระบบเศรษฐกิจแบบ "เลี้ยงตัวเอง" มาเป็นเศรษฐกิจที่ "ผลิตเพื่อตลาด" ซึ่งต้องพึ่งพาเงินตรามากขึ้น จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้บริการทางการเงินทางการรับฝาก ให้กู้เงิน และรองรับการบริการทางการเงินในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในระยะแรก ชาติตะวันตกมีบทบาทในการตั้งธนาคารสาขาขึ้นในประเทศไทย
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ทรงตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันการเงินที่จะมีต่อระบบเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ จึงดำริที่จะตั้ง "ธนาคารกลาง" หรือ "แนชนัลแบงค์" (National Bank) และธนาคารพาณิชย์ ขึ้นเพื่อให้ประเทศไทยมีสถาบันการเงิน และการธนาคารเป็นของตนเอง
โดยในระยะแรก ได้ทรงจัดตั้งกิจการธนาคารในชื่อว่า “บุคคลัภย์” (Book Club) เพื่อทดลองให้บริการรับฝาก และให้กู้ยืมเงินแก่ประชาชนทั่วไป เมื่อพ่อค้า นักธุรกิจ และหน่วยงานราชการไทย ให้การยอมรับใช้บริการของบุคคลัภย์อย่างแพร่หลายแล้วจึงเริ่มดำเนินการขยายธุรกิจไปด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ นับเป็น ครั้งแรกที่คนไทยเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจที่เคยผูกขาดโดยธนาคารต่างประเทศ
ความสำเร็จของ “บุคคลัภย์” นำไปสู่การก่อตั้งธนาคารพาณิชย์ของไทยแห่งแรกขึ้น กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ได้ยื่นขอจดทะเบียน บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด โดยต้องฝ่าฟันอุปสรรคการต่อต้านจากประเทศชาติตะวันตกที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจในประเทศไทย จนต้องทรงตัดสินพระทัยยื่นหนังสือกราบบังคมทูล ขอลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อให้การก่อตั้งธนาคารแห่งแรกของไทยจึงยังคงเดินหน้าต่อไปได้ จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานอำนาจพิเศษให้จัดตั้ง “บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” ขึ้น (ก่อตั้งเป็นทางการ 30 มกราคม พ.ศ.2449-เพิ่มเติม) ด้วยทุนจดทะเบียน ๓ ล้านบาท โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๙ (ร.ศ.๑๒๕) ให้บริษัทแบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งต่อมา บริษัทแบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด” ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๘๒ ตามการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย”
จึงเป็นอันว่าความพยายามที่จะให้ประเทศไทยเป็นอิสระทางการเงินตามพระราชดาริของกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ก็ประสบผลสำเร็จ นับเป็นคุณประโยชน์ต่อประชาชน และแผ่นดินไทยในที่สุด
นับตั้งแต่ก่อตั้ง ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินงานภายใต้ปณิธานอันแน่วแน่ คือ การดำเนินงานด้วยคุณภาพควบคู่คุณธรรมมา โดยถือว่าการดำเนินกิจกรรมอันเป็น ประโยชน์ต่อสังคมนั้นเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการดำเนินแนวนโยบายของธนาคาร และได้ก่อตั้ง มูลนิธิสยามกัมมาจล (Siam Commercial Foundation) ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๓๘ เพื่อให้เป็นหน่วยงานที่ดำเนินการในส่วนของกิจกรรมเพื่อสังคม การธนาคำว่า “สยามกัมมาจล” มาตั้งเป็นชื่อมูลนิธิ จึงถือเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ขององค์กร ที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงอนาคต
ในระยะแรก มูลนิธิสยามกัมมาจล มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม จนกระทั่ง ปี พ.ศ.๒๕๕๑ ธนาคาร จึงมอบหมายให้ มูลนิธิสยามกัมมาจล เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเยาวชน และชุมชน ทั้งนี้ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาเยาวชน ผู้ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศนั่นเอง
“มูลนิธิสยามกัมมาจล มีความเชื่อว่า การพัฒนาประเทศจำเป็นจะต้อง สร้างจิตอาสา ให้เกิดขึ้นใน
สังคมไทย เพราะสำนึกของการอาสาเสียสละเพื่อส่วนรวม
เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติอีกทั้งเป็นการเสริมพลัง (SYNERGY)
ให้การดำเนินงานด้านต่างๆ เกิดผลสำเร็จ
อันจะส่งผลให้การพัฒนาประเทศชาติเจริญก้าวหน้าไปอย่างสมดุล มีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง”
“จิตอาสา” ในความหมายของมูลนิธิสยามกัมมาจล คือ การแบ่งปันศักยภาพของตนเองกับผู้อื่น หรือ สังคม โดยจิตอาสานั้น ต้องเกิดขึ้นจากความตระหนักภายในใจของบุคคลผู้นั้นเอง มิใช่การถูกกำหนดให้ทำ